“ศักดิ์ศรีของคน….ที่มีชีวิตเกิดผลในพระคริสต์”
คำว่า ศักดิ์ศรี ในดิกชันนารีเล็กซิทรอน แปลว่า ซึ่งเป็นที่เคารพ มีคำเหมือนที่ใช้ในความหมายเดียวกันคือคำว่า ชื่อเสียง กับ อิทธิพล มีคำพูดที่เรามักได้ยินประโยคว่า ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ ซึ่งหมายถึง อย่ามัวแต่รักศักดิ์ศรีในขณะที่กำลังจะอดตาย บางคนก็เลยเลือกที่จะทิ้งศักดิ์ศรี เพื่อความอยู่รอด โดยไม่สนใจความถูกต้องก็มี คำว่า ศักดิ์ศรี ที่คนบางคนหวงนักหวงหนา โดยมีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับศักดิ์ศรี เช่น จะไม่ยอมให้ใครมาลูบคม เสียศักดิ์ศรี หรือมีการกำหนดศักดิ์ศรีด้วยการแบ่งชนชั้นทางฐานะ การศึกษา และความเป็นหญิงหรือชาย หรือแม้กระทั่งเพศที่สาม การใช้คำพูดแบบนี้ คือความไม่เข้าใจความหมายของคำว่าศักดิ์ศรีที่แท้จริง ในความเป็นจริงแล้ว พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงศักดิ์ศรีที่อยู่กับคนใดคนหนึ่งแล้ว ไม่มีใครมาทำลายศักดิ์ศรีของคนๆนั้นได้ เว้นแต่คนๆนั้นไม่มีศักดิ์ศรีที่แท้จริงตั้งแต่ต้น และคำว่า ศักดิ์ศรี ในพระคัมภีร์เดิมแปลจากภาษาฮีบรูที่ใช้คำที่หมายถึง เครื่องประดับ tiph’arah (tif-aw-raw’) และสามารถแปลได้หลายความหมาย เช่น ความสวยงาม ความกล้าหาญ ความงดงาม ความสุภาพ ความมีชื่อเสียง และความสง่าผ่าเผย และพระคัมภีร์ก็ยังกล่าวถึงศักดิ์ศรีอยู่ในคนสองประเภทเท่านั้น จากพระธรรมสุภาษิต 20:29 29 ศักดิ์ศรีของคนหนุ่ม คือกำลังของเขา แต่ความงามของคนแก่คือผมหงอกของเขา พระคัมภีร์ตอนนี้ใช้คำฮีบรูสองคำที่แปลภาษาไทยว่า ศักดิ์ศรีของคนหนุ่ม กับ ความงามของคนแก่ มีความหมายเดียวกัน ในเชิงสง่างาม ความสง่างามของคนหนุ่มคือกำลังของเขา ความสง่างามของคนแก่คือผมหงอกของเขา ซึ่งคำว่า กำลัง หมายถึง ความสามารถ วิธีการ และผลิตผล ส่วนคำว่า ผมหงอก หมายถึงความมีอายุที่มาก เราจะเห็นสิ่งที่พระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับคนสองประเภทที่เหมือนกันในเรื่องความสง่างาม แต่แตกต่างกันในเรื่องของกำลัง ความสด ใหม่ ความเก่า และความแก่ ต่างก็มีความสง่างามในทั้งวัยอ่อนและวัยแก่ นี่คือมุมมองของพระคัมภีร์ หรือมุมมองของพระเจ้า แต่เป็นเรื่องน่าเสียใจสำหรับคนในยุคของเรา ที่มีมุมมองที่แตกต่างจากพระเจ้า เราได้ยินเรื่องราวที่น่าสังเวชใจกับการปฏิบัติต่อกันและกันของ ผู้อ่อนวัยต่อผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุต่อผู้อ่อนวัยที่สวนทางกับน้ำพระทัยพระเจ้า เราได้เห็นการเปรียบเทียบระหว่างผู้อ่อนวัยกับผู้สูงวัยอย่างผิดๆ เมื่อลูกหลานเรียนหนังสือสูงกว่าผู้สูงอายุ ก็รู้สึกว่าตนเองมีกำลังความรู้มากกว่าผู้สูงอายุ เมื่อผู้สูงอายุไม่ทันสมัยเท่ากับผู้อ่อนวัย ผู้สูงอายุก็กลายเป็นเต่าล้านปี หรือไดโนเสาร์ คนหัวโบราณ เมื่อผู้สูงอายุใช้โทรศัพท์ไม่คล่องแคล่ว ก็กลายเป็นความน่ารำคาญ หรือเห็นผู้สูงอายุที่ปฏิบัติต่อผู้อ่อนวัยแบบผิดๆ อย่างคนไร้ศักดิ์ศรี อย่างคนอ่อนประสบการณ์ อ่อนปัญญาความเข้าใจ หรือลูกหลานบางคนมองพ่อแม่ของตนเองไร้กำลัง ไร้ความสามารถ ไร้เงินทอง ก็ไม่ให้ความเคารพเท่าที่ควร กระทำต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายายอย่างไม่สมควร บางคนก็ไม่เลี้ยงดู บางคนก็ทิ้งๆขว้างๆ ไม่ให้เวลากับคนเฒ่าคนแก่ แต่ให้เวลากับการเล่นไลน์ การแชท การทำงาน กับเรื่องเงินทองเสียมากกว่า และพ่อแม่ และผู้ใหญ่บางคนก็ปฏิบัติต่อคนที่อ่อนวัยอย่างคนไร้ทางไป ต้องพึ่งพาเงินทองจากทางบ้าน เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของคนอ่อนวัยที่มีความสดใหม่ มีกำลัง อย่างที่รากศัพท์ภาษาฮีบรูกล่าวถึงคนอ่อนวัยว่า มีความสามารถ มีวิธีการ และผลิตผล เพราะค่านิยมอย่างโลก ที่ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ ตรงกันข้ามกับมุมมองของพระเจ้า ศักดิ์ศรีที่โลกอุปโลกขึ้นมาใหม่เข้ามาแทนที่ นิยามใหม่ของคำว่า ศักดิ์ศรี กลายเป็นคำของคนพาล ไม่มีความสง่างามหลงเหลืออีกเลย เราทั้งหลายที่เป็นคนของพระเจ้าที่มีชีวิตตามอย่างพระเยซูคริสต์เจ้า จะต้องไม่ลอยไปกับกระแสของโลกนี้ที่กำลังทำลายความสง่างามในชีวิตของคน ผู้ที่มีชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์จะต้องนำความหมายของคำว่า ศักดิ์ศรี ในมุมมองของพระเจ้ากลับคืนมา ประเพณีวันสงกรานต์ที่เรารดน้ำดำหัวผู้ใหญ่จะสมบูรณ์งดงามในชีวิต ประจำวัน ไม่ใช่เพียงแค่ตามเทศกาลอีกต่อไป พระคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงศักดิ์ศรีของคนต่างวัย…ที่มีชีวิตเกิดผลในพระคริสต์ในภาคปฏิบัติดังนี้
1.อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน
1ทิโมธี 4:12 12 อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์(2011) คำว่า อ่อนวัย รากศัพท์ภาษากรีกใช้คำว่า Neos แปลว่า ใหม่ สด อ่อนวัย นี่คือสิ่งที่คนแก่จะหมิ่นประมาทได้ เป็นความจริงที่คนอ่อนวัย ซึ่งหมายถึงคนหนุ่มสาว อนุชน จะมีประสบการณ์ที่อ่อนกว่าคนแก่ การหมิ่นประมาท คือการคิดต่อต้าน ไม่ยอม รับ เราได้เห็นการต่อต้านผู้อ่อนวัยในหลายๆครอบครัว ทำให้ผู้อ่อนวัยเหล่านั้น ออกไปแสวงหาการยอมรับจากนอกบ้าน คนนอก คนแปลกหน้า จนมีคำพูดที่ว่า เห็นเพื่อนดีกว่าคนในครอบครัว สาเหตุมาจากมีการต่อต้านผู้อ่อนวัยภายในครอบครัว คือการไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับเรื่องอะไร เราคงต้องกลับมาดูที่ผู้สูงวัยในครอบครัว ที่อาจเป็นพ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ญาติพี่น้องที่เฝ้ามองชีวิตภาคปฏิบัติ พฤติกรรมของผู้อ่อนวัยอย่างเราว่ากำลังเดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด หรือกำลังเดินไปไม่สนใจว่ากำลังจะถูกหมากัด วันนี้ข้าพเจ้าได้เขียนสูจิบัตรในสาส์นศิษยาภิบาลเรื่อง เดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด หมายถึง การประพฤติตามแบบอย่างผู้ใหญ่ หรือทำตามคำพูดผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย มักไม่ผิดพลาดหรือเป็นอันตราย แต่เราก็มักจะเห็นผู้อ่อนวัยในบ้านเรามักจะไม่ค่อยจะเดินตามหลังผู้ใหญ่ เพราะกลัวจะกลายเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี หัวโบราณไปไม่ทันเพื่อนๆ จึงไม่ค่อยอยากจะทำตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ ด้านผู้ใหญ่ก็เลยต้องพูดแล้วพูดอีก เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จนคนอ่อนวัยรู้สึกเหมือนถูกบ่น บางคนใช้วิธีเถียงคำไม่ตกฟาก บางคนดื้อเงียบ บรรยากาศแบบนี้จึงทำให้เกิดการหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของคนหนุ่มสาวอนุชนจากผู้สูงวัย เมื่อเกิดการหมิ่นประมาท การตอบสนองยิ่งไปกันใหญ่ เพราะขิงก็รา ข่าก็แรง คือต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ระหว่างผู้อ่อนวัยกับผู้สูงวัย (อาจเป็นคู่ชกระหว่าง พ่อกับลูก หรือแม่กับลูก ลุงป้าน้าอากับหลาน เป็นต้น) ไม่จบสิ้น 12 อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน คือคำเตือนจากพระเจ้า เป็นเหมือนเสียงกรรมการบนสังเวียนต่อสู้ว่า หยุดได้แล้ว คู่ชกทั้งหลาย เป็นการหยุดการหมิ่นประมาทจากทั้งคู่ และที่จะนำการหยุดได้อย่างมีประสิทธิผล ก็คือการ เป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ เราอยู่ในยุคที่มีแบบอย่างที่ไม่ดีมากกว่าดี และคนจำนวนมากมายติดตามแบบอย่างที่ไม่ดีอย่างไม่ยี่หระ ไม่สนใจศีลธรรมจรรยา ไม่สนใจความถูกต้องความดีงาม และมีการชักชวนกันทำเสียๆหายๆล่อแหลมในเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง คำแนะนำจากพระคัมภีร์ตอนนี้ได้ระบุชัดเจนถึงการเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ หมายถึงคนที่เดินตามทางพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้เชื่อในยุคพระคัมภีร์ถูกเรียกว่า ผู้เดินตามทางนั้น ก็คือผู้ที่เดินตามพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้อ่อนวัย อนุชนคนหนุ่มสาวทั้งหลายอย่าเลียนแบบการทำอะไรที่แหกโค้ง นอกจารีตอย่างคนยุคนี้ที่ติดกับคำยุคสมัยเรื่องไร้ขีดจำกัด ไร้ขอบเขตอย่างเสรีจนเลยเถิดไปถึงเรื่องเพศ เรื่องความคิดตกขอบมากมาย มีคำสามคำที่นักวิชาการพูดเกี่ยวกับโลกร้อนและเรียกภาวะโลกร้อนที่โลกกำลังเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ร้ายแรง Severe แพร่หลาย Perversive (นอกลู่นอกทาง) กู่ไม่กลับ Irreversable หากเปรียบเทียบกับคนอ่อนวัย อนุชนหนุ่มสาวที่ปล่อยให้ชีวิตอยู่ในการหมิ่นประมาททั้งจากครอบครัวและพฤติกรรมของตนเอง คนที่อยู่ในวัยอ่อนๆเหล่านี้อาจจะตกอยู่ในภาวะอย่างโลกร้อนที่กู่ไม่กลับ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ขอให้ทั้งครอบครัวกลับมาช่วยกันหยุดการหมิ่นประมาทคนอ่อนวัยร่วมกันอีกครั้ง เพื่อหนุนใจให้คนอ่อนวัยดำเนินชีวิตตามความคาดหวังของพระเจ้าดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวต่อไปอีกว่า แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์ แบบอย่างเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องด้วยความร่วมมือของสังคมทั้งสังคม อย่าเพียงแต่เรียกร้องจากคนอ่อนวัยฝ่ายเดียว และคนอ่อนวัยทั้งหลายก็อย่าเรียกร้องฝ่ายเดียว แต่จงร่วมมือกับสังคมที่ท่านอยู่ด้วย นั่นคือคริสตจักรที่พวกเราอยู่ร่วมกัน ให้เราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้พร้อมกันอีกครั้ง…. 1ทิโมธี 4:12 12 อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์(2011) แล้วศักดิ์ศรีของคน…ที่มีชีวิตเกิดผลในพระคริสต์จะเด่นชัดในคนอ่อนวัย อาเมน ศักดิ์ศรีในคนอีกวัยหนึ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงก็คือ คนแก่
2.อย่าให้ใครถอนหงอกคนแก่อย่างท่าน
สุภาษิต 16:31 31 ศีรษะที่มีผมหงอกเป็นมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรมจึงจะหาพบได้
สุภาษิต 20:29 29 ศักดิ์ศรีของคนหนุ่ม คือกำลังของเขา แต่ความงามของคนแก่คือผมหงอกของเขา
ผมหงอก ตามรากศัพท์ภาษาฮีบรู คำว่า เซ-บาว แปลว่า สูงอายุ ดิกชันนารีเล็กซิทรอน แปลว่า ช่วงหลังของชีวิต หรือครึ่งหลัง คนอ่อนวัยอยู่ในครึ่งแรกของชีวิต หากเราดูการแข่งฟุตบอล เราจะรู้ช่วงไหนที่สำคัญ ครึ่งหลังคือช่วงที่ตัดสินชนะหรือแพ้ แต่ช่วงแรกก็สำคัญว่าจะทำให้ช่วงหลังต้องทำงานหนักหรือยากหรือไม่ รากศัพท์ภาษาฮีบรูคำว่า คนแก่ แปลว่า เก่า ภาษาไทยมีคำว่า เก๋า แปลว่า เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์หรือความชำนาญมาก (Smart ฉลาด หรือเนี๊ยบ) ขอให้เราทั้งหลายที่เป็นคนแก่ทั้งแก่ทั้งเก๋า พระคัมภีร์สุภาษิตทั้งสองข้อนี้ได้กล่าวถึงคนแก่ที่มีความสง่างามตามอายุที่แท้จริง ผมหงอกที่แสดงถึงความมีอายุ และดูน่านับถือ น่าเคารพยำเกรง ไม่ใช่แค่อายุมาก หรือมีผมหงอก แต่ผมหงอกจะกลายเป็นมงกุฏก็ต่อเมื่อวิถีการดำเนินชีวิตของผู้นั้นอยู่ในทางแห่งความชอบธรรม ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคนคู่หนึ่งที่ดำเนินชีวิตอยู่ในทางแห่งความชอบธรรมจนถึงวัยชรา ลูกา 1:5-7 5 ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ ชื่อเอลีซา เบธ อยู่ในตระกูลอาโรน6 เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า และดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย7 แต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และเขาทั้งสองก็ชราแล้ว พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า เศคาริยาห์กับภรรยานางอลิซาเบธเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า นั่นคือในมุมมองของพระเจ้า คนแก่สองคนนี้ดำเนินชีวิตสมกับเป็นคนแก่ที่ฉลาด เก๋าในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำและไม่ให้ทำ (ดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย) นั่นหมายความว่า คนแก่คู่นี้ไม่ได้ดำเนินชีวิตแบบคิดเอาเอง เออเอง หรือตามความรู้สึกอยากทำหรือไม่อยากทำ แต่คนแก่คู่นี้ดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าต้องการให้เขาทำและไม่ให้ทำ เขามีชีวิตที่เชื่อฟัง แม้จะแก่แล้วก็ยังเป็นลูกพระเจ้าที่เชื่อฟัง คนแก่หลายคนมักจะคิดว่า เมื่อตนเองแก่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฟังใคร ไม่ต้องมีชีวิตที่เชื่อฟัง อย่างนี้ไม่ใช่วิถีของคนชอบธรรมในสายตาของพระเจ้า ยิ่งแก่ยิ่งต้องฟัง แม้หูร่างกายจะเสื่อม แต่หูภายในต้องไวในการฟัง โดยเฉพาะคำเตือน เพราะการเป็นคนแก่ คือการเป็นผู้ใหญ่ที่เด็กจะเดินตามและหมาไม่กัด ไม่ใช่เป็นคนแก่ที่ตามทีไรหมากัดทุกที แปลว่า อันตราย ไม่ปลอดภัย ทุกเช้าข้าพเจ้าจะขี่จักรยานออกกำลังกายแถวสวนหลังหมู่บ้าน ขี่มาได้ย่างเข้าเดือนที่หก หนทางก็เรียบบ้างมีเนินบ้าง สะพานบ้าง จนวันหนึ่ง มีลูกระนาดทำใหม่ที่ทำให้การขี่จักรยานของข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนุก เพราะต้องชะลอและเบรกเพื่อข้ามลูกระนาดใหม่ที่ค่อนข้างจะทำให้จักรยานกระดกมาก ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ชอบ และรู้สึกว่า คนที่มาทำจะต้องรำคาญกับเสียงเบรกของรถจักรยานของข้าพเจ้าที่เสียงดัง ใจหนึ่งก็คิดว่า แลกกัน เราไม่สะดวก เขาก็ไม่สงบ วันที่สองก็ยังคิดอย่างเดิม วันที่สาม ข้าพเจ้าก็ขี่ปกติ สักพักก็มีมอเตอร์ไซด์วัยรุ่นคึกคะนองขี่มาสามคันอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าคิดในใจ เดี๋ยวมันได้เจอลูกระนาดลูกนี้แน่ ถ้าไม่ชะลอ มันต้องหัวคะมำแน่ ข้าพเจ้าคิดได้แค่นั้น ก็รู้เลยว่า เหตุผลที่คนมาทำลูกระนาดนี้ไม่ใช่เพื่อหยุดข้าพเจ้า แต่เพื่อหยุดเจ้ามอเตอร์ไซด์วัยรุ่นคึกคะนองเหล่านี้ที่ขี่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อผู้คนสัญจรไปมา เมื่อข้าพเจ้ามาถึงลูกระนาดลูกใหม่นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีกับมันและรู้สึกว่า ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะใช้บริการของมันด้วยความยินดี ใช่เลย นี่คือความเก๋าที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ที่จะคิด ปฏิบัติ และคือกระบวนการที่อนาคตพระเจ้ากำลังเตรียมข้าพเจ้ามิให้ข้าพเจ้าถูกถอนหงอกด้วยความคิดอย่างคนแก่ที่ไม่เก๋าจริง ให้เราถามคนข้างๆว่า คุณเก๋าจริงหรือเปล่า หรือเก่าอย่างเดียว วันนี้ ข้าพเจ้าอายุขึ้นเลขห้ามาได้เกือบครึ่งทางของเลขห้าแล้ว หากข้าพเจ้าไม่เรียนรู้ความเก่าที่เก๋า ข้าพเจ้าจะเก่าอย่างเดียว อายุแก่ จะไม่เป็นมงกุฏของคนแก่อย่างข้าพเจ้า แต่จะกลายเป็นความภาระแห่งการทำบาปและเปิดประตูให้กับบาปอีกมากมาย เหมือนที่พระเยซูทรงถามคนที่รอจะขว้างก้อนหินใส่หญิงล่วงประเวณีที่ถูกจับได้ ว่าใครมีบาปน้อยที่สุดคนนั้นเป็นคนเริ่มขว้างหินก่อน พระคัมภีร์บันทึกว่า คนที่อายุมากที่สุดต้องออกจากที่นั่นไปก่อนใครเพื่อน ยอห์น 8:6-9 …..แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน”8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ ภาษากรีกที่บันทึกเริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ The eldest หมายถึงคนที่สูงอายุที่สุด หรือเป็นที่นับถือที่สุด ตอบสนองต่อคำตรัสของพระเยซูเรื่องนี้ คนสูงอายุที่น่านับถือที่สุดควรเป็นผู้ที่สำรวจพิจารณาตัวเองก่อนใครเพื่อน และมองเห็นความผิดของตนเองก่อน จึงจะเป็นคนแก่ที่ไม่ถูกถอนหงอก คำว่า ถอนหงอก แปลว่า ถูกเด็กเลิกเคารพ ขาดความยำเกรง เสียผู้ใหญ่ ไม่นับถือความเป็นผู้ใหญ่ ถูกว่าต่อหน้าผู้ใหญ่ ศักดิ์ศรีของคน…..ที่มีชีวิตเกิดผลในพระคริสต์ คือศักดิ์ศรีในมุมมองของพระเจ้า จึงจะเป็นศักดิ์ศรีที่แท้จริงที่ไม่มีวันเสียไป วันนี้เป็นวันสงกรานต์ ขอให้คนทั้งสองวัย ทั้งวัยอ่อน วัยแก่ จงดำเนินชีวิตให้สมกับศักดิ์ศรีอย่างคนของพระเจ้า อย่างคนที่เกิดผลในพระคริสต์ตลอดไป วิวรณ์ 21:24-27 24 บรรดาประชาชาติจะเดินไปในท่ามกลางแสงสว่างของนครนั้น และบรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้ามาในนครนั้น25 ประตูนครทุกประตูจะไม่ปิดเลยในเวลากลางวัน และจะไม่มีเวลากลางคืนในนครนั้นเลย26 และคนทั้งหลายจะนำศักดิ์ศรีและเกียรติของบรรดาประชาชาติเข้ามาในนครนั้น27 สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในนครไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ คำว่า ศักดิ์ศรี ที่หนังสือวิวรณ์ได้กล่าวที่นี่ มีความหมายตามรากศัพท์ภาษากรีก แปลว่า การสรรเสริญ การนมัสการ ความจงรักภักดี การให้เกียรติ แน่นอน คือสิ่งที่มาจากทั้งกษัตริย์และบรรดาประชาชาติที่มีต่อพระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียว สุดท้าย ศักดิ์ศรีที่จะติดตัวเราทั้งหลายไปจนถึงฟ้าสวรรค์ใหม่ของพระเจ้า ก็คือ คำสรรเสริญ การนมัสการพระเจ้า การถวายเกียรติ ความจงรักภักดีที่คนของพระเจ้าจะนำมาด้วยตัวเขาเองได้ก็เพราะการดำเนินชีวิตที่คนเหล่านี้ได้ปฏิบัติให้ประชาชาติและกษัตริย์ผู้ปกครองทั้งหลายได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความสง่างามของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขานั่นเอง เหมือนกับที่ดาเนียลได้ดำเนินชีวิตที่มีพระเจ้าจนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยกย่องสรรเสริญพระเจ้าของดาเนียล เช่นกัน วันนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหน การดำเนินชีวิตของเราคือการเตรียมชีวิตเพื่อนำศักดิ์ศรีสูงสุดเข้าเฝ้าพระเจ้าในวันนมัสการในฟ้าสวรรค์ ให้เราพูดกับคนข้างๆว่า ขอบคุณพระเจ้าที่คุณอยู่ที่นี่ อย่าให้ใครถึงกับต้องพูดว่า เมื่อไหร่พระเจ้าจะเอาแกออกไปจากชีวิตฉันสักที นั่นคือการส่งสัญญาณว่า เราจะเข้าสวรรค์อย่างไร้ศักดิ์ศรี อย่างที่เปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือ 1โครินธ์ 3:15 15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่า ตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ
“ศักดิ์ศรีของคน….ที่มีชีวิตเกิดผลในพระคริสต์”
1.อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน
2.อย่าให้ใครถอนหงอกคนแก่อย่างท่าน