“เกิดผลในพระคริสต์….เกิดเป็นหัวใจและวิญญาณเดียว”
เราคงเคยได้ยินคำโฆษณาที่ว่า มาเป็นแพ็คเกต ซื้ออย่างนี้ได้อีกสองสามอย่างพ่วงมาด้วยกัน เช่น ถ้าซื้อห้องพักประเภทสามวันสองคืน ราคาจะถูกลง มีอาหารห้ามื้อ แถมมีเรือพาเที่ยวอีก ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเกือบจะผ่าตัดมดลูกกับโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คุณหมอบอกว่า ราคาค่าผ่าตัดมดลูกนี้ แถมตัดไส้ติ่งให้ด้วย อันนี้ก็มาเป็นแพ็กเกต ข้าพเจ้าเลยไม่ผ่ากับหมอคนนี้ บางคนซื้อหม้อเพราะอยากได้ตะหลิว กับเครื่องทำครัวอย่างอื่น พวกเราชอบแพ็กเกต โดยเฉพาะในยุคที่อะไรก็แพง เลยทำให้พวกพ่อค้าหัวใส ทำแผนการตลาดแบบแพ็กเกตแทบจะทุกอย่าง เป็นการบังคับซื้อ เพื่อใช้เป็นวิธีระบายสต็อคสินค้าคงคลัง แต่เรารู้หรือไม่ว่า ไอเดียเรื่องแพ็กเกตนี้มีมาตั้งแต่สมัยสองพันปีที่แล้ว พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับสาวกของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่มาเป็นแพ็กเกตสำหรับคริสเตียน ยอห์น 14:26 26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว คำว่า ทุกสิ่ง รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า all, any, every, whole แปลว่า ทั้งหมด อะไรก็ตาม ทุกอย่างและอย่างครบถ้วน นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนทุกอย่าง และอย่างครบถ้วนแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทำหน้าที่เหมือน server ขนาดหน่วยความจำไม่มีขีดจำกัดที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ memory ในตัวเรา เพื่อทำให้เราระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเยซูทรงสอน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำข้อมูลเข้ามาในจังหวะที่เราต้องการ พี่น้องบางคนกังวลเรื่องความจำไม่ค่อยดี จะจำพระคัมภีร์ที่อ่านได้อย่างไร ข้าพเจ้าจำได้ถึงตัวอย่างเรื่องตะกร้าของคนในภาคเหนือที่สานและชันยางไว้สำหรับตักน้ำ พอใช้ไปนานๆก็รั่วออก ตักน้ำไม่ได้มาก แต่แน่นอน ตะกร้านั้นสะอาด เหมือนกับสมองของเราอาจจะถดถอยเรื่องความจำ แต่การอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำก็จะทำให้ชีวิตเราสะอาด การอ่านก็เหมือนกับเราฝากข้อมูลไว้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นเหมือน Server พระองค์จะนำข้อมูลมาให้เราในยามจำเป็น และทั้งหมดนี้มาจากภาษากรีกที่พระเยซูทรงใช้ในประโยคนี้ พระเยซูทรงทันสมัยและทรงรู้ระบบของการทำงานอย่างคอมพิวเตอร์ก่อนที่มันจะถูกค้นพบโดยมนุษย์เสียอีก เพราะฉะนั้น พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะจำไม่ได้ เพียงแต่จงใช้เวลาประจำวันทำให้ความคิดของตัวเองสะอาดด้วยพระวจนะของพระเจ้าเสมอ และพร้อมสำหรับการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มล้นในชีวิตของเรา ด้วยการปฏิเสธความต้องการของเนื้อหนังและตอบสนองต่อความต้องการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราจะได้รับแพ็กเกตอย่างที่พระเยซูคริสต์เจ้าตรัส เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราได้ฟังคำเทศนาหัวข้อการเกิดความกล้าหาญ นี่เป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกตชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ และวันนี้ พี่น้องจะได้ฟังสิ่งที่มากับแพ็กเกตอีกเรื่อง จากกิจการซีรี่ส์ในวันนี้ กิจการ4:32-37 32 คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง33 และด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน34 เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย35 และนำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมาวางไว้ที่เท้าของบรรดาอัครทูต พวกอัครทูตจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามความจำเป็น36 โยเซฟผู้ที่บรรดาอัครทูตเรียกว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นเลวีชาวเกาะไซปรัส37 มีที่ดินก็ขายเสีย และนำเงินค่าที่ดินนั้นมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต หากเราย้อนกลับไปที่ข้อ 31 31 เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นก็หวั่นไหว แล้วพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ได้ทำให้สาวกของพระเยซูคริสต์ได้รับใจที่กล้าหาญ และสิ่งที่ตามมาในแพ็กเกตเดียวกันนี้อยู่ในข้อ 32 32 คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คำว่า น้ำหนึ่งใจเดียวกัน รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า หัวใจและวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว One heart and One soul หัวใจเดียว แปลว่า มีความคิดและความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว ส่วนคำว่า วิญญาณเดียว แปลว่า สิ่งเป็นอยู่ภายใน (Inner Being) ชีวิตภายในเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นี่คือการเปลี่ยนแปลงของชีวิตภายใน ความคิด อารมณ์ความรู้สึกและวิญญาณภายในไม่มีความขัดแย้งกัน แต่ไปในทิศทางเดียวกัน ในท่ามกลางคนจำนวนมากมายที่ รับเชื่อครั้งแรก 3,000 คน ต่อมาอีก 5.000 คน และยังมีมาสมทบอีกทุกๆวัน คนจำนวนมากที่เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว มีการยอมรับและเห็นพ้องกันในหลักข้อเชื่อ ในสาระของความชื่อที่คนเหล่านี้มีความคิดและวิจารณ ญาณ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดต่างทำหน้าที่อย่างเดียวกัน และเข้าใจคำสั่งข้อบังคับอย่างเดียวกัน ต่างเกาะติดความเข้าใจอย่างเดียวกัน และมีจุดบรรจบและเห็นภาพอย่างเดียวกัน และนี่คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของความรักที่มีต่อกันและกัน วิญญาณของเขาทั้งหลายได้ผูกติดกัน จนกลายเป็นวิญญาณเดียวในสังคมขนาดใหญ่ของคริสเตียน อริสโตเติลถูกตั้งคำถามถึงลักษณะความสัมพันธ์แบบนี้ว่าคืออะไร แล้วท่านก็ตอบว่า นี่คือ วิญญาณเดียวที่อยู่ในร่างของคนสองคน แน่นอน สังคมที่มีความสัมพันธ์แบบนี้ ใครๆก็อยากจะอยู่ ไม่มีความเห็นแก่ตัว มีแต่รอยยิ้ม และมิตรไมตรี และการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีแต่การปรนนิบัติ ช่วยเหลือกันและกัน มีแต่คนที่คอยเฝ้ามองดูความต้องการของกันและกัน และนี่คือแพ็กเกตที่มาพร้อมกับชีวิตที่เกิดผลในพระเยซูคริสต์ ขอพระเจ้าทรงช่วยคริสตจักรของเราให้ย้อนกลับไปเหมือนคริสตจักรยุคแรกที่ได้รับทั้งแพ็กเกต มีหัวใจและวิญญาณเดียวในชีวิตของเราแต่ละคน ก่อนที่เราจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หากเรายังมีความขัดแย้ง สับสนในชีวิตของเรา นั่นคือสัญญาณว่า เรายังใช้ชีวิตคริสเตียนอย่างไม่คุ้มค่า คือไม่ได้รับทั้งแพ็กเกต แสดงว่าเรากำลังขาดทุนอยู่ คุณจะยอมให้ตัวเองขาดทุนอยู่หรือ อุตส่าห์เดินตามพระเยซูทั้งชีวิต แต่ไม่ได้รับทั้งแพ็กเกต คุณรู้ไม๊ว่าแพ็กเกทนี้จ่ายราคาแพง ให้บอกกับคนข้างๆว่า ขอให้เรารับทั้งแพ็กเกต แล้วเราจะเป็นคนที่สร้างสังคมที่น่าอยู่ด้วยกันที่เด่นชัดดังนี
1.การให้กลายเป็นนิสัยถาวร กิจการ 4:32
32 คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง คนไทยมีคำพูดเกี่ยวกับนิสัยถาวร คือ สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก และมักจะใช้ในแง่ลบ แต่ข้าพเจ้าอยากให้เรามีสันดานในแง่บวก นั่นคือการให้ ไม่ง่ายที่คนเราจะยอมให้ของๆตนเองเป็นของคนอื่นฟรีๆ ยกเว้นแต่คนในครอบครัวเดียวกัน และบางครอบครัวในสมัยของเราก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ภาษาไทยเรียกว่า งก เรามักเอาเด็กเล็กในบ้านเรามาเล่าเป็นเรื่องตลก เมื่อเห็นความงกของเด็กตัวเล็ก เพราะเขายังเด็ก การแสดงความงกออกมาอย่างชัดเจนดูน่ารัก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ดูน่าเกลียด และน่ารังเกียจ ผู้ใหญ่จึงมีภาษาแสดงความงกแบบเนียนๆ ด้วยเหตุผลว่า ให้ไม่ได้เพราะ…..เหตุผลนู่นนี่นั่น สารพัดจะมีข้อกล่าวอ้าง…. ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่ได้ยินสมาชิกของเราบางคน (หวังว่าอนาคตจะทั้งหมด) มักจะพูดว่า เขาเดือดร้อนกว่าเรา ในขณะที่เราก็จำกัดและกำลังมีปัญหา นี่คือสิ่งที่มากับแพ็กเกตชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ การมีหัวใจและวิญญาณเดียว ทำให้ความคิดกับอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว เวลาคนเราจะให้ในขณะที่มีจำกัด เราจะใช้อารมณ์จะมาเหนือเหตุผล (ขัดแย้งกับเหตุผล) ว่าทำไมต้องให้ในขณะที่จำกัด หรือมีคำถามว่า สมควรหรือไม่สมควรให้ ถ้าทำตัวไม่ดี ก็ไม่ให้ นี่คืออารมณ์กับเหตุผลไม่เป็นหนึ่งเดียวแล้ว เรารับรู้ว่ามีความต้องการ แต่เรารู้สึกว่า ไม่สบอารมณ์ไปด้วย นี่ก็คืออาการของความไม่เป็นหนึ่งเดียวของความคิดกับอารมณ์ แถมวิญญาณภายในเราไม่สงบ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาของคน วิญญาณกับความคิดก็ไม่เป็นหนึ่งเดียว นิสัยถาวรแห่งการให้ยากที่จะเกิด ความหมายของคำว่า นิสัยถาวร แปลว่า ธรรมชาติ ตรงกันข้ามกับธรรมชาติของการให้ คือ ไม่อยากจะให้ ไม่พร้อมจะให้ ไม่ชอบการให้ และคนที่มีธรรมชาติตรงกันข้ามกับการให้ มักจะไม่มีคำว่า ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง แต่คนบางคน การให้ได้กลายเป็นธรรมชาติ เป็นนิสัยถาวร สิ่งที่เขามีอยู่ในการครอบครองของตนเอง เขาจะจัดการมันราวกับว่ามันเป็นของส่วนกลาง คือเป็นเงินสำหรับสาธารณะ (Public Fund) นี่คือลักษณะของคนที่มีหัวใจและวิญญาณเดียว 2โครินธ์ 8:12-14 12 เพราะว่าถ้ามีน้ำใจพร้อมอยู่แล้ว พระเจ้าก็พอพระทัยที่จะทรงรับตามที่ทุกคนมีอยู่ มิใช่ตามที่เขาไม่มี13 ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าให้การงานของคนอื่นเบาลง และให้การงานของพวกท่านหนักขึ้น14 แต่เป็นการให้กันไปให้กันมา ในยามที่พวกท่านมีบริบูรณ์เช่นเวลานี้ ท่านก็ควรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน และในยามที่เขามีบริบูรณ์ เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า จะมีวันหนึ่งที่ผู้ให้จะกลายเป็นผู้รับ เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นผู้ให้ ก็จงฉวยโอกาสการเป็นผู้ให้ และเมื่อเราต้องอยู่ในภาวะที่ต้องเป็นผู้รับ โอกาสนั้นจะมาถึงเราทันเวลาเสมอ แต่บางคนไม่ยอมเป็นผู้ให้ ในโอกาสที่มาถึง เมื่อถึงเวลาจะเป็นผู้รับ เวลาแห่งการเป็นผู้รับของเขาจะถูกยืดยาวออกไป นี่คือกฏฝ่ายวิญญาณอันหนึ่ง อ.เปาโลได้กล่าวด้วยตัวเองเป็นแบบอย่างในการให้ว่า กิจการ 20:33-35 33 ข้าพเจ้ามิได้โลภเงินหรือทอง หรือเสื้อผ้าของผู้ใด34 ท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองได้จัดหาปัจจัยสำหรับตัวข้าพเจ้า กับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’ ” หรือกล่าวอย่างประสบการณ์ในการให้ของตัวข้าพเจ้าเอง ยิ่งให้ยิ่งได้รับ และยิ่งให้เร็วก็ยิ่งได้รับเร็ว และในชีวิตการเป็นคริสเตียนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยขาดแคลนเลย จงฝึกชีวิตกับการให้ ให้เป็นนิสัยของคนที่มีหัวใจและวิญญาณเดียว อย่าให้ด้วยความรู้สึกขัดแย้ง ด้วยความเสียดายหรือการฝืนใจ เพราะนั่นมาจากการมีสองจิตสองใจ ซึ่งพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า 2โครินธ์ 9:7-8 7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี8 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย นี่คือการย้ำถึงการมีหัวใจและวิญญาณเดียว
2.ทำให้คนอื่นไม่ขัดสนกลายเป็นวิถี กิจการ 4:33-35
33 และด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน34 เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย35 และนำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมาวางไว้ที่เท้าของบรรดาอัครทูต พวกอัครทูตจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามความจำเป็น พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคนประเภทที่ทำให้ตนเองขัดสนในหนังสือสุภาษิต18:9 9 บุคคลที่หย่อนยานในการงาน ก็เป็นพี่น้องกับคนเจ้าทำลาย ความหมายของคำว่า เจ้าทำลาย ในภาษาฮีบรูแปลว่า คนที่ใช้สิ่งต่างๆอย่างสิ้นเปลือง สิ้นเปลืองในการใช้ชีวิต ใช้ เวลาอย่างคนฆ่าเวลา ใช้ทรัพยากรอย่างผลาญไปไม่เกิดประโยชน์ส่วนรวม วิถีชีวิตอย่างนี้นำไปสู่ความยากจน สุภาษิต 10:4 4 มือที่หย่อนเป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งกระทำให้มั่งคั่ง ความยากจนแปลว่าขัดสน วิถีชีวิตของคนเจ้าทำลาย ใครอยู่ใกล้ก็จะทำให้ขัดสน มีตัวอย่างของบางคนใช้คำพูดทำให้ตัวเองขัดสน เช่น เจอหน้าเป็นพูดแต่ความขัดสนของตนเอง จนกลายเป็นวิถีชีวิตของตนเอง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ยิ่งคนเราพูดถึงตัวเองบ่อยๆซ้ำๆ ในเรื่องนั้นๆ มันจะกลายเป็นจริง ทั้งๆที่มันไม่เป็นจริง น่าสนใจ ถ้าเราเอาพระคัมภีร์ฮีบรูตอนหนึ่งมาพูดแต่ความขัดสนของตนเอง ฮีบรู 11:1 1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง ถ้าคุณพูดว่า คุณจะขัดสน มันจะกลายเป็นความเชื่อที่ส่งผลต่อชีวิตให้ขัดสน ความขัดสนที่ไม่มีอยู่จริงจะมาเพิ่มเติมในชีวิตของคุณ เพราะฉะนั้น อย่าเอาความขัดสนมาเป็นวิถีชีวิต สิ่งที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคแรกตอนนี้ ที่บันทึกว่า 34 เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย นักวิชาการทางพระคัมภีร์คาดการณ์ว่านี่อาจอยู่ในช่วงเวลาที่เรียกว่า ปีจูบีรี่ (Jubilee Year) ปีเป่าเขาสัตว์หมายถึงชัยชนะ ปีจูบิลี่จะเวียนมาทุก 7 รอบของ 7 ปี (สะบาโต)เป็นเวลา 49 ปี ดังนั้นปีที่50จึงเป็นปีเฉลิมฉลองจูบิลี่ ที่ดินไร่นาบ้านเรือนจะกลับคืนไปสู่มือเจ้าของเดิมอัตโนมัติ เลวีนิติ 25:13-16 13 “ในปีเสียงเขาสัตว์นี้ให้ทุกคนกลับไปสู่ภูมิลำเนาอันเป็นทรัพย์สินของตน14 เจ้าจะขายนาให้เพื่อนบ้านก็ดี หรือซื้อจากเพื่อนบ้านก็ดี เจ้าอย่าโกงกัน15 ตามจำนวนปีหลังจากปีเสียงเขาสัตว์ เจ้าจงซื้อนาจากเพื่อนบ้านของเจ้า และให้เขาขายแก่เจ้าตามจำนวนปีที่ปลูกพืชได้16 ถ้ามากปีก็ต้องเพิ่มราคาสูงขึ้น ถ้าน้อยปีเจ้าจงลดราคาให้ต่ำลง เพราะที่เขาขายนั้นเขาก็ขายตามจำนวนปีที่ปลูกพืช จากกฎหมายของยิวนี้ ทำให้ช่วงเวลาที่มีคนรับเชื่อมากมายมาเป็นสาวกพระเยซู เป็นช่วงเวลาที่คนยิวบางคนมีเงินมากเกินจากที่มีอยู่ จากคำยืนยันที่อ.เปาโลใช้ใน 2โครินธ์8:14 14 แต่เป็นการให้กันไปให้กันมา ในยามที่พวกท่านมีบริบูรณ์เช่นเวลานี้ ท่านก็ควรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน และในยามที่เขามีบริบูรณ์ เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน คำว่า มีบริบูรณ์ รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า มีเกินจากที่มีอยู่ จึงสามารถตอบโจทย์บางคนที่อยู่ในความต้องการคือขัดสน และจากจำนวนคนที่มารับเชื่อจำนวนมากมายนับหมื่นคนในจังหวะเวลานั้น อาจอยู่ในแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยคนมากมายจากเหตุการณ์การรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทำให้ตอบโจทย์คนที่ติดขัดได้ เพราะมีคนที่มีเกินจำนวนมากพอๆกับคนที่ติดขัด ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์…เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันสามารถตอบโจทย์ในจังหวะเวลาที่มีความต้องการ 34 เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย คือการบอกว่า ผู้เชื่อเหล่านี้ได้แพ็กเกตเต็มๆเรื่องการเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองแล้วยังเปลี่ยนวิถีชีวิตคนรอบข้างที่มีความเชื่ออย่างเดียวกัน ทำให้คนอื่นไม่ขัดสน จนกลายเป็นวิถีชีวิตของตนเอง และในแพ็กเกตนี้ยังต่อยอด เรียกว่า โปรโมชั่นอีก คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตกลายเป็นของประทานและความสามารถในการรับใช้ที่เด่นชัด มีคุณลักษณะชีวิตใหม่
3.หนุนน้ำใจกลายเป็นคุณลักษณะชีวิต กิจการ 4:36-37
36 โยเซฟผู้ที่บรรดาอัครทูตเรียกว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นเลวีชาวเกาะไซปรัส37 มีที่ดินก็ขายเสีย และนำเงินค่าที่ดินนั้นมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต แบบอย่างที่เด่นชัดได้ถูกยกขึ้นมาในเรื่องนี้ คือโยเซฟ ที่ถูกบรรดาอัครทูตเปลี่ยนชื่อให้เป็นบารนาบัสซึ่งแปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ น่าสนใจที่นี่คือ โยเซฟคนนี้ เป็นยิวที่เกิดในไซปรัส คือต่างประเทศ และยังเป็นพวกเลวีอีก ความเป็นคนเลวี ทำให้รู้ว่า ที่ดินที่โยเซฟคนนี้ขายไป ไม่ใช่มรดก เขาไม่ได้อยู่ในกฎของปีจูบิลี่ คนอื่นจะรวยขึ้นหรือจนลง ไม่เกี่ยวกับเขา แต่เขามีที่ดินที่จะขาย นั่นหมายความว่า เป็นที่ดินที่เขาได้รับมาด้วยวิธีอื่น แน่นอนเขามีที่ดินในการครอบครองของตนเอง และในการรับใช้ของโยเซฟคนนี้เด่นชัดในเรื่องการหนุนน้ำใจคนอื่น อาจด้วยของประทานในการเผยพระวจนะและสอน ทำให้เขามีความเด่นในการรับใช้ และถูกนับรวมในจำนวนอัครทูตในภายหลัง แม้เขาจะสอน จะเผยพระวจนะ แต่เขาก็ยังคงเป็นแบบอย่างของการเสียสละ ในฐานะของเลวีที่ไม่มีโอกาสที่จะมีที่ดินเลย หรือทำมาหากินเพราะมัวแต่รับใช้ในธรรมศาลา แต่เมื่อมีโอกาส เขาก็เสียสละการครอบครองนั้นเพื่อส่วนรวม ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนที่มีหัวใจและวิญญาณเดียว อย่างที่อ.เปาโลได้กล่าวถึงบารนาบัสว่า1โครินธ์ 9:6,12 6 เฉพาะข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือ ที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลิกทำงานหาเลี้ยงชีพ…..แต่ถึงกระนั้น เราก็มิได้ใช้สิทธิ์นี้เลย เรายอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุป สรรคขัดขวางข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์…นำสาวกของพระเยซูคริสต์เข้าสู่แพ็กเกตหัวใจและวิญญาณเดียว สาวกอย่างบารนาบัสได้เป็นแบบอย่างที่มากกว่านั้นด้วยการสละสิทธิ์ที่ตนมี คาดว่า ของประทานที่บารนาบัสมีคือการเผยพระวจนะและการสอน และเมื่อของประทานนั้นได้ส่งผลให้เขาแสดงออกมาเป็นการกระทำ ของประทานและความสามารถในตัวของบารนาบัสยิ่งมีสิทธิอำนาจมากยิ่งขึ้น จนการเรียกชื่อของบารนาบัสกลายเป็นคุณลักษณะชีวิตของตัวเขา คือลูกแห่งการหนุนน้ำใจ แปลว่า อยู่ที่ไหน คนได้รับการหนุนน้ำใจ แสดงให้เห็นว่า บารนาบัสมีพลังและอิทธิพลทางจิตใจที่มากกว่าคนทั่วไปมี และเป็นที่ต้องการของสังคมในยามที่กำลังท้อแท้และขาดกำลังใจ เราจะเป็นคนที่รอรับกำลังใจ หรือเป็นคนที่คนอื่นรอรับกำลังใจจากเรา ปรากฏตัวที่ไหนก็ทำให้คนได้รับการหนุนใจ โปรโมชั่นนี้เป็นจริงได้ เริ่มต้นจากการจัดการกับหัวใจและวิญญาณของเราให้ไม่ขัดแย้งกันเสียก่อน เราจึงจะเป็นอย่างทหารที่พร้อมรบในสงครามฝ่ายวิญญาณที่ดุเดือด 1พงศาวดาร 12:23,33 23 ต่อไปนี้เป็นจำนวนทหารติดอาวุธ ผู้มาหาดาวิดในเมืองเฮโบรน เพื่อจะมอบราชอาณาจักรของซาอูลให้กับพระองค์ ตามพระวจนะของพระเจ้า….33 จากคนเศบูลุน มีห้าหมื่นคนที่ฝึกแล้วเตรียมพร้อมเข้าสู้รบ สรรพด้วยอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงครามเพื่อช่วยเหลือ มิใช่ด้วยสองจิตสองใจ นี่คือภาพทหารที่พร้อมรบ คือทหารที่รับการฝึกแล้ว และวันนี้ สงครามฝ่ายวิญญาณในยุคของเรากำลังต้องการกองทัพที่พร้อมรบในรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือ การให้กำลังใจ พระเยซูคริสต์กำลังเรียกพวกเราทั้งหลายให้เข้าสู่กองทัพเป็นทหารของพระคริสต์ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือมิใช่รอความช่วยเหลือ นั่นคือคนที่มีหัวใจและวิญญาณเดียวในจำนวนคนที่กลับใจมากมาย ยากอบ 4:8 8 ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ คนที่มีหัวใจและวิญญาณเดียวเท่านั้นที่จะสร้างสังคมที่น่าอยู่ สังคมที่คนกำลังแสวงหา สังคมของคนที่มีหัวใจและวิญญาณเดียว อาเมน
“เกิดผลในพระคริสต์….เกิดเป็นหัวใจและวิญญาณเดียว”
1.การให้กลายเป็นนิสัยถาวร
2.ทำให้คนอื่นไม่ขัดสนกลายเป็นวิถี
3.หนุนน้ำใจคือคุณลักษณะชีวิต