“ชีวิตที่เกิดผล….พระเจ้ายิ่งใช้งาน” (ศจ.สิริกานต์ มาศตะยาสิริ)
ขอบคุณพระเจ้าที่ประเทศชาติของเรากำลังก้าวสู่การปฏิรูป การจัดการกับความไม่ถูกต้องต่างๆ มีการเรียกคนดีกลับเข้ามาใช้งานในที่ที่คนดีเคยอยู่แต่ถูกกลั่นแกล้ง อย่างเช่นคุณหญิงพรทิพย์ ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องเป็นข้าราชการที่ตงฉิน มีคำที่ว่า ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เป็นสำนวนหมายถึงคนที่ไม่ยอมอะลุ้มอะล่วยกับความไม่ถูกต้อง เรียกว่า เป็นคนมีคุณสมบัติเหมาะสำหรับการถูกใช้งานในภาวะเหตุการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ เราทั้งหลายอาจจะไม่มีชื่อเสียง ไม่โดดเด่น จนถูกเรียกใช้งานจากทางราชการ แต่เราทั้งหลายที่นี่ก็สามารถถูกเรียกใช้งานโดยพระเจ้า แท้จริง คริสเตียนต้องเป็นคนที่กระตือรือร้นอยากให้พระเจ้าใช้งาน มีเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถมองเห็นความคาดหวังในการใช้งานปรากฏในหนังสือ มัทธิว 21:18-19 18 ครั้นเวลาเช้า ขณะเสด็จกลับไปยังกรุงอีก ก็ทรงหิวพระกระยาหาร19 และเมื่อทอดพระเนตรไป ทรงเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง ก็ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ เห็นต้นมะ เดื่อนั้นไม่มีผลมีแต่ใบเท่านั้น จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้นว่า “เจ้าจงอย่าผลิผลอีกต่อไป” ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไป บริบทตอนนี้บอกว่าพระเยซูคาดหวังและต้องการผลมะเดื่อจากต้นไม้ริมทางนี้ ที่จะออกผลนอกฤดู เนื่องจากมันมีใบมาก แสดงถึงอายุของต้นมะเดื่อมาก แต่ปรากฏว่า มันไม่ออกผลอย่างที่พระเยซูทรงคาดหวัง (พระองค์ทรงหิวจริงและต้นมะเดื่อที่อยู่ในเส้นทางของการหิวของพระเยซู ด้วยอายุ และใบที่มาก น่าจะมีผลออกนอกฤดูให้คนเดินทางอย่างพระเยซูที่ผ่านมาได้ แต่กลับไม่ใช่ นอกจากต้นมะเดื่อนี้จะทำให้พระเยซูผิดหวังแล้ว มันคงจะทำให้คนมากมายที่เดินทางบนเส้นทางนี้ผิดหวังด้วยเช่นกัน บันทึกในหนังสือมาระโกจึงบันทึกว่ามาระโก 11:14 14 พระองค์จึงตรัสแก่ต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” ….. แปลว่า เจ้าอย่าอยู่เพื่อทำให้คนอื่นผิดหวังกับเจ้าอีกเลย App. เราได้เห็นคนมากมายที่ผิดหวังกับคนที่ควรจะใช้งานได้ แต่กลับไม่ได้เรื่อง ไม่มีคุณภาพ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว คนแบบไหนอีกที่เราไม่อยากเรียกใช้งาน คนเหล่านี้ กลายเป็นคนที่ไม่อยู่ในบรรดารายชื่อที่จะถูกเรียกใช้งานอีกเลย เราทั้งหลายคงไม่อยากเป็นคนแบบนั้น พระเจ้าก็ไม่อยากจะใช้คนที่ไม่เกิดผล แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่มีชีวิตที่เกิดผล….พระเจ้ายิ่งใช้งาน นั่นคือ ชีวิตที่ตอบโจทย์ให้กับคนรอบข้างในยามที่เขากำลังหิวกระหายโหยหา จงอย่าทำให้คนอื่นผิดหวัง และบทเรียนที่เราจะศึกษากิจการซีรี่ย์ เรื่องชีวิตที่เกิดผล…พระเจ้ายิ่งใช้งาน… มีดังนี้ กิจการ 5:17-29 17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านคือพวกสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง18 จึงได้จับพวกอัครทูตจำไว้ในคุกหลวง19 แต่ในเวลากลางคืนทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า ได้มาเปิดประตูคุก พาพวกอัครทูตออกไป บอกว่า20 “จงไปยืนในบริเวณพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง”21 เมื่ออัครทูตได้ยินอย่างนั้น พอรุ่งเช้าก็เข้าไปสั่งสอนในบริเวณพระวิหารต่อไปฝ่ายมหาปุโรหิตประจำการกับพรรคพวกของท่าน ได้เรียกประชุมคือพฤฒสภาทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครทูตออกมา22 เจ้าพนักงานก็ไปแต่ไม่พบพวกอัครทูตในคุก จึงกลับมารายงานว่า23 “ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่ที่ประตู ครั้นเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”24 เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกมหาปุโรหิตได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครทูตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป25 มีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า “นี่แน่ะ คนเหล่านั้นซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในบริเวณพระวิหาร”26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงาน จึงได้ไปพาพวกอัครทูตมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง 27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตประจำการจึงถามว่า28 “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”29 ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์
ยิ่งพวกอัครทูตเกิดผลมากเท่าใด สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่มีชีวิตที่ไม่เกิดผลอย่างพวกมหาปุโรหิต และพวกสะดูสีก็เกิดอาการหนึ่งคืออิจฉา ความจริงก่อนหน้านี้ พวกมหาปุโรหิตและพวกสะดูสีก็เกิดอาการวิตกกังวล กิจการ 4:2 2 ด้วยเขางุ่นง่านใจเพราะท่านทั้งสองได้สั่งสอนและประกาศแก่คนทั้งหลาย ถึงเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยอ้างการคืนพระชนม์ของพระเยซู…ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเพราะเกี่ยวพันกับความผิดที่ตนเองปกปิดไว้ เรื่องการกล่าวหาเท็จต่อพระเยซูจนพระองค์ถูกตรึงที่กางเขน แต่พอมาถึงบทที่ห้านี้ พวกมหาปุโรหิตและพวกสะดูสีเกิดอีกอาการ คืออิจฉา อันนี้เนื่องมาจากพวกอัครทูตกำลังฮ้อตมาก ประชาชนมากมายทั้งในเยรูซาเล็มและจากเมืองรอบๆกรุงเยรูซาเล็มต่างมาหาพวกอัครทูตในบริเวณพระวิหาร (ที่ทำงานของพวกมหาปุโรหิตและพวกสะดูสี) พวกมหาปุโรหิตก็เลยว่างงานนั่งตบยุง และยิ่งมองเห็นพวกอัครทูตมีประชาชนมาห้อมล้อม และประชาชนก็ได้รับการช่วยเหลือทุกคนหายดี ทุกคนมีความยินดี จึงเป็นเหตุให้ 17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านคือพวกสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง 18 จึงได้จับพวกอัครทูตจำไว้ในคุกหลวง นี่คืออาการของคนที่ไม่เกิดผลอย่างที่ควรจะเกิด พระเยซูไม่ต้องสาปคนเหล่านี้ให้เหี่ยวไปเหมือนต้นมะเดื่อข้างทาง แต่คนเหล่านี้กำลังดำเนินชีวิตที่เหี่ยวแห้งด้วยพฤติกรรมของตนเอง แทนที่จะวิเคราะห์ว่า เหตุใดประชาชนจึงไปหาพวกอัครทูต ซึ่งหาคำตอบได้ไม่ยาก คือพวกอัครทูตมีสิ่งที่ประชาชนต้องการ ประชาชนต้องการการช่วยเหลือ การรักษา การปลดปล่อยจากปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ แต่พวกมหาปุโรหิตและพวกสะดูสี คิดแต่ว่า ถ้ากำจัดพวกอัครทูตด้วยการจับติดคุก ก็จะหมดคู่แข่งในเรื่องการทำงานของตนเอง แต่หารู้ไม่เลยว่า เพราะตนเองไม่มีชีวิตที่เกิดผลต่างหาก แต่อะไรเกิดขึ้นกับพวกอัครทูต เมื่อถูกขังอยู่ในคุก 19 แต่ในเวลากลางคืนทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า ได้มาเปิดประตูคุก พาพวกอัครทูตออกไป บอกว่า20 “จงไปยืนในบริเวณพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง”21 เมื่ออัครทูตได้ยินอย่างนั้น พอรุ่งเช้าก็เข้าไปสั่งสอนในบริเวณพระวิหารต่อไป คุกหลวง หมายถึงคุกที่เป็นทางการ เป็นห้องขังสำหรับขังนักโทษ ซึ่งแตกต่างจากคุกอันแรกที่พวกอัครทูตถูกจับ เป็นแค่เพียงที่พวกอัครทูตถูกควบคุมตัวเท่านั้น แต่ คุกหลวงเป็นห้องขังที่ล็อกไว้ไม่ให้ไปไหนได้ และครั้งนี้ พระเจ้าได้ใช้ทูตของพระองค์มาเปิดประตูคุก 19 แต่ในเวลากลางคืนทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า ได้มาเปิดประตูคุก พาพวกอัครทูตออกไป บอกว่า20 “จงไปยืนในบริเวณพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง”น่าแปลกที่ทำไมพระเจ้ารอไม่ได้แม้แต่คืนเดียวที่พวกอัครทูตจะต้องอยู่ในคุก(ห้องขัง) ไม่เหมือนคราวก่อน พระเจ้าต้องการสื่ออะไรในตอนนี้ ทำไมพระเจ้าจึงใช้ทูตของพระองค์มาเปิดประตูคุกพาพวกอัครทูตออกมา คำตอบคือคำสั่งการใช้งานที่ทูตสวรรค์ให้กับพวกอัครทูต ประชาชนที่จะเข้ามาในพระวิหารในวันรุ่งขึ้นกำลังหิวกระหายที่จะได้ฟังข้อความแห่งชีวิตใหม่ พระเจ้าจึงรอไม่ได้แม้แต่คืนเดียวที่จะปล่อยให้คนที่มีชีวิตที่เกิดผลอยู่ในคุก คุกมีไว้ขังคนที่ทำผิด เพื่อไม่ให้คนที่คุกคามคนอื่นออกไปคุกคามคนได้อีก คุกมีไว้สำหรับคนที่ต้องรับการปรับปรุงแก้ไข บางประเทศพิมพ์ข้อความไว้ที่หลังเสื้อของคนที่ติดคุกว่า อยู่ในระหว่างปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนเราดำเนินชีวิตภายนอกดูเหมือนมีอิสรเสรีภาพ แต่ชีวิตภายในเหมือนติดคุก และพระเยซูคริสต์เจ้าทรงเสด็จมาด้วยเหตุผลหลักนี้ ลูกา 4:18 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ พระเยซูคริสต์เจ้าทำให้คนได้รับการปรับปรุงแก้ไข และออกจากคุกหยุดคุกคามคนอื่น เราจึงเห็นคนที่กลับใจใหม่ เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ จากนิสัยไม่ดี เปลี่ยนเป็นนิสัยดี จากคนปากร้ายเป็นคนสุภาพ จากคนก้าวร้าวเป็นคนอ่อนโยน จากคนขี้ขโมยเลิกขโมย จากคนชอบแก้ตัว เป็นคนชอบแก้ไข จากคนติดสิ่งเสพติด เลิกสิ่งเสพติดได้ จากคนติดการพนัน เลิกการพนัน จากคนโลภ เป็นคนที่ไม่โลภ จากคนใจแคบเป็นคนใจกว้างขวาง จากคนที่ฟุ้งเฟ้อ เป็นคนสมถะ จากคนมือเติบ เป็นคนรู้จักใช้เงิน อะไรอีกมากมาย นี่คือลักษณะของคนที่ได้รับการปลดปล่อยออกจากคุกที่ติดมานาน คำถามก็คือ มีคริสเตียนที่กลับไปติดคุกอีกไม๊ ….มี เพราะฉะนั้น บทเรียนสำหรับเราในวันนี้คือ
- ระวังอาการหมดอายุการใช้งาน กิจการ 5:21ข-25
…ฝ่ายมหาปุโรหิตประจำการกับพรรคพวกของท่าน ได้เรียกประชุมคือพฤฒสภาทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครทูตออกมา22 เจ้าพนักงานก็ไปแต่ไม่พบพวกอัครทูตในคุก จึงกลับมารายงานว่า23 “ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่ที่ประตู ครั้นเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”24 เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกมหาปุโรหิตได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครทูตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป25 มีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า “นี่แน่ะ คนเหล่านั้นซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในบริเวณพระวิหาร”บันทึกที่นี่ทำให้เราได้เห็นการออกอาการของพวกมหาปุโรหิต คือ ฉงนสนเท่ห์…..จะเป็นอย่างไรต่อไป ภาษากรีกตรงนี้ แปลว่า มึนตึ๊บ สมองทึบ คิดอะไรไม่ออก ความจริงก็ไม่น่าจะมีใครคิดออกในเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกอัครทูต ประตูคุกปิดแน่นหนา รวมทั้งมีคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วพวกอัครทูตออกไปได้อย่างไร หากเราย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ที่ พระคัมภีร์บันทึกว่า พวกอัครทูตออกจากคุกผ่านประตู ไม่ได้หายตัว แล้วคนยามมองไม่เห็นหรือ เราเคยดูหนังที่มีกล้องวงจรปิด แล้วมีคนฉายซ้ำในกล้องว่า ยังเป็นวิวเดิม แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ทำอะไรบางอย่างที่คนเฝ้าประตูคุกไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เขายังยืนเฝ้าประตูคุกเหมือนกับว่า พวกอัครทูตยังอยู่ในคุก ในยุคนั้นไม่เข้าใจถึงเทคโนโลยีล่วงหน้าสองพันปีว่า มีสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในยุคของเราแล้ว ถ้าพระเจ้าจะช่วยคนที่พระองค์ต้องการจะใช้ ด้วยเทคโนโลยีล่วงหน้าเราอีกสักสิบปี เราคิดว่าเป็นไปได้ไม๊ ข้าพเจ้าคิดว่า มันเกิดขึ้นกับใครบางคนบนโลกใบนี้บ้างแล้ว แน่นอน กับคนที่มีข้อความแห่งชีวิตใหม่ที่จะแบ่งปันให้คนที่หิวกระหายและโหยหา แต่สำหรับคนที่ยังมึนตึ๊บ สมองทึบ ก็ยังงมโข่งอยู่กับอะไรที่โลว์เทค พร่ำแต่คำว่า ไม่เข้าใจและไม่เข้าใจอยู่นั่น ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตที่เกิดผล…พระเจ้ายิ่งใช้งาน อาการหมดอายุการใช้งาน ไม่มีอะไรสดใหม่ มีแต่ของที่หมดอายุแล้ว ซึ่งอ.เปาโลใช้สำนวนเปรียบเทียบสองสิ่งนี้ว่า 2โครินธ์ 2:16 16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้ เป็นการบอกว่า จะมีคริสเตียนที่เป็นกลิ่นแห่งชีวิต และก็มีคริสเตียนที่เป็นกลิ่นแห่งความตาย ของหมดอายุมักจะส่งกลิ่นที่ไม่ดี และสิ่งที่ไม่ดีมักจะรบกวนคนที่อยู่ใกล้ มีใครที่คนที่อยู่ใกล้รู้สึกถูกรบกวนไม๊ นี่คืออาการหมดอายุการใช้งาน คำว่า ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้ พันธกิจที่ว่าคืออะไร ก็คือ กลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ซึ่งตรงกันข้ามกับกลิ่นแห่งความตาย กลิ่นแห่งความตายนำไม่สู่ความตาย อาหารหมดอายุกินแล้วป่วย และอาจถึงตาย กลิ่นเหม็นดมมากๆทำให้ป่วยและเป็นโรคที่อาจถึงตาย คำพูดไม่ดี ฟังมากๆ ทำให้อารมณ์คนฟังป่วย และอาจทำให้คนพูดถึงตาย…. และทำให้คนฟังที่ป่วยทำให้คนอื่นตายก็ถึงตายด้วย เพราะฉะนั้น อาการหมดอายุการใช้งาน เป็นสิ่งที่ไม่ดีและนำไปสู่ความตาย ระวังอาการหมดอายุการใช้งาน(นอกจากคนจะไม่อยากใช้งาน…พระเจ้าก็ไม่อยากใช้งาน) สุภาษิต 16:27 27 คนไร้ค่า ปองทำความชั่ว วาจาของเขาเหมือนอย่างไฟลวก ภาษาฮีบรู มีสองความหมาย แปลว่า ปราศจากผลกำไร ความไร้ค่า และอีกความหมายหนึ่งแปลว่า การทำลาย ความชั่วร้าย คำพูดเหมือนอย่างไฟลวก ใครได้ฟังก็บาดเจ็บ เป็นคำพูดของคนที่มีอาการหมดอายุการใช้งาน ข่าวดีก็คือ อาการหมดอายุการใช้งาน สามารถรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ได้อีก ในพระคัมภีร์มีคำอยู่สองคำในการเปลี่ยนแปลงใหม่ คำหนึ่ง คือคำว่า ฟื้นฟู อีกคำคือคำว่า ถูกสร้างใหม่ คำว่า ถูกสร้างใหม่ คือการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีในชีวิตมาก่อน แต่คำว่า ฟื้นฟู คือการรับการเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่สิ่งที่เคยเป็น (ที่เคยเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว) การระวังอาการหมดอายุการใช้งาน คือการสำรวจชีวิต เมื่อพบว่ามีอาการหมดอายุการใช้งาน คือสัญญาณเตือนว่า เราต้องการการฟื้นฟูและการเปลี่ยนแปลงใหม่ในชีวิตของเรา จงตอบสนองต่อการค้นพบนั้น อย่าเป็นเหมือนคนที่หนังสือยากอบได้กล่าวว่า ยากอบ 1:22-24 22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง23 เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา24 เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร
- ไม่จำเป็นต้องปกป้องตนเอง กิจการ 5:26-29
26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงาน จึงได้ไปพาพวกอัครทูตมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง 27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตประจำการจึงถามว่า28 “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”29 ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ มีคนประเภทที่ชอบปกป้องตัวเอง ยังไม่มีใครจะทำอะไร ก็ระแวง และโจมตีคนอื่นเขาก่อน อย่างเช่น พวกปุโรหิตและพวกสะดูสี ที่ความวิตกกังวลกับความผิดของตนเองกลับมาอีกครั้ง ทั้งๆที่พวกอัครทูตไม่ได้พูดให้ร้ายพวกปุโรหิตเลย เมื่อให้ทหารไปพาพวกอัครทูตมาที่หน้าสภา ความวิตกกังวล และระแวงทำให้มหาปุโรหิตยังพูดคำเดิมๆ และตั้งข้อกล่าวหาเท็จกับพวกอัครทูตเพิ่มอีก 28 “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา” ลักษณะการทำงานของสมองทึบ จะมีแต่คำพูดที่วนเวียนกับปัญหาเดิมๆเหมือนเมื่อคราวก่อน กิจการ 4:18-1918 เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมาแล้วห้ามปรามเด็ดขาดไม่ให้พูด หรือสอนออกพระนามของพระเยซูอีกเลย19 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นตอบเขาว่า “จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าข้าพเจ้าควรจะเชื่อฟังท่าน หรือควรจะเชื่อฟังพระเจ้า ขอท่านทั้งหลายพิจารณาดู ที่น่าสังเกต ในบทที่สี่ อยู่ตรงที่เปโตรกับยอห์น ได้เปิดโอกาสให้มหาปุโรหิตค้นพบคำตอบด้วยสมองของตนเอง (ที่ตำเแหน่งมหาปุโรหิต คือการันตีของความเข้าใจในเรื่องยากๆ เพราะฉะนั้นเรื่องที่เปโตรและยอห์นถามไม่ยากที่จะเข้าใจ) ขอท่านทั้งหลายพิจารณาดู แต่พอบทที่ห้า เปโตรและอัครทูตเจอบริบทของมหาปุโรหิตแบบเดิม ดังนั้นคำตอบสำหรับคนที่วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆจึงไม่่ใช่ให้ใช้สมองเองแล้ว แต่ช่วยคิดให้เลยด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ เป็นคำยืนยันที่มาจากเปโตรและพวกอัครทูตอื่นๆ ที่ชัดเจน สำนวนอย่างคนในยุคของเราก็คือ ฉันต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังคนที่ออกอาการหมดอายุอย่างคุณ ฟังดีๆพี่น้อง เราจะเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ (ที่ไม่มีชีวิตของพระคริสต์ในชีวิตของเขา) มีคริสเตียนไม่น้อยเอาประโยคการเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์มาใช้แบบตกขอบ เลยทำให้คริสเตียนไม่น้อย ไม่ฟังคนของพระเจ้าที่มีคำแนะนำที่มาจากพระเจ้า และคริสเตียนไม่น้อยก็หลงเข้าใจผิดว่าตนเองได้ยินเสียงของพระเจ้า เลยไม่มีใครเตือนได้เลย เพราะเขาไม่ฟังมนุษย์ เขาจะฟังแต่เสียงที่เขาเข้าใจว่าคือเสียงของพระเจ้าที่เขาจะได้ยินเอง หรือบางทีเขาไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า แต่เขาก็อ้างว่า เขาจะรอฟังเสียงของพระเจ้ามากกว่าฟังเสียงของมนุษย์ บ่อยครั้งที่พระเจ้าจะตรัสผ่านคนรอบข้างเรา และคนเหล่านั้นก็ทำหน้าที่ปกป้องเราด้วย อย่าคิดแต่ว่า คนรอบข้างที่พูด จะตำหนิอย่างเดียว บางทีเขากำลังปกป้องเรา คำเตือน คำหวังดี เป็นเหมือนเกราะที่ปกป้องเรา อิสราเอลเคยมีประสบการณ์พระเจ้าเงียบเป็นเวลาสี่ร้อยปี เป็นยุคที่พระเจ้าไม่พูดอะไรเลยกับอิสราเอล จนพระเจ้าเริ่มพูดอีกครั้งผ่านผู้เผยพระวจนะยอห์น บัพติสโต วันนี้ พระเจ้าไม่เงียบ และพระเยซูได้ทำให้สาวกของพระองค์พูดอย่างผู้เผยพระวจนะทุกคน และคนที่พระเจ้าจะใช้ให้พูดคือคนนั้นมีข้อความแห่งชีวิตใหม่ คือสิ่งที่พระเจ้าอยากจะพูดกับคนมากมาย พระเจ้ายิ่งใช้งานคนแบบนั้น อย่างพวกอัครทูต และคนที่พระเจ้าใช้งานจะไม่กลัว แต่ตรงกันข้ามคนที่มนุษย์ใช้งานจะกลัว 26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงาน จึงได้ไปพาพวกอัครทูตมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้างและคนที่พระเจ้าใช้งาน มักจะเป็นคนที่ประชาชนต้องการ ดังนั้น พวกทหารจึงกลัวคนที่ประชาชนต้องการ ไม่กล้าทำร้ายพวกอัครทูต ทำไมประชาชนต้องการ เพราะพวกอัครทูตกำลังทำให้ประชาชนได้รับการเติมเต็มด้วยความหิวกระหายชีวิตใหม่ในประชาชนนั่นเอง พวกอัครทูตไม่รู้ เขารู้แต่ว่า เขาทำตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยการเชื่อฟัง ทูตของพระเจ้าบอกให้พวกเขาไปพูดข้อความแห่งชีวิตใหม่ให้ประชาชนฟัง และเมื่อพวกมหาปุโรหิตใส่อารมณ์กับพวกอัครทูตว่า ทำไมไม่ทำตามที่สั่ง 29 ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ เพราะพวกอัครทูตทำตามคำสั่งจากพระเจ้า พวกอัครทูตไม่มีความกลัวอีกเลย ในขณะที่พวกหาปุโรหิตได้เกณฑ์คนในสภาทั้งประจำการ ไม่ประจำการ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมาก็ถูกเรียกให้มา เพื่อจะจัดการกับพวกอัครทูตฝ่ายมหาปุโรหิตประจำการกับพรรคพวกของท่าน ได้เรียกประชุมคือพฤฒสภาทั้งหมดของชนอิสราเอล แต่กลายเป็นการประจานตัวมหาปุโรหิตเองในการพูดด้วยความกลัวต่อหน้าคนในสภาที่เกณฑ์มาว่า การตายของพระเยซูเป็นชนักปักหลังของพวกเขาอยู่ 28 “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”ความกลัวทำให้มหาปุโรหิตพยายามเอาคนที่มีอำนาจมาอยู่ในสภามากที่สุด มากกว่าปกติโดยได้เรียกประชุมคือพฤฒสภาทั้งหมดของชนอิสราเอล ในทางกลับกัน พระเจ้าใช้พวกอัครทูตไปอยู่ท่ามกลางมวลมหาประชาชน และแบ่งปันคำแห่งชีวีตใหม่แก่คนเหล่านั้น นี่คือการต่อสู้ของคนที่พระเจ้าใช้ โดยไม่รู้ตัว กับคนที่มนุษย์เกณฑ์มาเพื่อต่อสู้ให้กับตัวเอง ดังนั้น คนที่พระเจ้าใช้ ไม่จำเป็นต้องปกป้องตนเอง จึงเป็นคนที่เผชิญกับการข่มเหงได้อย่างกล้าหาญ (ไม่ทันรู้ถึงการจัดเตรียมของพระเจ้า) พระเจ้าเป็นผู้จัดให้เอง เพราะเขาคือคนที่พระเจ้ายิ่งใช้งาน พวกอัครทูตจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องตัวเอง คนที่ปกป้องตัวเองตลอดเวลาจะไม่กล้าเผชิญกับการข่มเหงที่แท้จริง
“ชีวิตที่เกิดผล….พระเจ้ายิ่งใช้งาน”
1.ระวังอาการหมดอายุการใช้งาน 2.ไม่จำเป็นต้องปกป้องตนเอง