“เกิดผลในพระคริสต์….จบดี”
การเริ่มต้นปีใหม่ด้วยเป้าหมายของการจบดี น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่จะคิด ตรวจสอบชีวิต และวางแผนการดำเนินชีวิตให้ดี มีวินัย จัดระเบียบชีวิตใหม่ หรือมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีหลายคนที่พอมาถึงการวางแผนก็ดูดี แต่มักจะกลายเป็นแผนที่ถูกวางไว้โดยไม่ได้มีการกระทำตามแผน planning แผนเหล่านั้นจึงไม่ได้เริ่ม หรือไปไม่รอด หรือมีทีท่าที่จะจบไม่ดี คิดจะทำแต่ไม่ได้ทำ ก็ไม่มีประโยชน์ นานเข้ากลายเป็นคนไม่วางแผนอะไรเลยก็มี คือทำอะไรตามความรู้สึกอยากทำหรือไม่อยากทำ แล้วก็หาเหตุผลว่า ไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา หรือแบบกำปั้นทุบดินว่าขี้เกียจ เพราะฉะนั้น สัปดาห์แรกของปีใหม่นี้ เราน่าจะเริ่มต้นด้วยความตั้งใจและตามการทรงนำของพระเจ้า หัวข้อประจำปีใหม่ของคริสตจักรในปีนี้ คือ “เกิดผลในพระคริสต์” และข้าพเจ้าขอเริ่มต้นการเกิดผลในพระคริสต์ด้วย ความรู้สึกอยากจะ…จบดี” และแน่นอน เรามีแบบอย่างที่คลาสสิคและที่สุดของการจบดี คือพระเยซูคริสต์กับสาวกของพระองค์ พระคัมภีร์ที่เราจะศึกษาในวันนี้จากหนังสือกิจการ 1:1-11 1 ท่านเธโอฟีลัส ในหนังสือฉบับแรกนั้น ข้าพเจ้ากล่าวแล้วถึงทุกสิ่งที่พระเยซูทรงตั้งต้นทำและสั่งสอน2 จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไป หลังจากตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์กับบรรดาอัครทูตซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้3 เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระองค์กับพวกเขาด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงกล่าวถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า4 ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา5 นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 6 เมื่อเขาทั้งหลายประชุมพร้อมกัน พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้ชนชาติอิสราเอลในครั้งนี้หรือ?”7 พระองค์ตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะรู้เวลาและวาระที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่านและท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา10 เมื่อพวกเขากำลังเขม้นมองดูฟ้า ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไป มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
หนังสือกิจการเป็นพระกิตติคุณที่ถูกบันทึกโดยหมอลูกาเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่มีการเรียงลำดับเหตุการณ์ต่อเนื่องจากหนังสือลูกาซึ่งเป็นหนังสือเรื่องแรกที่หมอลูกาได้กล่าวถึงทุกสิ่งที่พระเยซูทรงตั้งต้นทำและสั่งสอน2 จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไป พระเยซูคริสต์เจ้าทรงจบดีด้วยการถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ต่อหน้าต่อตาเหล่าสาวก พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา10 เมื่อพวกเขากำลังเขม้นมองดูฟ้า ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไป มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” การจบดีของพระเยซูคริสต์ คือการจบบทบาทความเป็นมนุษย์ของพระองค์อย่างสวยงาม พระองค์ทรงถ่อมโดยไม่ถือว่าพระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้า และถ่อมจนถึงความมรณาแม้กระทั่งการมรณาที่กางเขน ซึ่งเป็นการยอมเสียสละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก เส้นทางกางเขนที่ต้องเอาชนะตนเอง แบกกางเขนและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น ในสายตาของคนมากมาย มองว่าเป็นการจบชีวิตที่น่าสงสาร แต่ความจริงคือ กางเขนไม่ได้เป็นจุดจบของพระเยซูคริสต์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์มากมายที่ได้รับโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในพระเจ้า การจบดีของพระเยซูในบทบาทของมนุษย์คือการปรากฏอีกครั้งหลังจากฟื้นขึ้นมาจากความตาย และถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาเหล่าสาวก แม้พระเยซูคริสต์เจ้าจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงสามารถปรากฏพระองค์กับสาวกคนอื่นได้อย่างที่พระองค์ต้องการ 1โครินธ์ 15:5-9 5 พระองค์ทรงปรากฏแก่เคฟาส แล้วแก่อัครทูตสิบสองคน6 ภายหลัง พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนมากยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็ล่วงหลับไปแล้ว7 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ แล้วแก่อัครทูตทั้งหมด8 ครั้งหลังที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด9 เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในพวกอัครทูต และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต เพราะว่าข้าพเจ้าได้เคี่ยวเข็ญคริสตจักรของพระเจ้า นี่เป็นคำพยานของอ.เปาโลที่กล่าวถึงการปรากฏของพระแยซูแก่ท่านขณะที่ท่านกำลังเดินทางไปเมืองดามัสกัสเพื่อข่มเหงคริสเตียน อ.เปาโลเกือบจะจบไม่ดีในเส้นทางที่ท่านคิดว่า คือการรับใช้พระเจ้า แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงปรากฏแก่ท่านเพื่อให้ท่านรู้ความจริงว่า ท่านกำลังเดินผิดทาง และอ.เปาโลต้องหันกลับจากทางที่ตนเองตั้งใจจะเดินและสามารถไปถึงสุดทางในน้ำพระทัยพระเจ้า การจบดีของพระเยซูคริสต์คือการเดินไปจนถึงสุดทางและทรงดำรงอยู่นิรันดร ไม่ใช่การดับสูญ หรือว่างเปล่า ไร้ตัวตน หรือเป็นแค่พลังงาน พระองค์ยังคงความเป็นบุคคล เป็นพระเจ้าที่มีลักษณะความเป็นพระเจ้าสามลักษณะ คือ ทรงฤทธานุภาพ Omnipotence ทรงสัพพัญญู Omniscience และทรงอยู่ทุกหนแห่งอย่างที่ทรงต้องการได้ Omnipresence การทรงถูกรับไปบนสวรรค์ต่อหน้าต่อหน้าสาวกคือลักษณะของการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระองค์ มิใช่มาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่กลับมาอย่างพระเจ้า ทั้งหมดนี้คือการจบดีของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงทำสำเร็จในเรื่องของการจบดี พระองค์ไม่ได้ทำเพื่อตัวพระองค์เอง แต่พระองค์ทรงเป็นผู้บุกเบิกคนแรกเพื่อให้สาวกของพระองค์ทุกคนจบดีเหมือนกับพระองค์ด้วยฮีบรู 12:1-8 1 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า 3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย5 และท่านได้ลืมคำเตือน ที่พระองค์ได้ทรงเตือนในฐานะที่เป็นบุตรว่า บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อถอยในเมื่อพระองค์ทรงตีสอนนั้น 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น 7 ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง8 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ และนี่คือกระบวนการของการจบดี ที่ต้องมีการขับเคี่ยวชีวิต ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า shaping ภาษาไทยในพระคัมภีร์ใช้คำว่า ตกแต่งจนกว่าเราจะสวยงามเพื่อวันรอคอยการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซูคริสต์เจ้า 1เธสะโลนิกา 4:14,16-17 14 เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น มากับพระองค์… 16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ พระคัมภีร์ตอนนี้บอกให้เรารู้ว่า คริสเตียนผู้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้าไม่ว่า คนเป็นหรือคนตายที่เดินในแนวทางเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ชีวิตจะเกิดผลอย่างพระเยซูคริสต์และ จบดีที่สวรรค์ ไม่ใช่นรก ถูกรับขึ้นไป มิใช่ถูกทิ้งไว้ ดังนั้น กุญแจสำคัญคือคำตรัสที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับสาวกก่อนถูกรับขึ้นไป 8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” พระเยซูไม่ได้บอกว่า พวกท่านจะต้องมีอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องเก่ง ต้องมีความสามารถ ต้องร่ำรวย ต้องฉลาด จึงจะจบดี แต่พระเยซูทรงตรัสถึงแต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเรา นี่คือประโยคทองคำ ที่ให้บทเรียนแก่สาวกของพระเยซูคริสต์ในยุคนั้น และยุคต่อๆมา ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า ฤทธานุภาพ ที่สาวกจะได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ รากศัพท์ภาษากรีกดูนามิส แปลว่า “ฤทธานุภาพ” เรามักจะสนใจไปที่เรื่องของการอัศจรรย์ พลังเหนือธรรมชาติ แต่คำแรกของคำแปลกรีกนี้ที่น่าสนใจคือคำว่า force แปลว่า กำลัง ความเข้มแข็ง ความกระฉับกระเฉง และคำตรงกันข้ามของคำเหล่านี้ในพจนานุกรมเล็กซิตรอน ให้คำตรงกันข้ามว่า ความอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง (ความเจ็บป่วย, จุดอ่อน,เปราะบาง,อ่อนกำลัง) พระเยซูตรัสกับสาวกว่าให้รอคอยจนกว่าจะรับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน นั่นหมายถึง กระบวนการสู่การจบดีอย่างพระเยซู ต้องพึ่งพากำลังที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะแสดงออกเป็นผลฝ่ายวิญญาณที่ตรงกันข้ามกับการงานของเนื้อหนัง กาลาเทีย 5:19-25 19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า (แปลว่า จบไม่ดี)22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย การงานเนื้อหนังถูกเปรียบเทียบกับผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็หมายถึงการงานของเนื้อหนังก็คือผลที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ คือผลของเนื้อหนัง ซึ่งพระเยซูได้ตรัสถึงการรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน มัทธิว 7:17-20 17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา ต้นไม้ที่ไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ คือความหมายเดียวกันกับการไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าก็คือ ไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ หมายถึงการอยู่ในบึงไฟนรก นั่นคือจบไม่ดี คำที่ยุคของเราใช้เพื่อปรามคนให้กลัว ก็คือคำว่า นรกมีจริง เพื่อใช้กับคนที่ชอบ ไปในที่ไม่ควรไป คบคนที่ไม่ควรคบ ติดสิ่งที่ไม่ควรติด ดำเนินชีวิตอย่างที่ไม่ควรเป็น รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ควร แต่ก็อยากจะทำ พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นกับคริสเตียนได้ เมื่อคริสเตียนไม่ใส่ใจต่อคำเตือนของพระคัมภีร์ 1ยอห์น2:15-16 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก เมื่ออาดัมและเอวาทำบาปก็ซ่อนตัวจากพระเจ้า ไม่อยากพบพระเจ้า เราจะเห็นว่า คนที่ซ่อนตัวคือคนที่รู้จักพระเจ้า กษัตริย์ดาวิดก็เคยซ่อนความบาปของตัวเองจากพระเจ้า และพบความจริงว่า เขาไม่สามารถซ่อนได้ จนเขาได้เขียนบทเพลงสดุดีตอนหนึ่งว่า สดุดี 139:7-8 7 ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ 8 ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น การไม่สามารถซ่อนความบาปของเราได้ คือสิ่งที่บอกเราว่า เราจะต้องรับผลของความบาป ด้วยการจบเห่ ไม่ใช่จบดี ความบาปคืออะไร ความบาปแปลว่า พลาดไปจากเป้าหมายหรือน้ำพระทัยพระเจ้า อะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้า คริสเตียนยิ่งเก่า ยิ่งแก่ มักหาข้ออ้างว่า ไม่รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าคืออะไร และอ้างว่า การไม่รู้ไม่ผิด ความจริงนี่คือการแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ มีคำสอนในพระคัมภีร์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้าในหนังสือโรม 12:2 2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม การจะรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้าต้องเริ่มต้นจากการเลิกพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ ไม่ไปในที่ไม่ควรไป ไม่ติดสิ่งที่ไม่ควรติด เพราะสิ่งเหล่านี้คือรูปเคารพทั้งสิ้น มีเพลงคริสเตียนเก่าๆเพลงหนึ่งร้องเล่นๆกันว่า ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้ (หารถเก๋ง) ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้ (หาผู้หญิง) ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้ (หาเงินทอง) ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้ (หาข้อมูลด้วยการดูทีวี) ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้ (หาความสนุก) ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้ วิญญาณท่านจะต้องตายชั่วนิรันดร์ มาหาพระเยซูผู้ทรงรักท่าน ๆ 2ทิโมธี 3:1-9 1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค2 เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม3 ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี4 ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า5 ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ6 เพราะในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนที่แอบไปตามบ้าน แล้วลวงหญิงที่เบาปัญญาหนาด้วยบาป และหลงใหลไปด้วยตัณหาต่างๆ ไปเป็นเชลย7 หญิงพวกนี้จะฟังทุกคนที่พูด แต่ไม่อาจที่จะเข้าถึงหลักแห่งความจริงได้เลย8 ยันเนสกับยัมเบรส์ได้ต่อต้านโมเสสฉันใด คนเหล่านี้ก็ต่อต้านความจริงฉันนั้น เขาเป็นคนใจทราม และในเรื่องความเชื่อนั้นเขาใช้ไม่ได้เลย9 แต่เขาจะไปได้ไม่กี่น้ำ เพราะความโง่ของเขาจะปรากฏแก่คนทั้งปวง เช่นเดียวกับความโง่ของชายสองคนนั้น พระคัมภีร์กล่าวถึงสิ่งบอกยุคว่าเป็นยุคสุดท้าย และในยุคของเรามีลักษณะของคนที่พระคัมภีร์กล่าวทั้งสิ้น นั่นหมายถึงคนที่อ้างว่าตนเองเป็นคริสเตียนแต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างที่ตนเองอ้าง ก็เหมือนกับ ยันเนสกับยัมเบรส์ซึ่งเป็นนักมายากลที่ฟาโรห์เรียกมาเพื่อเลียนแบบไม้เท้ากลายเป็นงูที่โมเสสได้ทำตามที่พระเจ้าสั่ง แต่ไม้เท้าของโมเสสได้กลืนงูจากไม้เท้าของคนเหล่านั้น ฟาโรห์ต้องการให้นักมายากลสองคนแสดงว่าพวกเขาก็ทำอย่างที่พระเจ้าสั่งให้ทำได้ นี่คือการเปรียบเทียบที่อ.เปาโลได้กล่าวถึงคนที่เลียนแบบวิถีชีวิตคริสเตียนที่คิดว่าการเป็นคริสเตียนแบบเนื้อหนังก็เป็นได้ 8 ยันเนสกับยัมเบรส์ได้ต่อต้านโมเสสฉันใด คนเหล่านี้ก็ต่อต้านความจริงฉันนั้น เขาเป็นคนใจทราม และในเรื่องความเชื่อนั้นเขาใช้ไม่ได้เลย9 แต่เขาจะไปได้ไม่กี่น้ำ เพราะความโง่ของเขาจะปรากฏแก่คนทั้งปวง เช่นเดียวกับความโง่ของชายสองคนนั้น คริสเตียนที่เป็นแบบชายสองคนนั้นก็จะจบเห่เหมือนกัน อ.เปาโลยังกล่าวถึงคริสเตียนที่จบเห่ในหนังสือ ทิตัส 1:16 16 เขาแสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้า แต่ว่าในการกระทำของเขา เขาก็ปฏิเสธพระองค์ เขาเป็นคนน่าชัง ไม่เชื่อฟังใคร และไม่เหมาะที่จะกระทำกรรมดีใดๆ เลย พระเยซูได้ให้กุญแจสำคัญแก่สาวกของพระองค์เพื่อการจบดี และนี่คือสิ่งที่เราทั้งหลายในวันนี้จะนำไปสำรวจเพื่อวางแผนปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตใหม่เพื่อ…..จบดี มีดังนี้
1.ขอกำลังขอฤทธิ์เดช กิจการ 1:8ก
8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน
การที่คนเราจะขอกำลังขอฤทธิ์เดช นั่นหมายความว่า คนๆนั้นจะต้องมาถึงการยอมรับว่าตนเองนั้นขาดกำลังและอยู่ในสภาวะที่ความช่วยเหลือของมนุษย์ก็ช่วยไม่ได้ มันต้องเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าล้วนๆ ความตระหนักในเรื่องนี้จึงจะทำให้มาถึงการขอกำลังและขอฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์รอไว้ล่วงหน้าแล้ว การที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสให้สาวกรอคอยการเสด็จมาเหนือสาวก คือช่วงเวลาแห่งความเชื่อที่จะได้รับ การใช้เวลาแห่งความเชื่อที่จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมอลูกาได้บันทึกในกิจการบทนี้ในข้อ 4 -5 4 ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา5 นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”คนที่รับบัพติศมาด้วยน้ำจากยอห์น เริ่มจากท่าทีกลับใจใหม่และขอการยกโทษบาปจากพระเจ้าด้วยการรับบัพติศมาด้วยน้ำ เช่นเดียวกัน คนที่จะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยความเชื่อตามพระสัญญาของพระบิดา ลูกา 11:9-10,13 9 เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน10 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา….13 เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”เรามักจะใช้พระคัมภีร์ตอนนี้เพื่อขอในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อแก้ปัญหาที่เราเผชิญ เราคาดหวังคำตอบแบบสำเร็จรูป แต่หากเราพิจารณาดูดีๆ เราจะพบว่า นี่คือการแนะนำให้ขอกำลัง ขอฤทธิ์เดช ให้กับตัวเราเองเพื่อเราจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยกำลังที่มาจากพระเจ้า คริสเตียนมักจะโยนความรับผิดชอบในส่วนที่เป็นของตนเองให้กับพระเจ้า โดยอธิษฐานขอและเฝ้ารอคอยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น นี่คือการขอให้พระเจ้าสำแดงผล แต่ชีวิตของตัวเราไม่เกิดผล พระเยซูให้สาวกรอคอยเพื่อจะรับพระราชทานฤทธิ์เดช การรอคอยก็คือการขอ เราเคยเห็นคนมายืนรอเพื่อขอ เรารู้ว่า การยืนรอ คือการขอ รอจนคนให้ต้องเอามาให้ และนี่คือการที่เราจะได้รับกำลังรับฤทธิ์เดช ข้าพเจ้าอยากให้เราได้สำรวจตัวเราขณะนี้ว่า เราเป็นคนเปราะบาง อ่อนไหว อ่อนแอ ขาดกำลังไ ร้เรี่ยวแรง อย่างไร ขอให้เราได้เริ่มต้นที่จะขอกำลัง ขอฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตภายในผู้เชื่อ ทรงทำกิจของพระองค์ ให้เราเอาชนะการงานของเนื้อหนัง อันได้แก่ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้ หากเรายังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตของเรา ขอให้เราเริ่มต้นความตั้งใจที่จะต่อสู่กับการงานของเนื้อหนังเหล่านี้นับจากวินาทีนี้ และขอให้ความตั้งใจที่เริ่มในห้องประชุมนี้ได้ถูกดำเนินต่อไป แม้จะออกไปจากห้องนี้ก็ขอให้มีตัวช่วย ช่วยเรา ไม่ว่าจะเป็นภรรยา สามี ลูก พี่ น้อง น้าอา พ่อแม่ เพื่อนรอบข้าง ขอให้เขาเป็นตัวช่วย ขออย่าให้เรามองคนเหล่านั้นเป็นคนขัดคอ หมูจะหามเอาคานมาสอด อย่าให้เรามองว่าเขาเป็นตำรวจคอยจับผิดเรา แต่ขอให้เราเปลี่ยนมุมมองว่านี่คือการช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการช่วยให้เราจบดี มีชีวิตที่เกิดผลที่ดี เป็นต้นไม้ที่ดี นี่แหล่ะคือกำลังและฤทธิ์เดชที่พระเจ้าประทานมาให้อยู่ใกล้ตัวเรา บอกกับคนข้างๆว่า ขอบคุณที่คอยช่วยฉัน อย่างน้อยก็ให้ฉันไม่ลืมว่า ยังมีพระเจ้าที่ฉันต้องยำเกรง มีคนเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงความหมายของหมวกใบเล็กกลมๆบนศรีษะของผู้ชายยิว มีความหมายว่า เหนือชีวิตของเขายังมีพระเจ้าที่เขาต้องยำเกรงเสมอ ข้าพเจ้าเชื่อว่า นี่คือท่าทีของคนที่ต้องการจะจบดี เป็นท่าทีของคนที่ถ่อมใจและรู้ว่า เหนือเขายังมีพระเจ้า และประการสุดท้ายของการดำเนินชีวิตที่จะจบดี…
2.เปิดเผยความจริงของพระเยซูคริสต์ กิจการ 1:8ข
และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
คำว่า พยาน witness ในพจนานุกรมเล็กซิตรอนให้ความหมาย คือ การเปิดเผยความจริง และพระเยซูคริสต์ทรงตรัสถึงสาวกที่รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะมีชีวิตที่เปิดเผยความจริง และต้องเป็นความจริงของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ความจริงของพระเยซูคริสต์ไม่เปลี่ยน แม้สาวกจะอยู่ที่ไหน ไกลแค่ไหน นั่นหมายความว่า สาวกจะแข็งแรง ไม่เปราะบาง หรือแตกหักเมื่อพบกับแรงต่อต้านความจริง เพราะความจริงก็ยังคงเป็นความจริง และย่อมชนะเสมอ เหมือนกับไม้เท้าของโมเสสที่กลายเป็นงูกลืนงูที่มาจากไม้เท้าของยันเนสและยัมเบรส์ ซึ่งหมายถึงการพยายามใดที่ต่อต้านความจริงของพระเจ้าก็จะพ่ายแพ้ไป หากประยุกต์ใช้กับชีวิตที่ใกล้ตัวเรา นั่นหมาย ความว่า การดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง ไม่โกหก ก็คือการเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์ สาวกของพระเยซูจะไม่อยู่ในการหลอกลวง มีความน่าเชื่อถือได้ ไม่ดำเนินชีวิตที่ทำลายความน่าไว้วางใจ สุภาษิต 19:22 22 สิ่งที่น่าปรารถนาในตัวมนุษย์คือความจงรักภักดี และคนยากจนยังดีกว่าคนมุสา ขอให้เราทั้งหลายจงดำเนินชีวิตที่เปิดเผยความจริง แต่ไม่ใช่โพทนาความน่าอายของตัวเองหรือของคนอื่น แต่หมายถึงการไม่ใช้ชีวิตอยู่ในการโกหก มุสา เฉไฉ ตอแหล ข้าพเจ้าจำตัวอย่างที่อาจารย์ประยูรเคยให้ไว้เมื่อสมัยท่านหนุ่มๆว่า มีคนชอบพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เพื่อให้คนเข้าใจอย่างนั้น แต่ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด นั่นก็คือการโกหก กาลเวลาผ่านไปหลายสิบปี ในยุคของเรา มีคนมากขึ้นมากจริงๆ (โดยเฉพาะคริสเตียน) ที่ชอบพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวเพื่อให้คนเข้าใจอย่างที่ตนเองต้องการ คริสเตียนอย่างนี้จบไม่ดีแน่ๆ หากเรากำลังเป็นคริสเตียนที่เปิดเผยความจริงเพียงเป็นเครื่องมือให้ตัวเราปกปิดความบาปในชีวิตของเราต่อไป เรากำลังเดินคนละทางกับความจริงของพระเยซูคริสต์เจ้า จบเห่แน่ๆ เพราะเส้นทางการติดตามพระเยซูคริสต์นั้นต้องเปิดเผยความจริงของพระเยซูคริสต์เท่านั้น มัทธิว 3:8-10 8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้10 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ
“เกิดผลในพระคริสต์….จบดี”
1.ขอกำลังขอฤทธิ์เดช
2.เปิดเผยความจริงของพระเยซูคริสต์