“เกิดผลในพระคริสต์…รู้คิดพลิกวิกฤตเป็นโอกาส”
มีประโยคหนึ่งที่ทำให้คนบางคนต้องสะดุ้ง “รู้นะคิดอะไรอยู่” ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ข้าพเจ้าเคยทักเสมียนในบริษัทเดียวกันว่า อย่าหนีไปเที่ยวอีกหล่ะ เพราะเป็นเวลาเย็นเลิกงานแล้ว แค่แซวเล่น แต่ปรากฏว่า เสมียนคนนี้ จริงจังมาก มานั่งข้างโต๊ะทำงานข้าพเจ้า เขม้นดูข้าพเจ้าแบบคาดคั้น จับพิรุธ แล้วถามว่า พี่รู้ได้ยังไง ว่าหนูหนีเที่ยว แค่นั้นแหล่ะ ข้าพเจ้าอธิษฐานในใจกับพระเจ้าว่า จะตอบเขายังไงดี ความจริงไม่รู้อะไรเลย และก็ได้คำตอบว่า ให้บอกเขาว่า พระเจ้ารักเธอนะ แค่นั้น เสมียนคนนี้น้ำตาร่วงร้องไห้ออกมา และสารภาพว่า หนูผิดไปแล้ว วันนั้น เสมียนคนนี้ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา บทเรียนของเสมียนคนนี้สอนข้าพเจ้าหลายเรื่อง มุมหนึ่งก็คือ ประสบการณ์ถ้อยคำแห่งความรู้ที่พระเจ้าให้ข้าพเจ้ามีแบบขั้นปฐมฯ อีกมุมหนึ่งคือข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไรที่เป็นลบเกี่ยวกับเสมียนคนนี้ แค่เอ็นดู ว่าคนอื่นเลิกงานกลับบ้านไปแล้ว เจ้านี่ยังต้องทำงานล่วงเวลา แต่คนที่มีอะไรในใจเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองทำผิดอยู่ หรือโดนทันฑ์บนอยู่ จึงร้อนตัวว่า คนอื่นจะคิดยังไงกับตนเอง ในชีวิตของคนเรา ต่างก็มีสิ่งที่เราผิดพลาดไม่ทางวาจา ก็อาจจะการกระทำ หรือแม้แต่ความคิด ที่คนเรามักคิดว่า ไม่เป็นไร แค่คิดเท่านั้น พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงมาตรฐานของพระเจ้านั้นไม่เว้นแม้กระทั่งความคิด มัทธิว 5:28-30 28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก30 ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก มาตรฐานของพระเจ้านั้นสูงกว่าที่มนุษย์คิด และวิธีการตัดสินการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ก็ต่างจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง พระเยซูคริสต์ยังสอนให้เรารู้คิดพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส คือการยอมเสียอวัยวะหรือแม้กระทั่งดวงตา เป็นการเปรียบเทียบว่า เรามัก จะเสียดายและรักบางส่วนที่เราหวงแหนเท่าชีวิต โดยลืมไปว่า ชีวิตทั้งหมดสำคัญที่สุดและควรหวงแหนมากที่สุด ดังนั้น จงยอมตัดส่วนที่หวงแหนออกไปหากส่วนของชีวิตนั้นทำผิดและมีผลให้พินาศทั้งชีวิต (คือตกนรก) กิจการซีรี่ส์วันนี้มาถึงเรื่อง “เกิดผลในพระคริสต์….รู้คิดพลิกวิกฤตเป็นโอกาส” กิจการ 3:11-26;4:411 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอนด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยเรื่องของคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของเราเอง13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธต่อหน้าปีลาต เมื่อปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย 17 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้ทำการนั้น เพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระคริสต์ซึ่งกำหนดไว้แล้วนั้นมาเพื่อท่านทั้งหลาย คือพระเยซู21 พระองค์นั้นสวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา22 โมเสสได้กล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน 23 ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่เชื่อฟังผู้เผยพระวจนะผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากชนชาติของพระเจ้า’ 24 และบรรดาผู้เผยพระวจนะ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน พยา กรณ์ ถึงกาลครั้งนั้น25 ท่านทั้งหลายเป็นลูก หลานของผู้เผยพระวจนะนั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า ‘บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า’ 26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อนเพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ทุกคนกลับจากบาปของตน”…..4 แต่คนเป็นอันมากที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน ครั้งแรกเปโตรนำคนกลับใจ 3,000 คน ครั้งนี้ มีคนกลับใจเพิ่ม (เฉพาะผู้ชาย)เป็น 5,000 คน ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ของเปโตรพัฒนาอย่างรวดเร็วมาถึงการต่อยอดที่เรียกว่ารู้คิดพลิกวิกฤตเป็นโอกาส วิกฤตที่ว่านี่เป็นของใคร หากเราย้อนกลับไปดูในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน บันทึกในหนังสือลูกาได้บันทึกเหตุการณ์หนึ่ง ลูกา 23:44-48 44 เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง45 ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง46 พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์47 ฝ่ายนายร้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้น จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม”48 คนทั้งปวงที่มาชุมนุมกันเพื่อจะดูการณ์นั้น เมื่อเห็นแล้วก็พากันตีอกของตัวกลับไป คนทั้งปวงที่มาชุมนุมเพื่อจะดูการประหารชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน พวกเขาได้เห็นสิ่งที่น่าตกใจคือ พระเยซูคริสต์อธิษฐานถึงพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่คนทั้งปวงเหล่านี้อธิษฐานวันละสามรอบ ถ้ามองอย่างคนยิว จะรู้ว่า บ่ายสามโมงถึงเวลาอธิษฐานแล้ว เขาต้องไปวิหารเพื่ออธิษฐานเหมือนกับที่เปโตรกับยอห์นไปพระวิหารตอนบ่ายสามโมงเป็นเวลาอธิษฐาน แต่พวกยิวมุงเหล่านี้กลับไม่ไป มัวแต่สนใจการประหารชีวิตคนบนไม้กางเขน พระเยซูคือคนหนึ่งที่อยู่ไม้กางเขน เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง พระองค์จึงอธิษฐานตรงนั้นด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายบนไม้กางเขน เป็นการทำบทบาทของการเป็นคนยิวที่ผูกพันกับพระเจ้าต่อหน้าคนยิว นายร้อยที่เป็นคนโรมันเห็นท้องฟ้ามืด แต่ไม่ได้เห็นม่านในวิหารขาดจากกลางลงล่าง (ซึ่งม่านในวิหารจะสูงมาก คนขึ้นไปฉีกจากข้างบนลงมาไม่ได้ เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติ นายร้อยเห็นแค่ท้องฟ้าก็รู้เลยว่า ถ้าจะพูดถึงพระเยซู ก็ต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า จึงพูดออกมาว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม” แปลว่า เขาจะไม่ตัดสินพระเยซูคริสต์อย่างที่คนยิวตัดสิน แม้คนยิวจะยืมมือคนโรมันฆ่าพระเยซูก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจตามมาก็คือ คนยิวที่มาดูการตรึงพระเยซูมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์เดียวกันนี้อย่างไร เมื่อเห็นแล้วก็พากันตีอกของตัวกลับไป ตรงนี้นักวิชาการทางพระคัมภีร์ตีความว่า คนยิวเหล่านี้กลับไปด้วยความรู้สึกตกใจสุดขีด สับสน กลัว รู้สึกแย่มากๆ ข้าพเจ้าคิดว่า ที่คนยิวรู้สึกแย่ และกลัว เพราะเวลาที่เขาควรจะไปอธิษฐานในพระวิหารในเวลาบ่ายสามโมง พวกเขากลับมารวมหัวกันตัดสินประหารพระเยซูคริสต์ที่ถูกกล่าวหาโดยไม่มีความผิด และพวกเขาก็ร่วมในการส่งเสียงว่า ตรึงเขา และปล่อยผู้ฆ่าคน ซึ่งเปโตรได้กล่าวในกิจการตอนนี้ พระเยซูผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธต่อหน้าปีลาต เมื่อปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย เมื่อปิลาตเจ้าเมืองตัดสินว่าพระเยซูไม่มีความผิดและตั้งใจจะปล่อยพระองค์ ปิลาตได้เสนอทางเลือกให้กับคนยิวเหล่านี้ระหว่างปล่อยพระเยซูและอาชญากรแต่พวกยิวกลับเลือกปล่อยผู้ฆ่าคนและตรึงพระเยซูแทน หากประยุกต์เรื่องนี้ในจังหวะชีวิตของเราทั้งหลาย วิกฤตชีวิตของเราอาจทำให้เรามาถึงทางเลือกที่จะปล่อยพระเยซูหรือปล่อยผู้ฆ่าคน ยอห์น 3:15 15 ผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็เป็นผู้ฆ่าคน และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย มาตรฐานของพระเจ้าสูงกว่ามนุษย์นัก แค่เพียงคิดเกลียดชังก็ถือว่าเป็น….ผู้ฆ่าคน ซึ่งคำตัดสินที่วิกฤตที่สุดคือ ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย คำถามก็คือว่า เราจะรู้คิดเรื่องนี้ไม๊ ให้เราถามคนข้าง คุณจะรู้คิดไม๊ว่าแค่รู้สึกเกลียดก็วิกฤตที่สุดแล้ว คำถามต่อไปก็คือว่า เราเคยเลือกปล่อยผู้ฆ่าคนในชีวิตของเราหรือไม่…ถ้าเคย นั่นคือ เราได้ตรึงพระเยซูเมื่อนั้น การมาโบสถ์ทำให้เราพ้นวิกฤตแล้วหรือยัง…ยัง ให้เรามาดูชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์….ทำให้รู้คิดอย่างไร
1.ทำให้รู้คิดว่าตนคือใคร กิจการ 3:11-12
11 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอนด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยเรื่องของคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของเราเอง การรู้คิดของเปโตรคือ การปฏิเสธตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งคนรอบข้างพยายามยัดเยียดให้เป็นผู้วิเศษ คนพิเศษ คนชอบธรรม จากผลงานคนง่อยเดินได้ เพราะแท้จริงคือผลจากพระนามของพระเยซู คนเรามีจุดอ่อน ใครชมเป็นเหลิง เป็นหลง ถึงแม้ไม่มีใครชม ก็ยังชมตัวเองได้ มีสำนวนที่ว่า ด๊อกขี้ โนบอดี้ยกเทล แปลว่า หมาขี้ ไม่มีใครยกหางให้มัน มันยกเอง มีความหมายถึงคนที่ชมตัวเองโดยไม่มีใครชม ถ้ายิ่งมีคนแกล้งชม (เพราะต้องการเอาใจ) จะมิหลงตัวเองไปกว่านั้นหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้อง อย่าพยายามทำให้คนเหลิง คนหลง อย่างไม่ถูกต้อง (เพราะเห็นว่าเขารวย เขาเก่ง เขามีอิทธิพลกับหน้าที่การงานของเรา หรือมีอิทธิพลในความอยู่รอดของเรา) สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปโตร จะเรียกว่า ของจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เปโตรรู้คิด ไม่หลงติดกับท่าทีของผู้คนที่ตอบสนองต่อชีวิตที่เกิดผลของเปโตร เปโตรรีบปฏิเสธทันที การรู้คิดจะปฏิเสธการให้ชีวิตของตนเองเป็นศูนย์กลาง และไม่ใช้ผลที่เกิดเป็นเครื่องมือแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศเพื่อตนเอง แม้เปโตรกับยอห์นจะไปพระวิหารเพื่อเป้าหมายในการเทศนาสั่งสอนอย่างพระเยซูคริสต์ที่ทรงเคยทำ ประเด็นคือเพื่อประกาศพระเยซูคริสต์ เปโตรกับยอห์น คือพยานของการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้ นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนควรรู้คิดเช่นเดียวกันว่า เราคือใคร เรามักจะอ้างว่า เราคือคนของพระเจ้า เราคือลูกของพระเจ้า เราคือลูกแห่งพระพร เราคือคริสเตียน(ผู้เดินตามทางนั้น) แต่น้อยนักที่เราจะอ้างว่า เราคือพยานการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ โธมัสคนช่างสงสัยการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ทำให้พระเยซูทรงตรัสล่วงหน้าถึงพวกเราในวันนี้เลย ยอห์น 20:25-29 25 สาวกอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” 26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก และโธ มัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด”28 โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”ความหมายของพระเยซูที่ตรัสกับโธมัส หมายถึงพวกเราในวันนี้ หากเราเชื่อพระองค์ แม้ไม่เห็นก็เหมือนกับเห็น คำว่า เป็นสุข แปลว่าพระพรสูงสุดและความมั่งคั่ง นั่นหมายความว่า ชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงจะรู้สึกถึงพระพรสูงสุดและสัมผัสถึงความมั่งคั่ง ยากอบใช้คำว่า มั่งมีในความเชื่อ แต่คริสตเตียนมากมายมักจะใช้ความเชื่อเพื่อความมั่งมี จึงทำให้ลืมตัวว่าตนคือใคร เปโตรเป็นพยานการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู เขาจึงเป็นคนที่มั่งมีในความเชื่อ ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์…ทำให้รู้คิดว่าตนคือใคร
2.มีฤทธิ์พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส กิจการ 3:14-17
14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย 17 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้ทำการนั้น เพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย เปโตรได้กล่าวถึง ฤทธิ์ หรือพลังที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส มาจากความเชื่อในพระนามของพระเยซู…. 16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลายวิกฤตของคนง่อยคือเดินไม่ได้ แต่วิกฤตได้กลายเป็นโอกาสเมื่อได้ฤทธิ์หรือพลังจากพระนามของพระเยซูที่ถูกใช้โดยผู้ที่มีความเชื่ออย่างเปโตร พจนานุกรมเล็กซิทรอนได้นิยามคำว่า “วิกฤต” หมายถึง ถึงขั้นอันตราย, ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อขั้นแตกหัก เช่น มรสุมชีวิต สาหัส ในคำเทศนาของพระเยซูเรื่องความกระวนกระวาย พระองค์สอนวิธีรับมือกับความกระวนกระวายว่า มัทธิว 6:33 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ วิกฤตทำให้เกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจ พระเยซูกำลังสอนสาวกของพระองค์ว่า แผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ใคร คนนั้นจะผ่านวิกฤตทุกชนิดไปได้ เปโตรเคยเจอกับวิกฤตและหนีวิกฤตด้วยการปฏิเสธพระเยซู และเสียใจแต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร จนเปโตรได้ตอบสนองการเรียกให้หันกลับและตั้งใจใหม่จากพระเยซู การรับมอบหมายให้เลี้ยงดูฝูงแกะ หมายถึงวงศ์วานอิสราเอลที่เป็นเหมือนแกะหลง เปโตรจึงมีอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่จะดูแลจิตวิญญาณของคน อาจตีความหมายตอนนี้ว่า แผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ในเปโตร แม้เปโตรจะไม่มีเงินทอง แต่พระเจ้าได้เพิ่มเติมสิ่งทั้งปวง นั่นคือสิ่งที่สามารถนำพาให้คนผ่านวิกฤตชีวิตไปได้ด้วยพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า เปโตรจึงก้าวเข้าไปในชีวิตที่เกิดผลสำหรับพวกคนยิวที่มาอธิษฐานกับพระเจ้าในพระวิหาร แต่ยังห่างไกลจากแผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้า สิ่งที่เปโตรมีคือพลัง(ฤทธิ์) ในการพลิกวิกฤตที่คนมองไม่เห็นให้กลายเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้พระเจ้าอย่างแท้จริง เปโตรไม่เหมือนเปโตรคนเดิมที่โผงผาง ใจร้อน พูดแต่คำไม่เข้าหูพระเยซู วันนี้ เปโตรคนใหม่ที่พูดจาอย่างฤทธิ์ ยกพระคัมภีร์ได้อย่างเหมาะสมกับวาระ มีคำหนุนใจในจังหวะที่คนต้องการ 17 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้ทำการนั้น เพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย เปโตรเปิดประเด็นวิกฤตของคนยิวที่กลับบ้านด้วยการตีอกตัวเองให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ โอกาสของความผิดที่ไม่มีวันได้รับการให้อภัย แต่ได้รับการให้อภัย นี่คือฤทธิ์ที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยเฉพาะวิกฤตความไว้วางใจ ที่ทำให้เราเสียความรู้สึก เจ็บปวด เป็นมรสุมชีวิตที่แสนสาหัส เราต้องการฤทธิ์และพลังอันนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราใช้ความเชื่อในพระนามของพระเยซูให้ชีวิตเกิดผลอย่างเปโตร ครั้งหนึ่งเปโตรเคยเป็นคนที่พูดไม่เข้าหูพระเยซู ทำอะไรก็ไม่เข้าท่า การตอบสนองต่อสถานการณ์แต่ละอย่างของเปโตรแต่ละครั้ง เรียกได้ว่า แย่มาก(สอบตก) จนสุดท้ายก่อนไก่ขันสามครั้งเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซู และสุดท้ายของสุดท้ายคือล้มกระดานไปเป็นชาวประมงเหมือนเดิม เปโตรเป็นคนที่พูดไว พูดดัง พูดเด็ดเดี่ยว แต่ทำอย่างที่พูดไม่ได้สักที ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเปโตรจะเปลี่ยนได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เราทั้งหลายอยากเปลี่ยนแบบนี้ไม๊ คุณเชื่อไม๊ว่า คุณสามารถเปลี่ยนได้ อย่างหน้ามือเป็นหลังเท้า สิ่งที่เปโตรแนะให้คนที่อยู่ในวิกฤตต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือ การกลับใจใหม่ ด้วยเหตุผลสองประการ
2.1 การกลับใจใหม่คือการกู้ชีวิตกลับคืนมา กิจการ 3:19-20;4:4 19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระคริสต์ซึ่งกำหนดไว้แล้วนั้นมาเพื่อท่านทั้งหลาย คือพระเยซู…… 4 แต่คนเป็นอันมากที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน ข้าพเจ้าได้เข้าไปในพื้นที่ฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีป้ายแยกโซนไว้สามโซน โซนแรก วิกฤตต้องช่วยชีวิต และโซนที่สอง วิกฤตไม่ต้องช่วยชีวิต (ตายแน่ๆ) และโซนที่สามรอดูอาการ คำว่า วาระพักผ่อนหย่อนใจ รากศัพท์ภาษากรีกหมายถึง การฟื้นฟู ลมหายใจที่กลับมาใหม่อีกครั้ง ในสภาพที่กำลังจะหมดลมหายใจแล้วกลับมาใหม่ ถ้าวันนี้พระเจ้าเตือนเราให้กลับใจใหม่ แสดงว่า เรากำลังอยู่ในโซนวิกฤตที่ช่วยชีวิตได้ แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจกับคำเตือนนี้บ่อยๆ วันหนึ่ง เราอาจเข้าไปอยู่ในโซนวิกฤตที่ไม่ต้องช่วยชีวิต นั่นคือ ไม่มีเสียงเตือนอีกต่อไป เรื่องราวในกิจการตอนนี้เริ่มต้นด้วยขอทานง่อยที่หากินกับคนยิวที่มาในพระวิหาร เพราะคนที่มาพระวิหารวันละสามเวลาเรียกตามภาษาชาวบ้านคือคนเอาพระเอาเจ้า จิตใจย่อมมีความเมตตาสงสารคนขอทาน แต่ดูเหมือนกลายเป็นขัดแย้งเมื่อเปโตรเทศน์ให้คนที่มาพระวิหารต้องกลับใจใหม่ เปโตรควรไปเทศน์ให้หญิงโสเภณี นักเลงอันธพาล คนเก็บภาษีดีกว่า เพราะที่พระวิหารมีแต่คนดีๆทั้งนั้น เปโตรกำลังเอามะพร้าวมาขายสวนหรือสอนจรเข้ว่ายน้ำอยู่หรือเปล่า แต่ผลลัพธ์คือว่า 4 แต่คนเป็นอันมากที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน แสดงให้เห็นว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าชีวิตที่เข้าไปในพระวิหารมันตรงกันข้ามกับจิตวิญญาณที่เป็นอยู่ และเปโตรจี้ตรงจุดให้พวกเขาต้องหันกลับและตั้งใจใหม่ การกลับใจใหม่คือการกู้ชีวิตกลับคืนมา 19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า ตราบใดที่บาปยังอยู่ เหล็กไนของความตายก็ทำงานของมัน ทำให้ไม่มีฤทธิ์ที่จะพลิกวิกฤตของชีวิตได้ การกลับใจใหม่คือการเดินเข้าไปสู่การช่วยเหลือจากพระเจ้า ให้พระเจ้าต่อลมหายใจของเราอีกครั้ง หลายคนใช้คำว่าต่อลมหายใจกับการมีเงินมาช่วย มีนู่นนี่นั่นที่ขาดอยู่ แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า นั่นความคิดเกี่ยวกับการกู้ชีวิตแบบจอมปลอม และเป็นการเรียงลำดับผิดๆ และเป็นกับดักที่ทำให้ไปไม่ถึงการกู้ชีวิตของแท้เสียที เราจึงเห็นชีวิตคริสเตียนที่หวาดเสียว เมื่อวานเฉียดสวรรค์ วันนี้เฉียดนรก เหตุผลประการที่สองของการกลับใจใหม่
2.2 การกลับใจใหม่เปิดโอกาสให้รับพระพร กิจการ 3:25-26 25 ท่านทั้งหลายเป็นลูก หลานของผู้เผยพระวจนะนั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า ‘บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า’ 26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ทุกคนกลับจากบาปของตน” อับราฮัมบิดาแห่งความเชื่อ คือบรรพบุรุษของคนยิวและเราทั้งหลายก็มีอับราฮัมในฝ่ายวิญญาณของเราด้วย นั่นหมายความว่า พระเจ้าจะอวยพรเราด้วยเช่นกัน เมื่อพระเจ้าตั้งใจจะอวยพร พระองค์ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน คำถามก็คือว่า แล้วอะไรคืออุปสรรคทำให้เราไม่ได้รับพระพร 26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ทุกคนกลับจากบาปของตน” การเรียกให้กลับจากบาปของตนหมายถึงการที่ตัวเราคือตัวขวางพระพรนั่นเอง การเดินผิดทิศผิดทางทำให้เราไม่พบพระพรตามที่พระเจ้าสัญญา คริสเตียนจงฟังให้ดี คุณกำลังรอพระพรในหนทางที่ไม่มีพระพรอยู่หรือเปล่า มีคริสเตียนไม่น้อยที่พยายามทำอะไรๆมากมายให้พระเจ้าโดยไม่มีการกลับใจใหม่ นั่นไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะคำว่า กลับใจใหม่ รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า หันกลับ 180 องศา คือตรงกันข้าม หรือคนละทางกับวิถีชีวิตเดิม ไม่มีชีวิตเก่าอีกเลย นั่นแหล่ะคุณจะพบพระพรในหนทางใหม่แน่นอน เฉลยธรรมบัญญัติ 28:1-14 1 “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก2 พระพรเหล่านี้จะตามมาทันท่าน ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน3 ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในเมือง ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในทุ่งนา4 พงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง ผลแห่งพื้นดินของท่านและพันธุ์แห่งสัตว์ของท่านจะรับพระพร คือฝูงวัวของท่านที่เพิ่มขึ้น ฝูงแกะของท่านที่เพิ่มลูกขึ้น5 กระจาดของท่าน และรางนวดแป้งของท่านจะรับพระพร6 ท่านจะรับพระพรเมื่อท่านเข้ามา และท่านจะรับพระพรเมื่อท่านออกไป 7 “พระเจ้าจะทรงกระทำให้ศัตรูผู้ลุกขึ้นต่อสู้ท่านพ่ายแพ้แก่ท่าน เขาจะออกมาต่อสู้ท่านทางหนึ่ง และหนีจากท่านเจ็ดทาง8 พระเจ้าจะทรงบัญชาพระพรให้แก่ฉางของท่าน และบรรดากิจการที่ท่านกระทำ และพระองค์จะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน9 พระเจ้าจะทรงตั้งท่านให้เป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระองค์ ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณแก่ท่านแล้ว ถ้าท่านรักษาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และดำเนินในมรรคาของพระองค์10 และชนชาติทั้งหลายในโลกจะเห็นว่าเขาเรียกท่านตามพระนามพระเจ้า และเขาทั้งหลายจะเกรงกลัวท่าน11 พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ของตัวท่านเอง ผลของฝูงสัตว์ของท่านและผลแห่งพื้นดินของท่าน ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะให้ท่าน12 พระเจ้าจะเปิดคลังฟ้าอันดีของพระองค์ประทานฝนแก่ท่านตามฤดูกาล และทรงอำนวยพระพรแก่กิจการน้ำมือของท่าน และท่านจะให้ประชาชาติหลายประชาชาติขอยืม แต่ท่านจะไม่ขอยืมเขา13 ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง14 และถ้าท่านไม่หันเหไปจากถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ โดยหันไปทางขวามือหรือทางซ้าย ไปติดตามปรนนิบัติพระอื่น พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า ไม่ว่าผู้ที่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่ไหน พระพรจะตามไปทันเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะเผลอหรือตั้งใจ เขาก็จะพบพระพร อาเมน
“เกิดผลในพระคริสต์…รู้คิดพลิกวิกฤตเป็นโอกาส”
1.ทำให้รู้คิดว่าตนคือใคร
2.มีฤทธิ์พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
2.1.การกลับใจใหม่คือการกู้ชีวิตกลับคืนมา
2.2การกลับใจใหม่เปิดโอกาสให้รับพระพร