“ชีวิตยิ่งเกิดผล…ยิ่งส่องสว่าง”
ใบหน้าของคนเราถูกตั้งฉายาเอาไว้หลายอย่าง เป็นเพราะการแสดงออกของใบหน้าคือการสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดการกระทำและตัวตนของคนๆนั้น เราเคยได้ยินสำนวนคำไทย เกี่ยวกับหน้า เช่น หน้าเซียว หน้าแห้ง แปลว่าไม่มีสตังค์ใช้ หน้าดำคล้ำเครียด แปลว่า ใบหน้าหมองคล้ำเพราะต้องคร่ำเครียดหมกมุ่นอยู่ กับงาน หรือต้องใช้ความคิดอย่างหนัก หน้ามุ่ย คือ อาการที่ยิ้มไม่ออกเพราะไม่พอใจ หน้าถอดสี แปลว่า มีสีหน้าแสดงความผิดหวัง หรือตกใจ หน้าเสีย แปลว่า อาการที่ถูกว่าย้อนกลับมาจนเสียหน้า เสียหน้า แปลว่า อาย ไม่กล้าสู้หน้า ขายหน้า หน้ายักษ์ คนที่โกรธมักทำหน้าบึ้ง หน้าดุดัน จึงเปรียบว่าทำหน้าเหมือนหน้ายักษ์, ใช้เป็นสำนวนว่า ตีหน้ายักษ์ หน้าผี หมายถึง หน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว หน้าเป็น หมายถึง อาการที่ทำหน้ายิ้มหรือหัวเราะอยู่เรื่อย ๆ, ช่างหัวเราะ หน้าตาย หมายถึง หน้าเฉยเหมือนไม่มีความรู้สึก และสุดท้าย คนไทยเข้าใจเล่นคำนี้ “หน้ามืด” หมายถึง มัวเมาจนขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หน้ามืดตามัว แปลว่า ขาดสติเพราะความโกรธ คำว่า “มืด” เป็นคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “สว่าง” แต่ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่า จะใช้คำว่า หน้าอะไรกับความหมายว่า มีสติและทำสิ่งที่ควรทำ ใครนึกออกช่วยบอกที พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหน้าของคนสามคนที่เปลี่ยนไป คนแรกอยู่ในพระคัมภีร์เดิม คือโมเสส อพยพ 34:29-30 29 อยู่ต่อมาเมื่อโมเสสได้ลงมาจากภูเขาซีนาย ถือแผ่นพระโอวาทสองแผ่นมาด้วย เวลาที่ลงมาจากภูเขานั้น โมเสสก็ไม่ทราบว่าผิวหน้าของตนทอแสงเนื่องด้วยพระเจ้าทรงสนทนากับท่าน30 เมื่ออาโรนและคนอิสราเอลทั้งปวงมองดูโมเสส ก็เห็นว่าผิวหน้าของท่านทอแสง และเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน ส่วนบุคคลที่สองคือพระเยซูคริสต์เจ้า มัทธิว 17:1-6 1 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องของยากอบขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง2 แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง3 โมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น กำลังเฝ้าสนทนากับพระองค์4 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้าพระองค์ต้องพระประสงค์ ข้าพระองค์จะทำเพิงสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง”5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ก็บังเกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจ ท่านผู้นี้มาก จงเชื่อฟังท่านเถิด”6 ฝ่ายพวกสาวกเมื่อได้ยินก็ซบหน้ากราบลงกลัวยิ่งนัก พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงผิวหน้าของโมเสสทอแสงหลังจากได้สนทนากับพระเจ้า และพระพักตร์ของพระเยซูทอแสงเหมืองดวงอาทิตย์ก่อนที่โมเสสและเอลียาห์จะมาสนทนาด้วยนั่นหมายความว่า พระเยซูทรงมีความสว่างในตัวของพระองค์เอง ยอห์น 8:12 12 อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” ความสว่างคู่กับชีวิต เช่นเดียวกันความมืดคู่กับความตาย ชีวิตที่มีน้ำพุแห่งชีวิตไหลออกมาจนถึงชีวิตนิรันดร์ ในขณะที่ความสว่างที่คู่กันก็จะส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงวันแห่งความสมบูรณ์ ชีวิตนิรันดร์กับความสว่างนิรันดร์จะไม่มีวันจางหายไป ซึ่งอ.เปาโลได้ให้คำอธิบายเรื่องความสว่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียนว่า 2 โครินธ์ 3:13,18 13 เราไม่เหมือนโมเสสที่เอาผ้าคลุมหน้าไว้ เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเห็นอวสานของรัศมีที่ค่อยๆ จางไปนั้น…..18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป…. สิ่งที่อ.เปาโลได้กล่าวนี้ เกิดขึ้นกับชีวิตคริสเตียนที่เกิดผลในคริสตจักรยุคแรก และพระคัมภีร์ใหม่ได้บันทึกถึงบุคคลที่สามที่ชัดเจนนั่นคือ สเทเฟน ผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในมัคนายกเจ็ดคนเพื่อทำหน้าที่บริหารการแจกทาน เป็นคนหนึ่งที่ชื่ออยู่ในลำดับแรกของการถูกกล่าวถึงด้วยคุณสมบัติ 3….มีชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา นี่คือคำอธิบายที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “หน้ามืด” หมายถึง มัวเมาจนขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ และชีวิตของสเทเฟนถูกบันทึกในตอนนี้เพื่อให้เราได้เห็นชีวิตที่เกิดผลของคริสเตียนในแง่มุมของ ชีวิตที่ยิ่งเกิดผล…ยิ่งส่องสว่าง ผ่านทางใบหน้าที่เป็นปราการด่านแรกที่คนจะพบเห็นและสัมผัสได้ทันที ยากอบ1:23-24 23 เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา24 เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร ยากอบกำลังบอกเราว่า หน้าของเราบ่งบอกถึงความเป็นตัวเราทั้งหมด คนไทยจึงมีสำนวนว่า ส่องกระจกชะโงกดูเงาตนเอง หมายถึงการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ภาษาไทยจึงมีสำนวนว่า ไปทำอะไรมา หน้ามันฟ้อง ซ่อนไม่ได้ เราจะมาดูชีวิตของคนที่ชีวิตยิ่งเกิดผล หน้ายิ่งส่องสว่าง….ข้าพเจ้าหมายถึงใบหน้าจริงๆ กิจการ 6:8-15 8 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชจึงทำการมหัศจรรย์ และทำการเป็นนิมิตใหญ่ท่ามกลางประชากร9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลา ที่เรียกว่าธรรมศาลาของทาสอิสระมีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน10 คนเหล่านั้นสู้คำที่ท่านกล่าวอันประกอบด้วยสติปัญญา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้11 เขาจึงลอบปลูกพยานเท็จว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทโมเสสและพระเจ้า”12 เขายุยงคนทั้งปวงและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ให้เกิดจลาจลขึ้น แล้วเข้ามาจับสเทเฟนและนำไปยังสภา13 ให้พยานเท็จมากล่าวว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์นี้และธรรมบัญญัติไม่หยุดเลย14 เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เรา”15 พวกสมาชิกสภาต่างเพ่งดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์
หลังจากสเทเฟนได้รับเลือกพร้อมกับอีกหกคนให้ดูแลการงานในการแจกทาน ปัญหาภายในก็คลี่คลาย คนทั้งเจ็ดคนเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เป็นไปได้ว่า หนึ่งในคนเจ็ดคนนี้ คือสเทเฟนได้ทำพันธกิจรักษาโรค ขับผี และเทศนาสั่งสอนไปด้วยพร้อมกับทำงานานปรนนิบัติ จึงเกิดเป็นฤทธิ์เดชและการอัศจรรย์และนิมิตใหญ่ 8 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชจึงทำการมหัศจรรย์ และทำการเป็นนิมิตใหญ่ท่ามกลางประชากร สเทเฟนได้ทำงานอย่างเดียวกันกับพระเยซูทรงทำ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับสเทเฟนเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูมาก่อนเช่นกัน 9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลา ที่เรียกว่าธรรมศาลาของทาสอิสระมีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน เมื่อพระเยซูทรงทำพันธกิจรักษาโรค ขับผี และเทศนาสั่งสอน พวกฟาริสีมักจะมาไล่เลียงกับพระเยซู แต่ที่เราเห็นที่นี่ได้บันทึกเกี่ยวกับทาสอิสระที่พูดภาษากรีกที่มาไล่เลียงกับสเทเฟน คำว่า ทาสอิสระ หมายถึงคนที่เคยเป็นทาสของโรมัน และได้รับอิสระจากการเป็นทาสเนื่องจากเป็นลูกของคนยิวที่ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปกรุงโรมเมื่อครั้งสมัยปอมเปอี และได้รับอิสระกลับมาตั้งรกรากที่กรุงเยรูซาเล็ม คนเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะตั้งธรรมศาลาของตนเองเพื่อนมัสการและศึกษาธรรมบัญญัติ มีบางเอกสารอ้างอิงถึงจำนวนของธรรมศาลาในกรุงเยรูซาเล็มมีถึง 480 แห่ง แต่ที่นี่ หมอลูกาได้บันทึกธรรมศาลาของยิวนิยมกรีกหรือพูดภาษากรีกอย่างน้อยสองแห่งของชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ ชาวซิลีเซีย และเอเชีย อ.เปาโลเวลานั้นชื่อเซาโลก็รวมอยู่ในพวกชาวซิลีเซียด้วย เพราะเมืองทาร์ซัสเป็นเมืองหนึ่งในซิลีเซีย และในเนื้อหาตอนสเทเฟนถูกหินขว้างตาย เซาโลก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ในฐานะชาวทาร์ซัส จากซีลีเซีย การบันทึกตอนนี้ทำให้เราได้เห็นคนยิวพูดภาษากรีกที่มีความร้อนรนในศาสนายูดาห์มากกว่าคนยิวที่พูดภาษาฮีบรู และภาพของคริสเตียนยิวนิยมกรีกอย่างสเทเฟนที่ร้อนรนในพระเยซูคริสต์เจ้า นี่คือคู่ชกน้ำหนักที่พอกัน ในด้านการศึกษาและความรู้ อาจเป็นคำตอบว่า ทำไมไม่มีพวกอัครทูตมาเกี่ยวข้องในงานนี้ เพราะว่า พวกนิยมกรีกที่อยู่ในธรรมศาลาไม่สนใจพวกอัครทูต เพราะเป็นพวกที่ด้อยในการศึกษา สเทเฟนจึงเป็นเป้าหมายของการไล่เลียงที่เกิดขึ้น พวกยิวนิยมกรีกเหล่านี้ ต่างมีติวเตอร์หรือพระอาจารย์เก่งๆด้านธรรมบัญญัติ อย่างเซาโลมีกามาลิเอลเป็นอาจารย์ เป็นต้น แต่อะไรเกิดขึ้น คนเหล่านั้นสู้คำที่ท่านกล่าวอันประกอบด้วยสติปัญญา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ ผลของการดีเบตหรือไล่เลียงครั้งนี้ สเทเฟนเป็นฝ่ายชนะ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสาวกของพระเยซูคริสต์ตามคำตรัสของพระองค์ที่กล่าวไว้ล่วงหน้ากับสาวกว่า มัทธิว 10:19 19 แต่เมื่อเขาอายัดท่านไว้นั้นอย่าเป็นกังวลว่าจะพูดอย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลาคำที่ท่านจะพูดนั้น พระเจ้าจะทรงประทานแก่ท่านในเวลานั้น ลูกา 21:14-15 14 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายต้องปลงใจไว้ว่า จะไม่คิดนึกก่อนว่าจะแก้ตัวอย่างไร15 ด้วยว่าเราจะให้ปากและปัญญาแก่ท่าน ซึ่งศัตรูทั้งหลายของท่านจะต่อต้านและคัดค้านไม่ได้ เราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกอัครทูตสิบสองคน เปโตรสามารถตอบโต้กับพวกมหาปุโรหิตและเหล่าสะดูสี พวกอัครทูตคือพวกที่อยู่กับพระเยซูแบบตัวเป็นๆ แต่ตอนนี้ถึงคราวสเทเฟนที่เป็นคนที่ได้ฟังเรื่องราวของพระเยซู แต่ไม่ได้อยู่กับพระเยซูแบบตัวเป็นๆ แต่สิ่งที่เกิดกับสเทเฟน คือสิ่งที่เป็นไปอย่างที่เกิดกับพวกอัครทูต สเทเฟนคือชีวิตที่ยิ่งเกิดผล….ยิ่งส่องสว่าง เด่นชัดด้านสติปัญญา ฤทธิ์เดช นิมิตและหมายสำคัญอันยิ่งใหญ่ สปิริตแห่งการรับใช้ การปรนนิบัติผู้อื่น และไม่หยุดที่จะประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เราได้เห็นว่า ผู้ที่ร้อนรนในศาสนายูดาห์ กับผู้ที่ร้อนรนในพระเยซูคริสต์แตกต่างกันที่นี่ อีกฝ่ายมุ่งหวังเอาชนะ และเมื่อชนะไม่ได้ เกิดอาการหน้าเสียและเสียหน้า จึงทำให้ใช้วิชามาร ด้วยการยัดเยียดข้อกล่าวหาให้อีกฝ่ายอย่างเดียวกันกับที่พระเยซูคริสต์ได้ถูกกระทำ และซึ่งก่อนหน้านี้พวกยิวมหาปุโรหิตพยายามใช้วิชามารกับพวกอัครทูต แต่ไม่สำเร็จ และกามาลิเอลได้เตือนสติคนเหล่านั้นว่า อย่าทำอย่างนั้นอีก แต่ในกรณีของสเทเฟน ไม่มีคนเตือนสติพวกยิวจากธรรมศาลาคนยิวนิยมกรีก จึงเกิดอาการที่เรียกว่า หน้ามืดตามัว ขาดสติเพราะความโกรธ ใช้วิธีก่อม็อบและสร้างการจลาจล ใช้ความรุนแรงจับสเทเฟนไปสภาแซนเฮดริน และนี่คือบทเรียนสำหรับเราในวันนี้กับเรื่องชีวิตยิ่งเกิดผล…ยิ่งส่องสว่าง
1.อย่าหน้ามืดตามัว กิจการ 6:11-13
11 เขาจึงลอบปลูกพยานเท็จว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทโมเสสและพระเจ้า”12 เขายุยงคนทั้งปวงและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ให้เกิดจลาจลขึ้น แล้วเข้ามาจับสเทเฟนและนำไปยังสภา13 ให้พยานเท็จมากล่าวว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์นี้และธรรมบัญญัติไม่หยุดเลย เมื่อคนเราหน้ามืดตามัว ทำให้ขาดสติเพราะความโกรธ มักใช้ความรุนแรง เริ่มจากถ้อยคำรุนแรง และตามมาด้วยการกระทำที่รุนแรง เป้าหมายของคนยิวนิยมกรีกเหล่านี้คือเพื่อหยุดชีวิตที่เกิดผลของสเทเฟน ที่ยิ่งส่องสว่าง และความสว่างมากขึ้นเรื่อยๆจนคนที่เก่งที่สุด ฉลาดที่สุดอย่าง เซาโลศิษย์เอกของกามาลิเอลยังไม่สามารถตอบโต้ได้ สัญญาณแห่งความพ่ายแพ้เกิดขึ้นจนคนยิวนิยมกรีกเหล่านี้ไม่ยอมที่จะเสียหน้า จึงเลือกเสียเงินเพื่อจ้างพยานเท็จ คือคนที่ยอมที่จะสาบานปฏิญาณตนว่า สิ่งที่ตนเองกล่าวนั้นเป็นความจริง แม้มันจะไม่เป็นจริงก็ตาม สิ่งหนึ่งที่คนเหล่านี้ลืมไปก็คือ พวกเขามีธรรมศาลาของตนเองในเยรูซาเล็มก็เพื่อให้คนยิวพวกเดียวกันได้มีธรรมศาลาเพื่อจะเข้าฟังธรรมฟังเทศน์ ชำระจิตใจ เตรียมชีวิตในขณะอยู่ที่เยรูซาเล็มเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมบัญญัติของโมเสส ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่นี่กำลังใช้ศาลเตี้ยจัดการกับคนที่ทำให้ตนเองรู้สึกเสียหน้า แทนที่จะกลับใจกับความจริงที่ตนเองควรตอบสนอง แต่กลับให้ร้าย กล่าวเท็จ ซึ่งผิดธรรมบัญญัติของโมเสสจังๆ แต่กลับอ้างว่า สเทเฟนหมิ่นธรรมบัญญัติของโมเสส นี่คือความหน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นถูก และบิดเบือนสิ่งที่ถูกให้เป็นผิด คนไทยยังมีอีกคำที่เป็นสำนวนใช้คำว่า เลือดเข้าตา ทำให้มองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด ตามัวไป ข้าพเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์เลือดเข้าตา แต่เคยมีเหงื่อเข้าตา แสบตา และต้องรีบจัดการให้มองเห็นชัดเร็วที่สุด เพราะเหงื่อมักจะเข้าตาตอนกำลังขี่จักรยาน และรู้ว่า อันตราย ถ้าขี่จักรยานแบบหลับตาข้างเดียว หรือมองไม่ชัด ประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตของเรา หากเราปล่อยตัวเราหน้ามืดตามัว ปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่ในชีวิตนานเกิน เราจะออกจากทางแห่งความจริง และใช้ชีวิตอยู่ในความเท็จ จอมปลอม เราจะขาดสติ และทำสิ่งที่ไม่ควรทำ คำถามก็คือว่า ขณะนี้ เรารู้ตัวหรือไม่ว่า เรากำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ แน่นอน หากเราตามัว เราจะไม่รู้ตัวว่าเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วใครจะช่วยเราได้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคริสตจักรจึงมีพี่เลี้ยง หัวหน้ากลุ่มเซลล์ ศิษยาภิบาลกลุ่ม ศิษยาภิบาลที่ปรึกษา เราต้องการกันและกันเพื่อคอยใช้สายตาที่ไม่มีเหงื่อ ไม่มีเลือดเข้าตาช่วยเรา ข้าพเจ้าได้อ่านบทเฝ้าเดี่ยวของหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ชีวิตเปี่ยมล้น ได้เขียนว่า เราจำเป็นต้องเป็นผู้รับการรับใช้ นั่นหมายความว่า จงให้คนอื่นได้ทำหน้าที่รับใช้เราในบางครั้งที่เราเลือดเข้าตา เหงื่อเข้าตา เรามองไม่ชัด เป็นความจริงอันหนึ่งที่บางครั้งเราอาจจะอยู่ในอาการหน้ามืดตามัว เพราะความโกรธ และทำสิ่งที่ไม่ควรทำในบางจังหวะ แต่จงรีบหันกลับอย่างรวดเร็ว และมุ่งที่จะไปสู่ชีวิตที่เกิดผล…ยิ่งส่องสว่าง นั่นคือ ลดอาการหน้ามืดตามัวให้หมดไป และส่องสว่างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวันศุกร์ข้าพเจ้าได้ไปอธิษฐานกับศิษยภิบาลในฝั่งธนบุรีด้วยกัน ข้าพเจ้าได้มองเห็นภาพในขณะอธิษฐาน ได้เห็นผู้รับใช้ทั้งหลาย คือผู้ที่ทำหน้าที่ในอภิสุทธิสถาน ในเต็นท์พลับพลาของพระเจ้า ทำหน้าที่หนึ่งที่สำคัญคือการทำความสะอาดไส้ตะเกียง เวลาเราจุดตะเกียงแบบไส้ ยิ่งปล่อยไว้นาน แสงจากตะเกียงจะหรี่ลง การขลิบไส้ตะเกียงคือการทำให้แสงสว่างส่องสว่างมากขึ้น ชีวิตที่ไม่ยอมให้อาการหน้ามืดตามัวเกิดขึ้น คือชีวิตที่พยายามทำให้ความสว่างในชีวิตของเราส่องสว่างมากขึ้น พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสว่า มัทธิว 5:14-16 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ คำถามต่อไปก็คือว่า มีคนเห็นความดีที่เราทำได้อย่างไร เรากำลังเป็นตะเกียงที่ไส้ตะเกียงสกปรกไม่ได้ทำความสะอาดมานานแค่ไหน อะไรทำให้ไส้ตะเกียงของเราสกปรก อาการหน้ามืดตามัวที่เป็นเหตุให้ เรากำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือเรากำลังโกรธอย่างไม่ลืมหูลืมตากับใครบางคนชนิดกัดไม่ปล่อยอยู่หรือเปล่า จงหันไปหาคนข้างๆและพูดกับเขาว่า เลิกหน้ามืดตามัวได้แล้ว……เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตที่ควรส่องสว่างของเรา กลับอับแสงลงไปเรื่อยๆ ความโกรธ การไม่ให้อภัยจะทำให้แสงสว่างในตัวเรามืดบอดไป เราได้เปลี่ยนอาการหน้ามุ่ยของคนให้เป็นหน้าแห่งความชื่นชมยินดี? เปลี่ยนคนหน้ามืดให้กลับมาสว่างได้ไม๊? เริ่มต้นที่ตัวเรา อย่าหน้ามืดตามัว และทำสิ่งที่ควรทำก่อน
2.ชีวิตต้องส่องสว่างมากขึ้นๆ กิจการ 6:14-15
14 เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เรา”15 พวกสมาชิกสภาต่างเพ่งดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์ ที่นี่ เราได้เห็นการยกเหตุที่จะหยุดชีวิตที่เกิดผลของสเทเฟน ด้วยเรื่องพระเยซูที่สเทเฟนเชื่อ พระเยซูไม่เคยทำสิ่งที่คนเหล่านี้ได้ใช้เป็นข้อกล่าวหาในข้อที่ 14 การทำลายพระวิหารหรือเปลี่ยนธรรมบัญญัติของโมเสส ในทางตรงกันข้าม พระเยซูได้ยกข้อธรรมบัญญัติของโมเสสขึ้นมาอ้างถึงอย่างให้เกียรติ และสเทเฟนก็ทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู และสิ่งที่ยืนยันว่า สเทเฟนได้ให้เกียรติแด่ธรรมบัญญัติของโมเสส นั่นคือ 10 คนเหล่านั้นสู้คำที่ท่านกล่าวอันประกอบด้วยสติปัญญา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ และพระเจ้าก็ยืนยันสิ่งที่สเทเฟนทำ ก็คือสิ่งที่เกิดกับโมเสส ก็เกิดกับสเทเฟน คือ พระเจ้าทรงให้หน้าตาของสเทเฟน เหมือนหน้าทูตสวรรค์ พวกสมาชิกสภาซานเฮดรินต่างได้ฟังข้อกล่าวหาและได้เห็นหน้าสเทเฟนขัดแย้งกับข้อกล่าวหา หน้าของสเทเฟนไม่ได้ถอดสี หรือหน้าเสีย หรือเสียหน้า ในทางตรงกันข้าม หน้าตาของสเทเฟนกลับส่องสว่า่งเหมือนโมเสสหลังจากได้สนทนากับพระเจ้า 15 พวกสมาชิกสภาต่างเพ่งดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์ นี่คือประสบการณ์ของคนที่ชื่อเซาโลที่ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นอ.เปาโล ได้กล่าวไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ 3:13-18 13 เราไม่เหมือนโมเสสที่เอาผ้าคลุมหน้าไว้ เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเห็นอวสานของรัศมีที่ค่อยๆ จางไปนั้น14 แต่จิตใจของเขาแข็งกระด้างไปเสีย เพราะตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่มิได้เปิดออก แต่ผ้าคลุมนั้นเปิดออกแล้วโดยพระคริสต์15 แต่ว่าตลอดมาถึงทุกวันนี้ ขณะใดที่เขาอ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้16 แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ อ.เปาโลกำลังพูดถึงตนเองเมื่อในอดีตที่ไม่เข้าใจ และใจแข็งกระด้าง และปล่อยให้ความหน้ามืดตามัวปิดบังตาใจของตนเอง แต่เมื่ออ.เปาโลกลับใจใหม่ จึงมองเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับสเทเฟน เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะทำให้เกิดขึ้นกับคริสเตียนทุกคนที่ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำกิจของพระองค์ในชีวิตของตนเอง 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น เป็นเสรีภาพที่จะทำให้ชีวิตของตนเองสว่างมากขึ้นและมากขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่หน้ามืดตามัว ยิ่งทำให้ชีวิตของตนเอง มืดมัวลงไปจนมองไม่เห็น พระเยซูคริสต์ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องความสว่างของชีวิต ดังได้ทรงตรัสว่า มัทธิว 6:22-23 22 “ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย23 แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ พระเยซูกำลังบอกเป็นนัยกับสาวกของพระองค์ว่า สาวกของพระองค์จะต้องระวังเรื่องการดำเนินชีวิตที่ต้องให้ความสว่างที่มีอยู่นั้น สว่างมากขึ้น ความสว่างเท่าเดิมไม่มี มีแต่จะสว่างมากขึ้น มิฉะนั้น ก็จะสว่างน้อยลง พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเป้าหมายชีวิตของคนของพระเจ้าคือความสว่างขึ้นอย่างอาทิตย์เที่ยงวัน ที่มีแสงแรงกล้าที่สุด อิสยาห์ 58:10 10 ถ้าเจ้าทุ่มเทชีวิตของเจ้าแก่คนหิว และให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มใจ แล้วความสว่างจะโผล่ขึ้นแก่เจ้าในความมืด และความมืดคลุ้มของเจ้าจะเป็นเหมือนเที่ยงวันโยบ11:17 17 แล้วชีวิตของท่านจะสุกใสยิ่งกว่าเวลาเที่ยงวัน แม้จะมีความมืดก็จะเหมือนเวลาเช้า ทั้งหมดนี้ คือการอยู่ในแผนการของพระเจ้า เป้าหมายของพระเจ้า ไม่ต้องกลัวว่า ชีวิตจะดับมืด ในทางตรงกันข้าม หากเรายิ่งตั้งเป้าหมายของตนเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความหน้ามืดตามัวก็ยิ่งทำให้ทำสิ่งที่พลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้ายิ่งขึ้น สเทเฟน ได้ทำสิ่งที่ควรทำ และไปถึงสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หน้าตาของสเทเฟนจึงส่องสว่างจนคนที่จะทำร้ายเขา หรือใส่ร้ายเขา กลับมองเห็นหน้าของสเทเฟนตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหารุนแรงที่มีโทษ ตายสถานเดียว หน้าของสเทเฟนกลับยิ่งเหมือนทูตสวรรค์ในท่ามกลางคนที่หน้าตากำลังจะกลายเป็นยักษ์ดุดัน….
“ชีวิตยิ่งเกิดผล…ยิ่งส่องสว่าง”
1.อย่าหน้ามืดตามัว
2.ชีวิตต้องส่องสว่างมากขึ้นๆ