“ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย”

เราเคยได้ยินสำนวนไทยที่บอกว่า ต่อหน้ามะพลับหลังหลังตะโก สำนวนนี้มีความหมายถึง เวลาอยู่ต่อหน้าก็ทำตัวแบบหนึ่ง แต่พออยู่ลับหลังก็ทำอีกแบบหนึ่ง  สำนวนนี้เปรียบกับต้นไม้ 2 อย่าง ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่รสชาติต่างกันมาก ลูกมะพลับนั้นกินอร่อย แต่ลูกตะโกนั้นไม่เป็นเรื่อง ไม่มีใครอยากกิน ที่ว่าต่อหน้ามะพลับก็คือ เวลาอยู่ต่อหน้าก็ดีเหมือนมะพลับ แต่พอลับหลังแล้วก็กลายเป็นตะโก เป็นอีกอย่างหนึ่งไป พระเจ้าต้องการให้เราเกิดผล และเกิดเป็นผลที่ดี ถ้าตามสำนวนนี้เราก็ต้องเป็นมะพลับที่มีรสชาติดี อร่อย มีคุณค่าและสรรพคุณมากมาย ไม่เป็นตะโกที่ไม่มีใครอยากกิน  แล้วทำอย่างไรเราจึงจะเป็นมะพลับ ไม่เป็นตะโก ทำอย่างไรเราจึงจะเป็นผลดี เกิดผลดี  ก็โดยการที่ทำทุกสิ่งเหมือนถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า โคโลสี 3:23-25  23ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด   ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า   ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ 24ท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ   ท่านปรนนิบัติพระคริสตเจ้าอยู่ 25ส่วนผู้ที่ทำความผิดก็จะได้รับผลตามความผิดที่เขาได้ทำนั้น   และไม่มีการทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย  พระธรรมตอนนี้บอกเราว่าทุกสิ่งที่เราทำนั้นเป็นการนมัสการ เป็นการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า  แล้วเราทำอะไรบ้างในชีวิต ลองแจกแจงตัวเองดูสิ ชีวิตเรามีหน้าที่อะไรที่ต้องทำ แต่ละคนก็มีบริบทรายละเอียดชีวิตมีสิ่งที่ต้องทำแตกต่างกันไป  แล้วประเมินดูสิว่า แต่ละอย่างที่เราทำนั้นเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่  ทำอย่างถวายหัว ทำอย่างเต็มที่เต็มใจ ทำอย่างซื่อสัตย์  ทำอย่างดีที่สุด ทำอย่างชื่นชมยินดีไม่มีบ่น  เราต้องบอกตัวเองว่าทุกสิ่งที่เราทำนั้น เรามีพระเจ้าเป็นเจ้านาย เป็นนายจ้างของเรา ที่เฝ้ามองดูเรา และพระองค์เป็นเจ้านายที่พร้อมจะจ่ายบำเหน็จรางวัลโบนัสให้กับเราอยู่แล้วเมื่อเราได้ทำทุกสิ่งนั้นเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า  หากเราต้องการทำทุกสิ่งเหมือนถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องทำอะไร ทำอย่างไร

เราต้องมีความห่วงใยต่อผู้อื่น

มัทธิว 25:31-46 31“เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์   เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ 32บรรดาประชาชาติต่างๆ   จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์   และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก   เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ 33ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์   แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย 34ขณะนั้น   พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า   ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา   จงมารับเอาราชอาณาจักร   ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว   ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน   เรากระหายน้ำ   ท่านก็ให้เราดื่ม   เราเป็นแขกแปลกหน้า   ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ 36เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม   เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา   เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’ 37เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า   ‘พระองค์เจ้าข้า   ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ   และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร 38ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า   และได้ต้อนรับไว้   หรือเปลือยพระกาย   และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’ 40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า   ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้   ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร   ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’ 41พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า   ‘ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา   เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์   ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น 42เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน   เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม 43เราเป็นแขกแปลกหน้า  ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้   เราเปลือยกาย   ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม   เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา’ 44เขาทั้งหลายจะทูลว่า   ‘พระองค์เจ้าข้า   ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ   หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย   หรือประชวร   หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’ 45เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า   ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้   ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย’ 46และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์   แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”  พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่าจะมีการแยกแกะออกจากแพะ พระเจ้าจะทรงแยกสาวกที่เชื่อฟังพระองค์ ออกจากคนที่แสร้งทำเป็นเชื่อและคนที่ไม่เชื่อ แล้วอะไรคือเครื่องหมายพยานหลักฐานที่บ่งบอกว่าเราเป็นผู้เชื่อแท้ ก็คือสิ่งที่เราทำ แนวทาง วิถีการดำเนินชีวิต การประพฤติปฎิบัติของเราที่ที่มีต่อผู้อื่นว่าสะท้อนถึงความห่วงใยหรือไม่ สำแดงออกมาว่าเรากระทำต่อเขาเหมือนได้ทำต่อพระเจ้าหรือไม่  การปฎิบัติตัวของเราต่อผู้อื่นต่อทุกคนที่เราพบราวกับว่าเขาเป็นพระเยซูนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ แต่ข้าพเจ้าเชื่ออย่างหนึ่งว่า เป็นสิ่งที่เราสามารถขอจากพระเจ้า ขอหัวใจที่เป็นเหมือนกับพระองค์ได้   และเป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้ที่เราจะกระทำกับผู้อื่นราวกับว่ากำลังกระทำต่อพระเจ้า ในข้อที่ 37 มีคำถามของผู้ชอบธรรมว่า  เค้าได้เห็นพระเจ้า หิว กระหาย มีความต้องการสิ่งต่าง ๆ นั้น และได้ช่วยเหลือ แบ่งปัน ทำสิ่งต่าง ๆ ให้นั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  และคำตอบจากพระเจ้าคือก็มื่อตอนที่พวกเขาได้กระทำแก่พี่น้องแก่ผู้ที่เล็กน้อยที่สุดนั่นไง ในทางศาสนศาตร์ที่การถกเถียงตีความกันว่า “พี่น้อง” นั้นหมายถึงใคร  มีบางกลุ่มบอกว่าเป็นยิว  บางกลุ่มบอกไม่ใช่  แต่เป็นผู้ที่มีความทุกข์ยากลำบากที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง  คำถามที่ถกเถียงกันนี้เหมือนกับคำถามที่ผู้เชี่ยวชาญทางธรรมบัญญัติคนหนึ่งเคยถามพระเยซูว่า “ใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า”   แล้วพระเยซูจึงได้เล่าเรื่องสะมาเรียใจดีให้ฟัง ในลูกา 10:25-29  25ดูเถิด   มีบาเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์   ทูลถามว่า   “อาจารย์เจ้าข้า   ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์”26พระองค์ตรัสตอบว่า   “ในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร   ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร”27เขาทูลตอบว่า   “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า   ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า   และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”28พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า   “ท่านตอบถูกแล้ว   จงกระทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต   ”29แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัว   จึงทูลพระเยซูว่า   “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า”ในพระธรรมมัทธิวตอนนี้ก็เช่นกัน  มีคำถามว่าได้ทำให้ใคร ตอนไหน  แต่แท้จริงแล้วประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ใคร”  แต่อยู่ที่ “อะไร”  และคำตอบก็คือ การปรนนิบัติ การรับใช้ในที่ที่มีความต้องการ  ฉะนั้นไม่ต้องเลือกว่าจะทำดีกับใคร ปฎิบัติดีกับใคร แต่เราจะทำอะไรได้ในที่ ๆ เราสามารถจะทำได้ ช่วยได้ แบ่งปันได้  เราไม่เลือกว่าใคร เพราะเราจะรักทุกคน เราไม่เลือกว่าใครเพราะเราจะรับใช้ทุกคน  ที่เราสามารถรับใช้ได้ และเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ทุกวัน การกระทำต่อผู้อื่นเหมือนกระทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งมี ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถสูงส่งหรือความเฉลียวฉลาดล้ำเลิศใด ๆ ของเราเอง แต่ขึ้นอยู่กับหัวใจของเราที่ต้องการทำทุกสิ่งเหมือนถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า  มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ต้องการที่จะเปิดบ้านเชิญเพื่อนบ้านมาทานข้าว แต่สามีรู้สึกว่าบ้านของเขาหลังเล็กเกินไป ส่วนภรรยาก็รู้สึกว่าฝีมือการทำอาหารไม่ได้เรื่องเท่าไหร่  แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจที่จะเปิดบ้านต้อนรับเพื่อนบ้าน แม้จะรู้สึกไม่พร้อม พวกเขาได้ต้อนรับขับสู้เพื่อนบ้าน  และไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่ความหมายของคำว่า “ต้อนรับขับสู้”   กับคำว่า “โรงพยาบาล” นั้นมีความหมายมาจากรากศัพท์คำเดียวกัน  ซึ่งคำ 2 คำนี้นำไปสู่ผลอันเดียวกันคือ “การเยียวยารักษา”  เวลาเราไปโรงพยาบาลก็เพื่อรับการรักษา  และเมื่อมีการต้อนรับขับสู้ผู้อื่นก็ส่งผลให้เกิดการรักษาด้วย  เมื่อเราเปิดประตูบ้านต้อนรับใครสักคน เราก็กำลังนำการเยียวยารักษาไปถึงคนนั้น และกำลังสื่อข้อความที่ว่า “คุณมีความสำคัญต่อฉันและต่อพระเจ้า”  ออกไปถึงคน ๆ นั้น  มีคนที่กำลังโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางเรา ในหมู่บ้าน ในชุมชนของเรา คนนั้นอาจเป็นคนที่มาจากต่างจังหวัดมาทำงานในกรุงเทพฯและกำลังคิดถึงบ้าน หรืออาจเป็นผู้สูงวัยที่ไม่มีใครเหลียวแล หรือเป็นใครสักคนที่ยังไม่มีใครพูดคุยทักทายเขาเลยในวันนั้น   และการต้อนรับของเราสามารถเป็นดั่งโรงพยาบาลให้กับพวกเขาได้ รับการเยียวยารักษา เป็นความชื่นใจให้กับพวกเขาได้   บางทีเราสามารถทำสิ่งนี้ได้ โดยที่ยังไม่ต้องเปิดบ้านด้วยซ้ำ เพียงแต่เราเปิดใจ เปิดปากของเราที่จะต้อนรับขับสู้ พูดคุยทักทายกับผู้คนก็สามารถนำการเยียวยาการรักษาไปถึงเขาแล้ว  แต่หากใครพร้อมจะเปิดบ้าน เปิด   เพื่อให้ชีวิตของคนอื่นมีความหมาย ได้รับการเติมเต็มจากความรักของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา   เราจะไม่เป็นคริสเตียนที่เพียงสักแต่รับพระคุณ รับความรอดแล้ว จบแล้ว นั่งรอวันที่พระเจ้าจะกลับมา  แล้วถ้าจะบอกว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีความสามารถอะไร  ไม่จริง ถ้าเราพูดแบบนี้เรากำลังดิสเครติตพระเจ้า เรากำลังดูถูกดูหมิ่นพระเจ้าพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของของประทานมากมาย  พระเจ้าให้เราทั้งหลายแต่ละคนมีของประทาน มีพรสวรรค์ มีความสามารถ และพระเจ้าทรงคาดหวังให้เราใช้สิ่งเหล่านี้ในการสร้างอาณาจักรของพระเจ้าที่จะปฎิบัติ กระทำต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่ได้กระทำแก่พระเจ้า ในความรักความห่วงใย  อย่าต้องมีวันที่เราเสียใจที่เราได้ทิ้งโอกาสที่ควรจะแบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูคริสต์กับผู้อื่น ทั้งการแบ่งปันทางคำพูด และการแบ่งปันทางการกระทำ มีคุณยายคนหนึ่งขายดอกไม้อยู่ตลาดข้าง ๆ ซอยวัดประดู่ ตอนที่ถนนยังไม่ขุดเจาะแบบนี้ คุณยายคนนี้ก็จะเข็นรถเข็น กลับขายของจากตลาดกลับบ้าน ก็จะผ่านฟุตบาธหน้าโบสถ์เรา บางวันแกจะโมโหนะเพราะมีรถจอดกันหลายคัน ก็รถของพวกเราเองเนี่ยแหละ  แกก็บ่น ออกแนวด่าเลย แต่ช๊อตนี้ข้าพเจ้าไม่เจอนะ คนอื่นเจอ เค้าก็มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง จนตอนนี้ฟุตบาธมันถูกขุดหมดแล้ว   ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้เห็น แต่มาวันหนึ่ง ไปทานข้าวกลางวัน เจอยาย กำลังข้ามถนน ถือของ 2 มือ ข้าพเจ้าก็กำลังข้ามกลับโบสถ์ ก็ตัดสินใจเข้าไปช่วยแกถือของ คุณยายดูเกรงใจ พูดไปตลอดทางแล้วก็ให้เราถือส่งแค่ปากซอยโบสถ์ บอกว่าอีกนิดเดียวยายไปได้  ล่าสุดเจอคุณยายเมื่อวันศุกร์ ข้าพเจ้ากับเปิ้ลกำลังจะไปซื้อยาที่ศิริราช เจอยายอีก แต่คราวนี้ยายเดินในซอย 11 คงเพราะถนนข้างหน้าเดินลำบากมากแล้วสำหรับคนมีอายุ  ถือถุงใบใหญ่ 1 ถุง กะละมังใบใหญ่ใส่ของเดินกลับจากขายของ เราก็เลยเข้าไปช่วยถือกันคนละอย่าง คราวนี้เดินส่งถึงบ้าน  คุณยายอายุ 84 แล้ว อยู่กับหลานชายที่กำลังเรียนหนังสือ อยู่กัน 2 คน  ข้าพเจ้าไม่ได้มาเล่าความดีตัวเอง แต่กำลังเล่าถึงความห่วงใย ความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเรา   และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ก็อยู่ในพี่น้องทุกคนด้วย ข้าพเจ้าเชื่อว่าพี่น้องหลายคนทำดีต่อผู้อื่น แสดงความห่วงใยต่อผู้อื่นอยู่แล้ว ให้เราทำต่อไป เพราะนี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า  เราต้องมองหาโอกาส แสวงหาโอกาส อย่าทิ้งโอกาสที่เราควรจะทำสิ่งดีต่อผู้อื่น ที่เราควรจะแบ่งปัน ที่เราควรจะช่วยเหลือแสดงน้ำใจไมตรีต่อทุก ๆ คน ทั้งกับผู้เชื่อ และผู้ที่ยังไม่เชื่อ (ป้าขายของหน้าโบสถ์)   พระเยซูต้องการให้เราใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา และต้องการให้เราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในพระคริสต์จริง ๆ และคุณค่าจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อเราได้แสดงความรักความห่วงใยต่อผู้อื่น  เมื่อพระเยซูทรงมีชีวิตในโลกนี้ พระองค์ทรงห่วงใยผู้คน และพระองค์เองทรงสัมผัสพวกเขาด้วยชีวิตด้วยหัวใจของพระบิดาในทุกที่ที่พระองค์ไป เราลองอ่านพระกิตติคุณ มัทธิว มาระโก  ลูกา ยอห์น อย่างใคร่ครวญ แล้วเราจะเห็นสิ่งที่พระเยซูกระทำ แล้วเราจะทำสิ่งเดียวกันกับพระเยซู  จากพระธรรมมัทธิว 25 :31-46 ที่เราได้อ่านไป  นั่นคือหน้าที่ที่พระเยซูทรงมอบหมายให้แก่เราทุกคนไปกระทำด้วยเช่นกัน  หน้าที่ต่อผู้ที่กำลังหิวโหย   หน้าที่ต่อผู้ขัดสนยากไร้  หน้าที่ต่อผู้เจ็บไข้ได้ป่วย   หน้าที่ต่อผู้ที่ถูกจองจำ   หน้าที่ต่อผู้ที่เป็นคนแปลกหน้า   หน้าที่ต่อผู้ที่กำลังทุกข์ใจ   และทั้งหมดนี้เป็นได้ทั้งผู้เชื่อพี่น้องในคริสตจักร และผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้ที่เราไม่รู้จัก อย่างที่กล่าวแล้วว่า ไม่ต้องถามว่า ใคร แต่อะไรที่เราจะช่วยได้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ กาลาเทีย 6:10 10เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส   ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง   และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ  2 โครินธ์ 11:29 29มีใครบ้างเป็นคนอ่อนกำลังและข้าพเจ้าไม่อ่อนกำลังด้วย   มีใครบ้างที่ถูกนำให้สะดุด   และข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย   ฮีบรู 13:3    3จงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ถูกจำจองอยู่   เหมือนหนึ่งว่าท่านทั้งหลายก็ถูกจำจองอยู่กับเขาด้วย   จงระลึกถึงคนทั้งหลายที่ถูกเคี่ยวเข็ญ   เพราะว่าท่านทั้งหลายก็มีร่างกายเหมือนอย่างเขา  เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11 11เพราะว่าคนจนจะไม่หมดไปจาก แผ่นดิน   เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านว่า   ท่านต้องยื่นมือให้อย่างใจกว้างต่อพี่น้องของท่าน   คือต่อคนขัดสนคนยากจน   ซึ่งอยู่ในแผ่นดินของท่าน   เราต้องสำแดงทั้งความห่วงใยและการกระทำอย่างสมดุลต่อผู้ที่ยากจนและต่อผู้ที่เป็นทุกข์ ต่อผู้ที่มีความต้องการไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร และไม่ใช่แค่มีความรู้สึกห่วงใยเท่านั้น แต่ต้องสำแดงออกเป็นการกระทำ  และให้เราตระหนักเสมอว่าทุกสิ่งที่เรากระทำต่อผู้อื่น นั่นคือเรากำลังกระทำแก่พระเยซูคริสต์  และสิ่งที่เราเป็นนี้จะเป็นพยานพิสูจน์ว่าเราคือแกะของพระเจ้า คือสาวกแท้ที่จะได้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  ยอห์น 13:34-35 34เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย   คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน   เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร   เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น 35ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน   ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”   เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพระเจ้าที่เราจะรักซึ่งกันและกัน เครื่องหมายของสาวกที่แท้จริงคือการที่เรารักผู้อื่น  สิ่งที่พระเยซูทรงกระทำบนไม้กางเขน คือการสำแดงว่าความรักของพระเจ้านั้นเป็นมากกว่าความรู้สึก  คือเป็นการกระทำเป็น action พระองค์ไม่ได้รักเราด้วยปาก ไม่ได้ห่วงใยเราแค่ความรู้สึก แต่คือการกระทำเพื่อเราจริง ๆ  พระเยซูบอกว่าโลกจะรู้  คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นสาวกเมื่อเรารักผู้อื่น  และเราพิสูจน์ความเป็นสาวกของเราได้ด้วยการกระทำ เมื่อเราวางชีวิตของเราลง ปฎิเสธความต้องการความปรารถนาส่วนตัว เพื่อที่เราจะกระทำเพื่อผู้อื่น  เมื่อเรามีความห่วงใยต่อผู้อื่น เราปรารถนาจะปฎิบัติต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่กระทำต่อพระเจ้า เราจะสามารถสละชีวิตส่วนตัวของเราได้   1 ยอห์น 3:16 16ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก   โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย   และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง  รักแท้เป็นการกระทำไม่ใช่ความรู้สึก รักแท้เกิดผลเป็นการให้อย่างเสียสละและไม่เห็นแก่ตัว การกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความรักก็คือการเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น คิดถึงความต้องการของผู้อื่นก่อนความต้องการของตัวเอง ในความห่วงใยที่เรามีต่อผู้อื่นนั้น มันจะส่งผลให้เกิดบรรยากาศของการเยียวยา  การฟื้นฟูท่ามกลางความสัมพันธ์ในชีวิตของเรา คริสตจักร ชุมชน สังคม  เพราะเมื่อเราห่วงใยกันและกัน มีการแบ่งปันช่วยเหลือกัน บรรยากาศฝ่ายวิญญาณที่ดีก็จะเกิดขึ้น  และถ้าเราก้าวไปมากกว่านั้นที่เราจะทำสิ่งที่ดี ห่วงใย ใส่ใจในสารทุกข์สุขดิบต่อผู้อื่น ต่อคนที่ไม่น่ารัก คนที่เป็นศัตรู คนที่เกลียดชังเรา  นั่นคือเรากำลังทำให้บรรยากาศฝ่ายวิญญาณได้รับการเยียวยา รับการฟื้นฟูมากขึ้น ๆ   เราต้องรักศัตรูของเรา เราต้องอวยพรเขาแม้เขาแช่งด่าเรา เราต้องทำดีต่อเขาแม้เขาเกลียดเรา  เราต้องอธิษฐานเผื่อเขาแม้เขาพยาบาทมุ่งร้ายหรือข่มเหงเรา มัทธิว 5 :44-45  44ฝ่ายเราบอกท่านว่า   จงรักศัตรูของท่าน   และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน45ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์   เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์   ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน   และให้ฝนตก   แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม  พระเจ้าทรงต้องการเยียวยาเรา และ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ในชีวิตของเรา ผ่านความการแสดงออกถึงความห่วงใยที่เรามีต่อคนอื่น  แต่ถ้าเราไม่มีความห่วงใยต่อผู้อื่น สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือการแบ่งแยก  การแยกตัว ความโดดเดี่ยว   สิ่งที่พิสูจน์ว่าการฟื้นฟูของพระเจ้าในพระกายพระคริสต์ คือ

– มีการแบ่งปันความรักออกไปท่ามกลางพี่น้องสมาชิก

– มีการใช้ของประทานของพระวิญญาณท่ามกลางพี่น้อง

– มีการทำชำระจากพระวิญญาณบริสุทํธิ์อย่างต่อเนื่อง และการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

– มีการรับใช้เกิดขึ้นกับผู้ที่หลงหาย

มีบัญญัติ 10 ประการในเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์

1.พูดคุยทักทายกับผู้คน

2.ส่งยิ้ม เวลาที่เราขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยเราต้องใช้กล้ามเนื้อถึง 72 ส่วน มันจะเหี่ยวแก่เร็ว แต่ถ้าเรายิ้มเราใช้กล้ามเนื้อเพียง 4 ส่วนเท่านั้น (หันไปส่งยิ้มให้คนข้าง ๆ หน่อย

3.เรียกชื่อคน เรียกชื่อของเค้า  การจำชื่อได้แปลว่าเค้าสำคัญสำหรับเรา ไม่ใช่แค่พี่ คุณ หรือบางทีแย่กว่านั้น เวลาเรียกใคร เรียก เฮ้ย..  ไม่ใช่

4.แสดงมิตรภาพน้ำใจไมตรีให้ความช่วยเหลือ

5.หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์

6.มีความถ่อมใจต่อผู้อื่น

7.ตื่นตัวอยู่เสมอที่จะบริการผู้อื่น

8.เรียนรู้ที่จะไว้วางใจผู้อื่น เพราะความไว้ใจสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

9.มีอารมณ์ขัน

10.ใส่ใจต่อความรู้สึกของผู้อื่น เพราะทุกคนเป็นคนสำคัญ

มีเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นที่อเมริกา วันหนึ่งคุณแม่ผิวขาวพาลูกชายอายุ 6 ขวบออกจากบ้าน เธอได้เรียกแท็กซี่คันหนึ่ง ปรากฏว่าคนขับเป็นชายผิวดำ เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยพบคนดำมาก่อน เมื่อได้เจอเด็กน้อยรู้สึกกลัว และได้ถามคุณแม่ออกไปว่า “ชายคนนี้เป็นคนชั่วร้ายใช่มั้ยครับ” คุณแม่ตอบว่า “คุณลุงไม่ใช่คนชั่วร้ายหรอกจ๊ะ  คุณลุงเป็นคนดี เด็กน้อยเงียบไปสักครู่แล้วถามต่อว่า “ถ้าไม่ได้เป็นคนชั่ว เขาต้องทำอะไรที่เลวร้ายแน่ ๆ ไม่งั้นพระเจ้าไม่ลงโทษเขาอย่างนี้หรอก”  เมื่อชายคนดำได้ยินถึงกับน้ำตาคลอเบ้า แต่เขาก็อยากรู้ว่าแม่ของเด็กน้อยนั้นจะตอบว่าอย่างไร คุณแม่ตอบลูกชายว่า “คุณลุงเป็นคนดีและและไม่ทำอะไรเลวร้ายเลย ลูกเห็นดอกไม้ที่อยู่ในสวนหลังบ้านเรามั้ย มีทั้งสีแดง ขาว เหลืองใช่มั้ย  แล้วเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้สีสวนเหล่านี้ต่างก็เป็นสีดำใช่มั้ยจ๊ะ  เมล็ดพันธุ์สีดำ ออกดอกสีสันสวยงาม ทำให้โลกนี้มีสีสันหลากหลายไงจ๊ะ” เด็กน้อยเข้าใจ และบอกกับคุณลุงว่า “ขอบคุณคุณลุงมากนะครับ เพราะคุณลุงทำให้โลกมีมีสีสัน ผมจะอธิษฐานให้คุณลุงครับ”   แล้วเด็กน้อยก็ทำการอธิษฐานให้ทันที  คนขับแท็กซี่ร้องไห้ไม่หยุด และเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง คนขับไม่ยอมรับเงินค่ารถ เขาบอกกับเธอว่า “ตอนผมเป็นเด็ก ผมก็เคยถามคำถามนี้กับแม่ แต่แม่บอกกับผมว่า พวกเราคือคนดำที่ถูกสาปมาเป็นคนชั้นต่ำ  หากแม่ตอบผมเหมือนที่คุณตอบลูกของคุณ ชีวิตผมคงไม่เป็นเหมือนวันนี้”  ทั้งหมดทุกสิ่งที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น สรุปสั้นๆ ว่าคือ ความรัก เราทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่ก็เพราะเรารักพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าเราก็จะรักผู้อื่น ขอสรุปเป็น 7 เหตุผลที่เราต้องรักคนอื่น

1.การรักคนอื่นเป็นการสะท้อนพระเยซูคริสต์ ยอห์น 13:34-35 34เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย   คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน   เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร   เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

2.การรักคนอื่นเป็นการทำให้บัญญัติสมบูรณ์ โรม 13:8-9 8อย่าเป็นหนี้อะไรใคร   นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน   เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน   ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว

3.การรักคนอื่นเป็นผลของความรอด1 เปโตร 1:22  22ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว   ด้วยการเชื่อฟังความจริง   จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ   ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง

4.การรักคนอื่นคือสิ่งที่พิสูจน์ความเป็นคริสเตียน1 ยอห์น 3:1010ดังนี้แหละ   จึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า   และผู้ใดเป็นลูกของมาร   คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติชอบ   และไม่รักพี่น้องของตน   ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า

5.การรักคนอื่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้1 ยอห์น 3:23 23และนี่เป็นพระบัญญัติของพระองค์   คือว่า   ให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์   และให้เรารักซึ่งกันและกัน   ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้แก่เรา

6.การรักคนอื่นคือการตอบสนองความรักที่พระเจ้ารักเรา1 ยอห์น 4:7 -11  7ท่านที่รักทั้งหลาย   ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน   เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า   และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า   และรู้จักพระเจ้า 8ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า   เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก 9โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย   คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก   เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร 10ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า   แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา   และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา 11ท่านที่รักทั้งหลาย   ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น   เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย

7.การรักคนอื่นเป็นสิ่งที่เรากำลังบอกว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่1 ยอห์น 4:12  12ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า   ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน   พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย   และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา  

ก่อนที่พ่อข้าพเจ้าจะเสีย พ่อสั่งข้าพเจ้ากับน้องชาย ดูแลแม่นะ รักกันนะ  จริง ๆ เราเป็นพี่น้องที่รักกันอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะเอาอะไร อยากได้อะไร เค้าจะหามาให้ เมื่อวานก็ไปเป็นธุระจัดการเปลี่ยนยางรถยนต์ให้ เค้าดูแล ห่วงใย รักเรา ทำอย่างที่พ่อสั่งไว้เป็นอย่างดี  พระเจ้าของเราก็สั่งเรา   สั่งให้เรารักกันและกัน สั่งให้เราดูแลกัน สั่งให้เราห่วงใยกัน และเราต้องทำอย่างที่พ่อในสวรรค์ของเราสั่งไว้  เมื่อพระเจ้าให้บททดสอบ ให้ข้อสอบ ให้ผู้คนเข้ามาในชีวิตของเรา เราสอบได้ หรือสอบตกในความห่วงใยที่เรามีต่อผู้อื่น  เราอยู่ที่ไหนเมื่อพี่น้องของเราหิว  เราอยู่ที่ไหนเมื่อพี่น้องเรากระหาย  เมื่อเขาไร้ที่อยู่อาศัย เมื่อเขาดูเป็นคนแปลกหน้า เมื่อเขาป่วย เมื่อเขาถูกจองจำ  สิ่งที่เราทำให้ผู้อื่น ก็เหมือนเราได้กระทำต่อพระเจ้า  การที่เรารักคนอื่นคือการที่เรารักพระเจ้า  หากสิ่งที่เราทำไม่ได้รับแม้เสียงปรบมือเบา ๆ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ ไม่เป็นไร เรากำลังทำให้พระเจ้า  แม้สิ่งดีที่เราทำไปเค้าเอาไปนินทาลับหลัง ไม่เป็นไร เรากำลังทำให้พระเจ้า  ให้สิ่งที่เรากระทำนั้น เป็นการกระทำที่ทำให้พระเจ้าจะตรัสกับเราว่า “เราบอกความจริงแกท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” เอเมน

By admin