“ชีวิตที่เกิดผล….ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนมากกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง”
จิตแพทย์กำลังรักษาคนไข้เป็นกลุ่มและเป็นหญิงแม่ลูกอ่อน 4 คนพร้อมลูกน้อย “พวกคุณทั้งสี่ล้วนแต่มีสิ่งครอบงำจิตใจ” จิตแพทย์กล่าวกับคนไข้แล้วหันไปทางคุณแม่คนแรก “คุณมีจิตใจจ่ออยู่ที่เรื่องกิน เพราะเหตุนี้คุณถึงได้ตั้งชื่อลูกว่า ลูกกวาด” หมอหันไปทางคุณแม่คนที่สอง “คุณเองก็คิดถึงแต่เรื่องเงิน จึงตั้งชื่อลูกว่าสตางค์” “ส่วนคุณ…”หมอชี้ไปที่คุณแม่คนที่สาม “คุณหมกหมุ่นอยู่กับของมึนเมา คุณก็เลยตั้งชื่อลูกว่า เบียร์” ไม่ทันที่หมอจะพูดอะไรต่อ คุณแม่คนที่สี่ รีบคว้ามือลูกแล้วกระซิบบอกว่า “เรากลับกันเถอะ บักหำ” เรื่องเล่านี้อาจดูตลกๆแกมทะลึ่ง แต่ก็เป็นความจริงในชีวิตของคนมากมาย ความจริงพระคัมภีร์ได้พูดถึงสิ่งที่ครอบงำจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่ ที่เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนไม่อาจจะมองข้ามได้ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก ฟิลิปปี 3:18-19 18 เพราะว่า มีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกท่านอีกด้วยน้ำตาไหล19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก อ.เปาโลได้กล่าวถึงสิ่งที่ครอบงำจิตใจของคนที่นำไปสู่ความพินาศ นั่นคือ เรื่องของการกิน คนไทยมีสำนวนเรื่องการดำรงชีพอยู่รอดเกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้อง ที่ทุกวันนี้ ต้องทำงานหากิน ต้องอดหลับอดนอน หรือการอยู่ไปวันๆก็เกี่ยวข้องกับเรื่องกินทั้งสิ้น ถึงเวลาเช้า เวลาเที่ยง เวลาเย็น ก็ต้องกิน กลายเป็นวิถีชีวิต เป็นหน้าที่ประจำวันที่เรื่องกินกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนมีคำพูดหนึ่งออกแนวๆเสียดสี ทำนองว่า จะอยู่เพื่อกิน หรือจะกินเพื่ออยู่ คำสอนในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการกิน โรม 14:17 17 เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นหมาย ความว่า เรื่องกินและดื่มไม่ใช่สาระสำคัญที่สุด แต่เรื่องจิตวิญญาณมาก่อน เมื่อครั้งที่พระเยซูถูกมารทดลองเรื่องของการกิน พระเยซูทรงตอบโต้ด้วยพระวจนะว่า มัทธิว 4:4 4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ แม้แต่มารซาตานก็ใช้เรื่องกินเป็นเรื่องทดลองเรื่องแรก พระเยซูรับมือกับการทดลองด้วยการใส่ใจกับสิ่งที่มาจากพระเจ้าผู้อยู่เบื้องบน มากกว่าเรื่องของกระเพาะที่อยู่เบื้องล่าง พระคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงผลจากการใส่ใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง เรื่องการกิน ปลาย ทางคือความพินาศ คำถามก็คอว่า แล้วระหว่างทางก่อนถึงความพินาศ ชีวิตจะเป็นอย่างไร คำตอบอยู่ที่ กาลาเทีย 6:8 8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น คำว่า หว่าน ก็คือ การให้ความสนใจ หากเราให้ความสนใจกับเรื่องของเนื้อหนัง เราก็จะรับผลจากสิ่งย้อนกลับมาเป็นความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนัง รากศัพท์ภาษากรีกตรงนี้แปลว่า ความเสื่อม (อย่างต่อเนื่อง) และการลงโทษ เพราะเนื้อหนังมีแต่จะเสื่อมไป แต่จิตวิญญาณให้ชีวิตที่จำเริญขึ้น พระคัมภีร์ตอนนี้ยังกล่าวถึงการหว่านในย่านพระวิญญาณ ก็คือการให้ความสนใจสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบน เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงแต่สิ่งที่มาจากพระเยซูเท่านั้น ยอห์น 14:26 26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว หลายคนมักจะมีคำถามกับตัวเองว่า เมื่อไรที่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงชัดเจนในชีวิตของตน ข้าพเจ้าให้ข้อสังเกตว่า หากเราหยุดการหว่านย่านเนื้อหนังหรือหยุดการให้ความสำคัญกับความต้องการของตนเอง เมื่อนั้น ผลพระวิญญาณ หรือสิ่งที่เราจะเกี่ยวเก็บในย่านพระวิญญาณจะเด่นชัดขึ้นมาทันที เนื่องจากความผลที่ได้จากการเกี่ยวเก็บในความเปื่อยเน่าของเนื้อหนังได้บดบังผลพระวิญญาณ มาระโก 4:18-19 18 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ19 แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ ได้เข้ามาและรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล นี่ก็เป็นภาพของการใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง จนชีวิตไม่สามารถเกิดผลได้ เหมือนพืชที่หว่านกลางหนาม ดังนั้น ชีวิตที่จะเกิดผล…ควรต้องใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนมากกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง เราจะมาดูชีวิตที่เกิดผลของคริสเตียนยุคแรกอย่างสเทเฟน ที่ใส่ใจในสิ่งที่อยู่เบื้องบนแล้วเกิดอะไรขึ้น กิจการ 7:1-3,8,17,35,37,39,45-60(สเทเฟนสู้คดี) 1 มหาปุโรหิตประจำการ จึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”2 ฝ่ายสเทเฟนจึงตอบว่า “ดูก่อนพี่น้องและท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย ขอฟังเถิด พระเจ้าผู้กอปรด้วยพระสิริได้ปรากฏแก่อับราฮัมบิดาของเรา…3 และได้ตรัสกับท่านว่า ‘เจ้าจงออกจากเมืองและญาติพี่น้องของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงให้เจ้า’….8 พระเจ้าจึงได้ทรงตั้งพันธสัญญาพิธีเข้าสุหนัตไว้กับอับราฮัม เหตุฉะนั้นเมื่ออับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัตในวันที่แปด อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ และยาโคบมีบุตรสิบสองคนซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา…17 “ใกล้เวลาตามพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัม ชนชาติอิสราเอลได้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์….35 “โมเสสผู้นี้ซึ่งถูกเขาปฏิเสธ โดยกล่าวว่า ‘ใครได้ตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาพวกเรา’ โดยมือของทูตสวรรค์ ซึ่งได้ปรากฏแก่ท่านที่พุ่มไม้ พระเจ้าทรงใช้โมเสสคนนี้แหละ ให้เป็นทั้งผู้ครอบครองและผู้ช่วยให้พ้น….37 โมเสสคนนี้แหละได้กล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะทรงประทานผู้เผยพระวจนะผู้หนึ่งให้เกิดมาเพื่อท่าน จากพี่น้องของท่าน เหมือนอย่างที่ให้ข้าพเจ้าเกิดมา’….39 บรรพบุรุษของเราไม่ยอมฟังโมเสสผู้นี้ แต่ได้ผลักไสท่านให้ไปจากเขา ด้วยมีใจปรารถนาจะกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์….45 ฝ่ายบรรพบุรุษของเราเมื่อได้รับเต็นท์นั้นจึงขนตามโยชูวาไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา เต็นท์นั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยกษัตริย์ดาวิด46 ดาวิดนั้นมีความชอบเฉพาะพระเจ้า และขอพระอนุญาตที่จะหาพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ47 แต่ซาโลมอนเป็นผู้ได้ทรงสร้างพระนิเวศสำหรับพระองค์48 ถึงกระนั้นก็ดีองค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระนิเวศ ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า 49 ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน 50 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้ทำไว้ทั้งสิ้นมิใช่หรือ’51 “โอ คนชาติหัวแข็งใจดื้อหูตึง ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย52 มีใครบ้างในพวกผู้เผยพระวจนะซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าบรรดาคนที่พยากรณ์ถึงการเสด็จขององค์ผู้ชอบธรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายได้อายัดพระองค์ไว้และฆ่าเสีย53 คือท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่หาได้ประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่” 54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นพระสิริของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์56 แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”57 แต่เขาทั้งหลายร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปยังสเทเฟน58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟน ได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน เมื่อกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป การจับสเทเฟนมาที่สภาซานเฮดดรินก็เนื่องจาก10 คนเหล่านั้นสู้คำที่ท่านกล่าวอันประกอบ ด้วยสติปัญญา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ พวกยิวนิยมกรีกมาไล่เลียงกับสเทเฟนก็เพื่อจะแสดงความรู้ที่ตนคิดว่ามีดีกว่าคนอื่น แต่เมื่อไม่สามารถสู้คำของสเทเฟนได้ จึงสร้างการจราจลและใช้เป็นโอกาสจับสเทเฟนมาที่สภาซานเฮดดริน ซึ่งเป็นที่ที่มีคนที่มีตำแหน่ง มีอาวุโส เป็นผู้รู้ เป็นอาจารย์ นักปราชญ์ คนมีปัญญา มีความรู้เรื่องธรรมบัญญัติอย่างแตกฉาน และตั้งข้อกล่าวหาเพื่อสเทเฟนจะต้องถูกไต่สวนในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา และการไต่สวนก็เริ่มต้นโดย 1 มหาปุโรหิตประจำการ จึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”สเทเฟนจึงต้องสู้คดีนี้ด้วยการ เริ่มต้นเรียบเรียง บรรพบุรุษตั้งแต่อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และชนเผ่าอิสราเอลสิบสองเผ่า จนมาถึงโมเสส โยชูวา ดาวิด และบรรดาผู้เผยพระวจนะ จนถึงปัจจุบัน ต่างมุ่งเป้าหมายไปถึงองค์ผู้ชอบธรรมที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ให้เสด็จมาในภายหลัง ไม่ใช่ประเด็นของวิหารหรือธรรมบัญญัติของโมเสสที่คนยิวและพวกมหาปุโรหิตต่างหลงประเด็น และมุ่งที่จะปกป้องอย่างงมงายโดยเอาพระเจ้ามาอ้าง จนได้ฆ่าคนบริสุทธิ์ ชอบธรรมที่พระเจ้าได้ประทานให้มา คำสู้คดีของสเทเฟนคือการวิเคราะห์ถึงการใส่ใจของคนพวกนี้อยู่ที่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง คือ วิหารและธรรมบัญญัติ ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญที่สุดของพระเจ้าเลย และในความเป็นจริงเกี่ยวกับวิหารก็คือไม่ใช่ที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่มนุษย์พยายามจะให้เป็น 48 ถึงกระนั้นก็ดีองค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระนิเวศ ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า 49 ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน 50 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้ทำไว้ทั้งสิ้นมิใช่หรือ ให้เราระวังวิญญาณศาสนาที่จะทำให้เราหลงประเด็น และไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญ และดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างไร้แก่นสาร ซึ่งเป็นลักษณะของคนในยุคสุดท้าย 2ทิโมธี 3:4-5 ….รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า5 ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังหมายถึงคริสเตียนที่หลงไปกับลักษณะของคนในยุคสุดท้าย มีแต่คนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นที่จะถือศาสนาแต่เปลือกนอก และรักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า นั่นคือการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างผิดทิศผิดทาง และยังต่อต้านสิ่งที่มาจากเบื้องบน ซึ่งสเทเฟนได้กล่าวโดยพระวิญญาณต่อไปว่า 51 “โอ คนชาติหัวแข็งใจดื้อหูตึง ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย52 มีใครบ้างในพวกผู้เผยพระวจนะซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าบรรดาคนที่พยากรณ์ถึงการเสด็จขององค์ผู้ชอบธรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายได้อายัดพระองค์ไว้และฆ่าเสีย53 คือท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่หาได้ประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่” ในปัจจุบันนี้ คนที่รู้จักธรรมบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ คริสเตียนคือคนที่จะข่มเหงผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพราะผู้เผยพระวจนะจะมาเพื่อจะเตือนคริสเตียนเท่านั้น คริสเตียนคือคนที่จะฆ่าหรือหยุดบรรดาคนที่พูดถึงการเสด็จมาของพระเยซู มีคำถามต่อไปว่า วันนี้การข่มเหงส่วนใหญ่มาจากคริสเตียนหรือคนที่อยู่ในสังคมคริสเตียน???? ก็เหมือนกับที่สเทเฟนกำลังเผชิญกับกลุ่มคนที่บอกว่าเขารู้จักพระเจ้า 53 คือท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่หาได้ประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่” นี่คือคำที่บอกว่า คนที่หมิ่นธรรมบัญญัติของโมเสสจริงๆก็คือพวกยิวที่อายัดพระเยซูและฆ่าพระองค์ เป็นพวกฆาตกร และกล่าวหาเท็จต่อผู้บริสุทธิ์ ซึ่งคนยิวเหล่านี้รู้อยู่แก่ใจดี 54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน การสู้คดีของสเทเฟนจบลงด้วยการตั้งโจทย์ฟ้องกลับ ซึ่งความจริง คนยิวเหล่านี้จะต้องสู้คดี แต่กลับล้มคดี ด้วยการใช้ศาลเตี้ย ยังไม่มีการตัดสินจากสภาซานเฮดดริน ยังไม่มีการไต่สวน เป็นความแตกต่างที่เห็นชัดระหว่างคนที่ใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน กับคนที่ใส่ใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง และเป็นบทเรียนสำหรับเราดังนี้
1.การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนให้ความเข้มแข็ง กิจการ 7:54-56
54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน 55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นพระสิริของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์56 แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” คนที่ใส่ใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง จะไม่แข็งแรงพอที่จะรับความจริงเกี่ยวกับความบกพร่องของตนเอง และไม่เผชิญกับการการยอมรับผิด และก็จะทำผิดซ้ำสอง ซ้ำสาม สร้างปมแห่งการโกหกมากขึ้น เราคงเคยเห็นคนที่พาล เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง และบางคนถูกไล่เบี้ยจะจนมุมตอบไม่ได้ ก็จะเฉไฉด้วยคำว่า ไม่รู้ กษัตริย์ดาวิดเคยพยายามโกหกซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกปิดความผิด ความบาปเรื่องการผิดประเวณีและการเป็นฆาตรกรของตนเอง แต่เมื่อนาธานมาไล่เบี้ยจนดาวิดต้องยอมรับความจริง ดาวิดก็ยอมรับว่าตนเองนั้นได้ทำผิด และเลิกการโกหกหลอกลวงนั้น ในพระคัมภีร์มีเรื่องราวคนของพระเจ้าที่มีโอกาสผิดพลาดและอ่อนแอ แต่คนเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนจากความอ่อนแอมาเป็นความเข้มแข็งด้วยการเปลี่ยนจุดใส่ใจจากเบื้องล่างมาสู่การใส่ใจเบื้องบน ด้วยการฟังและยอมรับคำเตือนจากเบื้องบน คำถาม เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่คือคำเตือนจากเบื้องบน จุดสังเกตง่ายๆก็คือ คำเตือนใดก็ตามที่พยายามหยุดเราจากการใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง พยายามหยุดการกระทำบาปใดๆ และพยายามให้หันกลับมาสนใจน้ำพระทัยพระเจ้า นั่นแหล่ะคือคำเตือนจากเบื้องบนสดุดี 32:8-9 8 เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่ 9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อ ที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดสายผ่าปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็ไม่ไปกับเจ้า พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงคำว่า เสรีภาพ 2โครินธ์ 3:17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น พระเจ้าไม่เคยทำให้ใครเป็นหุ่นยนต์ พระองค์ให้เสรีภาพกับคนที่มีความเข้าใจ แต่สำหรับคนที่ไม่ยอมรับคำแนะนำจากพระเจ้าและไม่ยอมที่จะเข้าใจ คนๆนั้นก็กำลังทำตัวเหมือนสัตว์ที่จะต้องถูกจับให้อยู่ในที่ที่มันจะต้องสิ้นอิสระเสรีภาพ ข้าพเจ้าอยากจะใช้คำที่นุ่มนวลกว่านี้ ก็คือการเป็นเหมือนเด็กที่ต้องถูกบังคับให้ทำตามคำแนะนำอย่างไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ตามใจชอบ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่พระเจ้าจะใช้มนุษย์บางคนที่เราจะต้องอยู่ใต้บังคับของคนๆนั้น โรม 13:3-4 3 เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ทำความดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ทำความชั่ว ท่านไม่อยากจะกลัวผู้มีอำนาจหรือ ถ้าเช่นนั้นก็จงประพฤติแต่ความดี แล้วท่านก็จะได้เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจนั้น4 เพราะว่าผู้ครอบครองนั้น เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่ท่าน แต่ถ้าท่านทำความชั่วก็จงกลัวเถิด เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นหาได้ถือดาบไว้เฉยๆ ไม่ ท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และจะเป็นผู้ลงพระอาชญาแทนพระเจ้าแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว รากศัพท์ของคำว่า ประพฤติชั่ว ที่พระคัมภีร์ใช้ตอนนี้ แปลได้สามความหมาย ได้แก่ ทำสิ่งที่ไร้ค่า ทุจริต และทำสิ่งที่เป็นอันตราย ผู้รับใช้ที่พระเจ้าตั้งให้เป็นผู้ครอบครองจะทำหน้าที่ ลงพระอาชญาแทนพระเจ้าแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว แต่ผู้ที่ใส่ใจกับสิ่งที่มาจากเบื้องบน จะสามารถยืนอยู่ต่อหน้าผู้ครอบครองได้ 3 เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ทำความดี คือคำที่แสดงถึงคนที่ปราศจากความกลัว เป็นคนที่เข้มแข็ง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนที่เกรี้ยวกราดและใช้ความก้าวร้าวคือคนที่กำลังมีความกลัว 54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน อาการบาดใจ หมายถึงรับไม่ได้กับความจริงที่สเทเฟนสะท้อนในพฤติกรรมของคนเหล่านั้นว่าเป็นคนที่ทำผิดข้อกล่าวหานั้นเอง สำหรับสเทเฟน การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนทำให้เขาสามารถสู้คำโกหกของคนได้ 55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์… ซึ่งในภายหลัง อ.เปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือ โคโลสี 3:1-2 1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ คือประทับข้างขวาของพระเจ้า2 จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก เป็นไปได้ไม๊ที่อ.เปาโลจะจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ยังเป็นเซาโลในเหตุการณ์วันที่สเทเฟนถูกหินขว้างตาย การใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องบนเพื่อให้ได้เห็น ที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาของพระเจ้า เป็นเรื่องเดียวกันกับที่สเทเฟนมองเห็น 56 แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” ดังนั้น การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบน เป็นความเข้มแข็งที่สุดของการผู้ที่มีชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์
2.แต่การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่างทำให้กลายเป็นเหยื่อ กิจการ 7:57-60
57 แต่เขาทั้งหลายร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปยังสเทเฟน58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟน ได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน เมื่อกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป เวลาคนพาลต้องการเอาชนะ สิ่งที่แสดงออกก็คือการส่งเสียงดังเอาไว้ก่อน และบรรยากาศในเวลานั้น การส่งเสียงดังเกิดจากความไม่พอใจ และเป็นการปลุกระดมความไม่พอใจในคนที่ถูกกระตุ้นให้ร่วมความรู้สึกไม่พอใจ นี่เป็นความอ่อนไหวของคนที่พร้อมเป็นเหยื่อของสิ่งที่เรียกว่า จิตวิทยาหมู่ มีการให้คำนิยามคำว่า จิตวิทยาหมู่ คือการกระตุ้นคนหมู่มาก ด้วยอาการป่วยบางอย่าง หรือความเชื่อทางศาสนาบางอย่าง โดยคนหนึ่งเริ่ม และคนอื่นๆทำตาม รู้สึกตาม เหมือนกับ คนยิวในเวลานั้น คนหนึ่งแสดงความไม่พอใจต่อคนๆหนึ่งโดยใช้เรื่องการหมิ่นศาสนามาเป็นข้ออ้าง คนอื่นๆก็ทำตาม ด้วยการร้องเสียงดังตามกัน 57 แต่เขาทั้งหลายร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปยังสเทเฟน การอุดหู รากศัพท์คำนี้แปลว่า การดับการฟัง ด้วยการใช้นิ้วอุดหู เป็นการปิดหูไม่ฟังอีกต่อไป ซึ่งสเทเฟนได้บอกให้คนเหล่านี้แหงนฟ้ามองดูการสำแดงจากเบื้องบน แต่คนเหล่านี้ไม่ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบน เขากลับใส่ใจกับความรู้สึกเจ็บปวดกับการรับไม่ได้กับความจริงที่เปิดเผยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านสเทเฟนว่า พวกเขากำลังเดินผิดทาง และเป็นทางเดียวกันกับบรรพบุรุษที่ต่อต้านพระเจ้า ความอ่อนแอของคนที่ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่างก็คือการสนใจแต่ตนเอง จนกลายเป็นเหยื่อของพวกมากลากไป สู่การเป็นฆาตรกร ความจริงกระบวนการตัดสินคนยิวให้ขว้างด้วยก้อนหินนั้น ธรรมบัญญัติของโมเสสได้กำหนดไว้อย่างเป็นขั้นตอน แต่ในสถานการณ์ที่เกิดกับสเทเฟน กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รอการตัดสินผ่านสภาซานเฮดดริน แต่อาศัยความโกรธของคนจำนวนมาก หรือจะเรียกว่า การจลาจล เหมือนกับคราวที่จับสเทเฟนมาสภาซานเฮดดริน ก็ใช้บรรยากาศการจลาจล ตอนนี้ก็เช่นกัน การใช้กฎหมู่โดยไม่ใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นความอ่อนแอของสังคม บรรยากาศเป็นการทำร้ายโดยใช้รูปแบบการลงโทษทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง 58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟน ได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล คนที่ปรักปรำสเทเฟน ต้องเป็นคนแรกที่ขว้างก้อนหิน และบันทึกนี้ว่า เขาได้ฝากเสื้อไว้กับเซาโล สเทเฟนได้แก้คดีแล้ว และยังไม่มีการประกาศความผิดของเขา สเทเฟนถูกหินขว้างขณะกำลังอธิษฐาน และขอพระเจ้ายกโทษให้กับคนเหล่านี้ นี่คือความเข้มแข็งที่สุดใช่ไม๊? 59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน เมื่อกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” อย่าให้เรากลายเป็นคนอ่อนแอและตกเป็นเหยื่อของจิตวิทยาหมู่แบบนี้ ซึ่งในยุคของเราก็กำลังเกิดขึ้นกับคนในศาสนาหนึ่งที่ถูกกระตุ้นให้เกรี้ยวกราดได้ง่ายๆ อาฆาตแค้นและมุ่งทำร้ายคนต่างศาสนาอย่างง่ายๆ จิตวิทยาหมู่ ในยุคของเราถูกใช้ผ่านสื่อต่างๆ มีผลสำรวจพบว่า คนเราใช้เวลากับเฟซบุ้ค ทวิตเตอร์ ไลน์ แชต ต่างๆ วันละไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง แทบจะตลอดการทำงานที่คนหนึ่งทำงานวันละแปดชั่วโมง ระวัง…คุณอาจตกเป็นเหยื่อของจิตวิทยาหมู่อีกมากมายที่พวกตกขอบนิยมความรุนแรงกำลังใช้เป็นเครื่องมือระดมให้คนมาร่วมกระทำผิดในสนามรบ และนี่คือความอ่อนแอของคนที่ใช้เวลาใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง ฟิลิปปี 4:8-9 8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน
“ชีวิตที่เกิดผล….ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนมากกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง”
1.การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนให้ความเข้มแข็ง
2.แต่การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่างทำให้กลายเป็นเหยื่อ