“ชีวิตที่เกิดผล….ระวังการผิดเป้าหมาย”
มีคำแนะนำสำหรับการบริหารการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ หรือประหยัด หรือสามารถเก็บออมเงินได้ คือการไม่ช้อปปิ้งโดยไม่วางแผน หรือมีรายการข้าวของที่จะซื้อล่วงหน้า มิฉะนั้น มีเท่าไร ก็หมด เพราะจะซื้อแต่สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ ข้าพเจ้าแก้ปัญหาตัวเองด้วยการพกเงินน้อยๆ ทีละร้อยสองร้อยบาท โดยเฉพาะตลาดสด เห็นอะไรก็ซื้อ เพราะคิดถึงแต่อาหารสำหรับคนที่บ้าน แต่บางทีก็เกินความจำเป็น ต้องบริหารทรัพยากรอย่างเช่นอาหารที่เก็บ (ตุน)ไว้ในบ้านมิให้เน่าเสีย หรือถูกลืมไว้ในตู้เย็น ทุกอย่างควรถูกใช้ในเวลาอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ยกเว้น สิ่งที่ได้มาไม่ได้อยู่ในแผน ก็ต้องวางแผนใช้อย่างรวดเร็วมิฉะนั้นจะถูกลืม คำว่า แผน คืออยู่ในความคิดที่จะทำ จะใช้ จะดำเนินการ ในทำนองเดียวกัน พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ทรงมีแผนการ (เป้าหมาย) สำหรับเราทุกคน นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงวางไว้ในอันดับต้นๆในคำสอนเรื่องการอธิษฐานแก่สาวก ก็คือ ชีวิตที่เกิดผล…ระวังการผิดเป้าหมาย ลูกา 6:10 10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ความหมายของพระเยซูคริสต์เจ้าคือ ให้สาวกของพระองค์เรียนรู้เรื่องการดำเนินชีวิตที่ระวังการผิดเป้าหมาย (ไปจากพระเจ้าพระบิดา) ในเรื่องของการบิน นักบิน จะให้ความใส่ใจกับทิศทางของเส้นทางการบินอย่างมาก หากการตั้งเข็มทิศผิดเพี้ยนไปเพียงองศาเดียว เครื่องบินลำนั้นก็จะหันหัวไปในทิศทางที่ห่างไกลจากเป้าหมายชนิดตรงกันข้ามได้เลย คำว่า เพี้ยน มีคำแปลว่า ผิดแปลกไปเพียงเล็กน้อย หรือคลาดเคลื่อน เราคิดว่าจะมีผลในชีวิตของเราขนาดไหน ถ้าเราเป็นคริสเตียนเพี้ยน แปลว่า ความเชื่อของเราผิดแปลกไปเล็กน้อย ความเชื่อของเราคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย แต่อ.เปาโลกลับให้ความสำคัญอย่างมาก และเน้นว่า ต้องเข้มงวด ฮีบรู12:1-2 …ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ทำไมอ.เปาโลจึงหนุนใจคริสเตียนในเวลาต่อมาให้ใส่ใจการ หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ คำตอบอยู่ในประโยคเดียวกันก็คือ พระเยซูทรงเป็นผู้เดียวที่จะทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ นั่นคือ หากเราเดินตามความเชื่ออย่างพระเยซูคริสต์ ความเชื่อของเราจะไม่ผิดเพี้ยน แต่ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ (ฟังดีๆ) ความเชื่อของเราอาจผิดเพี้ยน เพราะเราไม่เชื่ออย่างพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อในตอนนั้นถูกเรียกว่า ผู้ที่ถือในทางนั้น (เพราะพระเยซูตรัสว่า พระองค์คือทางนั้น) เรากำลังเชื่ออย่างที่เราอยากจะเชื่อ เชื่อมาก เชื่อน้อย เชื่ออย่างงมงาย เชื่ออย่างคนดื้อรั้น หรือเชื่ออย่างหลับหูหลับตาเชื่อ และนี่คือเปาโลที่ครั้งหนึ่งชื่อเซาโล ซึ่งเคยหลับหูหลับตาเชื่อ ชีวิตที่คิดว่ากำลังเกิดผล…แต่กลับผิดเป้าหมาย กิจการ 9:3-5 3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้น มีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง อ.เปาโลเคยผ่านประสบการณ์ ชีวิตที่ตั้งเป้าจะเกิดผลในพระเจ้า แต่กลับตรงกันข้ามคือ ผิดเป้าหมายไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างชนิด หน้ามือเป็นหลังเท้า ชีวิตที่คิดว่า กำลังปรนนิบัติพระเจ้าที่เปาโลรัก แต่กลายเป็นการต่อต้านและเป็นศัตรู กิจการซีรี่ส์วันนี้ คือ กิจการ 8:1-4 1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้น เซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง 3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก 4 ฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไป ก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น ไม่น่าเชื่อว่า คนที่เคร่งศาสนาและเข้าใจธรรมบัญญัติจนเป็นศิษย์เอกของกามาลิเอล ผู้ที่เป็นที่นับถือและเคารพของบรรดายิวในเวลานั้น จะเห็นชอบกับการฆ่าคนที่ไม่มีความผิดอย่างสเทเฟน คนที่อธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษให้กับพวกเขา คนที่ไม่ต่อสู้ คนที่ไม่มีความโกรธเคืองใครเลย จนพระคัมภีร์บันทึกว่า หน้าของสเทเฟนเหมือนทูตสวรรค์ ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นหน้าตาของคนที่มีเป็นมิตรและมีเมตตาที่สุด เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าขี่จักรยานไปซื้อผักที่ตลาดพรานนก ขณะกำลังจะข้ามไปอีกฝั่งของถนน รถก็เยอะมาก ปรากฏว่า มีวินมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งมาประกบกับข้าพเจ้า แล้วก็บอกว่า อย่าเพิ่ง รถเยอะ ชะลอ เดี๋ยวก่อน รถกำลังมา ไปได้ ขณะพูด เขาก็ขี่มอเตอร์ไซด์ข้ามถนนไปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเล่าให้อ.หนึ่งฟัง อ.หนึ่งบอกว่า นี่แหล่ะทูตสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่า ใช่เลย เพราะเมื่อข้ามไปได้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นเขารับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดี นี่แหล่ะทูตสวรรค์ มีเมตตา และเป็นมิตรกับทุกคน แม้แต่คนแปลกหน้า เช่นเดียวกันกับสเทเฟน แม้กระทั่งศัตรูที่กำลังจะทำร้ายอย่างเซาโล (อ.เปาโล) ที่คิดว่ากำลังรับใช้พระเจ้าอย่างผิดเป้าหมาย สเทเฟนก็อธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษให้ แม้ว่าทิศทางที่เซาโลผิดเป้า ชนิดที่พระคัมภีร์เรียกว่า 1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้น เซาโลก็เห็นชอบด้วย บางคนอาจมีคำถามว่า การตายของสเทเฟนอยู่ในแผนการของพระเจ้าหรือ ข้าพเจ้าก็ไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ แต่ถ้าให้วิเคราะห์จากที่พระเยซูถามเซาโลว่า เจ้าข่มเหงเราทำไม อาจตีความว่า การตายของสเทเฟนไม่ได้อยู่ในแผนการของพระเจ้า แต่การรับใช้ของสเทเฟนอยู่ในแผนการของพระเจ้า และสเทเฟนก็เกิดผลอย่างมาก แต่เมื่อมีภาวะที่ต่อต้านเพื่อหยุดการเกิดผลของสเทเฟน และเซาโลคือคนหนึ่งที่สกัดกั้นการเกิดผลของสเทเฟน อย่างผู้รับใช้พระเจ้าที่ผิดเพี้ยน จึงส่งผลให้เกิด การข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย พี่น้องเห็นการผิดเพี้ยนไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าของผู้เชื่ออย่างเซาโลหรือพวกนิยมกรีกหรือไม่ว่า ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ขนาดไหน นี่เป็นการข่มเหงอันแรกที่มาจากคนยิวที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน บรรพบุรุษเดียวกัน แผนการพระเจ้าเรื่องพระเมสสิยาห์อย่างเดียวกัน ผู้เชื่ออย่างพระเยซูคริสต์ต้องหนีกระจัดกระจายไป 3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก มีบันทึกบางแห่งระบุว่าผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้มีคริสเตียนตายไปประมาณ 2,000 คน และจากคำพยานของเซาโลที่กลับใจมาเป็น.เปาโลในภายหลังเองด้วย กิจการ22:4 4 ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือในทางนี้ จนถึงตาย และได้ผูกมัดเขาจำไว้ในคุกทั้งชายและหญิง ความผิดเพี้ยนของผู้เชื่อคนหนึ่ง สามารถสร้างความเสียหายให้กับผู้เชื่ออย่างพระเยซูคริสต์มากมาย ผิดไปจากแผนการของพระเจ้า ผิดไปจากเป้าหมายของพระเจ้า บทเรียนสำหรับเราในวันนี้ กับชีวิตที่เกิดผล…ระวังการผิดเป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
1.แต่ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า…จะรักษาเป้าหมายไว้ได้ กิจการ 8:2
2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง
ชีวิตที่เกิดผลของสเทเฟนได้เป็นที่หนุนใจผู้เชื่อมากมายในเวลานั้น เขามีสติปัญญา มีของประทาน และการอัศจรรย์การหายโรค สามารถตอบโจทย์ชีวิตของคนมากมาย เป็นชีวิตที่เกิดผลอย่างพระเยซูคริสต์ เป็นคนที่สังคมกำลังต้องการอย่างมาก จึงเป็นเหตุให้คนมากมายรักและปรารถนาให้สเทเฟนอยู่เพื่อเกิดผลต่อไป การสูญเสียสเทเฟนไป ทำให้เกิดความเสียใจอย่างยิ่งกับคนที่พระคัมภีร์บันทึกตอนนี้ว่า เป็น ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า รากศัพท์คำนี้แปลว่า ผู้ที่จริงใจ ผู้ที่มีใจศรัทธา มีการคาดการณ์ว่า การข่มเหงที่ร้ายแรงนี้เกิดขึ้นทันทีในเวลาเดียวกันกับที่สเทเฟนเสียชีวิต นั่นคือ ผู้เชื่อคนอื่นๆก็กลายเป็นเป้าหมายของการทำร้ายจากผู้ที่ฆ่าสเทเฟนด้วย แต่ผู้ที่ทำการฝังศพสเทเฟนเหล่านี้ กลับยังไม่หนี แต่อยู่ในท่ามกลางการข่มเหงด้วยความกล้าหาญ คนเหล่านี้จัดการกับศพของสเทเฟนอย่างเหมาะสม ด้วยการล้างบาดแผล พันผ้า ห่อศพ และบรรจุโลงและนำไปฝัง และอยู่ในพิธีไว้อาลัยร่างของสเทเฟนอย่างต่อเนื่อง ทำไมพระคัมภีร์จึงเรียกคนเหล่านี้ว่า ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า นอกจากจะไม่กลัวการข่มเหงแล้ว ยังทำสิ่งที่ควรทำกับศพของสเทเฟน เหตุผลก็คือ ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า เหล่านี้ไม่ได้สิ้นหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของคนที่ผิดเพี้ยน นี่คือการรับมือกับคนที่ผิดเพี้ยนที่สร้างความเสียหายให้กับคริสตจักร แต่คริสตจักรก็ยังดำเนินต่อไป ยังคงความยำเกรงพระเจ้า และกระทำต่อผู้รับใช้สเทเฟนอย่างเหมาะสม ข้าพเจ้าอยากให้เราเรียนรู้บทเรียนนี้ ในยุคของเราปัจจุบันนี้ มีความผิดเพี้ยนเกิดขึ้นอย่างมากมาย และได้สร้างความเสียหาย และการสูญเสียให้กับคริสตจักรด้วยเช่นกัน มีคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตอย่างไม่เหมาะสม มีคริสเตียนเพี้ยนๆก็เยอะ ขออย่าให้เราถอดใจ อย่าหนี แต่จงอยู่เพื่อจะทำสิ่งที่ควรจะทำในท่ามกลางความวิปริตรของผู้คน ไม่ใช่หันไปทางซ้าย ก็เห็นไม่เข้าท่า หันไปทางขวาก็น่ารำคาญใจ ปลีกวิเวกเลยดีกว่า ไม่อยากยุ่งกับใคร ทำไมสังคมคริสตจักรจึงมีแต่ปัญหาไม่รู้จบ ขอให้เรายังคิดถึงคำว่า ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า จะกระทำสิ่งที่ควรทำเพื่อเห็นแก่พระเจ้า มิใช่เห็นแก่ตัวเองหรือแก่มนุษย์ ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า เป็นผู้ที่ความหวังของเขาอยู่ที่พระเจ้า ดังนั้น สถานการณ์ใดๆก็ยังเป็นรอง เพราะเราเป็น ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า คนที่เพี้ยนๆแบบไหนก็ไม่หวั่น เพราะเราเป็น ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า จึงอยู่ในแผนการ (รักษาเป้าหมาย)ของพระเจ้าจนถึงที่สุด เราจะเห็นว่า พระคัมภีร์บันทึกตอนนี้เพื่อให้เกียรติกับที่กระทำการเหมาะสมกับศพของสเทเฟนด้วยการเรียกคนเหล่านั้นว่า ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า จนบัดนี้ เกียรตินี้ก็ยังคงอยู่กับคนกลุ่มนั้น ในทุกวันนี้ มีคนมากมายแสวงหาเกียรติด้วยวิถีทางมากมาย แต่ก็ได้กระทำอย่างไม่เหมาะสมกับคนก็มากมาย เป็นเกียรติที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมา คือคิดเออออเอาเอง แต่เกียรติที่ยั่งยืนที่ได้พิสูจน์แล้วอันหนึ่ง ก็คือ การรักษาเป้าหมายของพระเจ้าไว้ได้จะถูกเรียกว่า ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า นั้นอยู่นาน คนไทยอาจจะใช้คำว่า ทำความดี ความดีอยู่นาน แต่พระคัมภีร์เรียก ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า ก่อนที่จะเรียกถึงการกระทำดีของคนเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ความดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็น ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า จึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน
2.เป้าหมายของพระเจ้าไม่สามารถถูกทำลายได้ กิจการ 8:4
4 ฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไป ก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า “เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส” พระเจ้าของเราได้ใช้คำนี้มาเมื่อสองพันปีที่แล้ว เมื่อการข่มเหงมีเป้าหมายเพื่อหยุดแผนการของพระเจ้าในชีวิตของผู้เชื่ออย่างพระเยซูคริสต์ ทำให้ 4 ฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไป คือพวกที่หนีรอดจากการจับเข้าคุกและถูกฆ่าตายจำนวนมาก พวกศิษย์จำนวนมากที่รอดออกไปได้ ไม่ใช่การหนีเพราะความกลัว แต่เป็นการรอดพ้นจากการข่มเหง เพราะคนที่กลัวจะไม่รักษาความเชื่อไว้ แต่คนเหล่านี้ได้รักษาความเชื่ออย่างพระเยซูคริสต์ด้วยการ เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น คำว่า “เที่ยว” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า went everywhere, went through รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า การเดินข้ามสิ่งกีดขวาง มีความหมายว่า ผู้ที่กระจัดกระจายไปนั้น เขาไปทุกที่ ไปอย่างทะลุทะลวง หรือเรียกว่า เข้าไปทุกบ้าน เป็นการเปิดตัว ไม่ได้ซ่อนตัวเลย และประกาศตัวด้วยว่า เขาคือผู้เชื่ออย่างพระเยซูคริสต์ และนี่คือวิกฤตที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นโอกาส และเป็นคำพยากรณ์ส่วนแรกที่สำเร็จตามที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับสาวกก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไปว่า กิจการ 1:8 8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” เป็นคำพยากรณ์ที่สำเร็จตามบันทึกเหตุการณ์ในกิจการบทที่ 8 ตอนนี้ …คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย ใครจะคิดว่า การเป็นพยานของสาวกถูกกระตุ้นด้วยการข่มเหงครั้งยิ่งใหญ่จากเยรูซาเล็มที่เป็นศูนย์กลางความเชื่อของคนยิว และสาวกก็ประกาศตัวว่าเป็นยิวและความเชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้เพี้ยนไปจากศาสนายูดาห์ แถมเป็นเนื้อเดียวกันกับศาสนายูดาห์ เราพบคำอ้างนี้ได้จากคำแก้คดีของทั้งเปโตรและของสเทเฟนในสภาแซนเฮดดริน แม้พวกที่เคร่งศาสนาในศาสนายูดาห์เป็นพวกที่เพี้ยนไปจากแผนการของพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังรักษาแผนการ (เป้าหมาย)ของพระองค์ไว้ได้ วันนี้ศาสนายูดาห์เป็นเพียงศาสนาเล็กๆ เพราะมนุษย์พยายามรักษาศาสนายูดาห์ของตนเองเอาไว้ตามเป้าหมายของตนเอง แต่ศาสนาคริสต์กลับยิ่งใหญ่ เพราะผู้ที่รักษาแผนการ (เป้าหมาย)คือพระเยซูคริสต์พระเจ้าพระองค์เอง แม้จะผ่านไปสองพันปี ผ่านการถูกต่อต้านและทำลายใหญ่ๆมากมาย แต่เป้าหมายของพระเจ้าไม่เคยถูกทำลาย ในทางกลับกันคนที่พยายามทำลายต่างก็ตายไปพร้อมกับเป้าหมายของตนเอง เป้าหมายของพระเจ้าที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ คำถามสำหรับเราในวันนี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่เพื่อรักษาเป้าหมายอะไร บางคนอาจตอบว่า เพื่ออยู่ไปวันๆ บางคนอาจตอบว่า เพื่อกิน บางคนอาจตอบว่า ไม่มีเป้าหมาย บางคนอาจตอบว่า เพื่อครอบครัว เพื่อความสำเร็จ เพื่อความร่ำรวย เพื่ออะไรสารพัด คำถามก็คือว่า การรักษาเป้าหมายเหล่านี้ คือเป้าหมายเดียวกันกับของพระเจ้าหรือไม่ สำหรับชีวิตที่เกิดผล อย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า มัทธิว 16:25-26 25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา พระเยซูคริสต์กำลังหมายความว่าการรักษาเป้าหมายของชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนนำไปสู่การสูญเสียทั้งสิ้น แต่การรักษาเป้าหมายของพระองค์ไว้ คนนั้นจะได้ชีวิตกลับคืนมา คำว่า ชีวิตหมายถึงทั้งหมดของชีวิต ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต หากเราคิดว่า ชีวิตของเรามีสิ่งจำเป็น สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หน้าที่การงาน สุขภาพ ข้าพเจ้าอยากท้าทายเราในวันนี้ว่า ลองนั่งลง และเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง หากเราทำตามที่พระเยซูตรัส ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า คำตรัสของพระเยซูตอนนี้ ไม่ได้รอจนเราต้องตายไปก่อน จึงจะสำเร็จ แต่มันคือความจริงขณะที่เรายังเป็นอยู่ ข้าพเจ้าเชื่อในคำสอนของพระเยซูที่ว่า ให้คนตายฝังคนตาย ส่วนคนเป็นก็เป็นเรื่องของคนเป็น ลูกา 9:60 60 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด แต่ส่วนท่าน จงไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า” ที่นี่พระเยซูได้ย้ำว่า เรื่องของคนเป็นคือไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า นี่คือเป้าหมายของพระเจ้า ข้าพเจ้าอยากจบที่นี่ด้วยการตีความตอนนี้ว่า การประกาศแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเรื่องของคนเป็น หากเราไม่ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า เรากำลังวุ่นวายอยู่กับอะไร….ข้าพเจ้าขอตีความอีกว่า เรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องของคนตาย และกำลังฝังตัวเองอย่างคนสิ้นหวัง เพราะการประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเรื่องของคนที่มีความหวัง เป็นเรื่องของคนเป็นกับคนเป็น ให้เราถามคนข้างๆเราว่า คุณยังเป็นอยู่หรือเปล่า
“ชีวิตที่เกิดผล….ระวังการผิดเป้าหมาย”
1. แต่ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า…จะรักษาเป้าหมายไว้ได้
2. เป้าหมายของพระเจ้าไม่สามารถถูกทำลายได้