“ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์….รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า”
คำว่า ปิดหูปิดตา คือสำนวนหนึ่งหมายถึงการไม่อนุญาตให้ได้รับการสื่อสารที่ถูกต้อง ส่วนคำว่า อุดหู ก็เป็นอีกสำนวนของการไม่รับฟัง อีกคำ คือคำว่า ปิดใจ คือฟังแต่หูแต่ไม่ได้ฟังด้วยใจ สำนวนและคำเหล่านี้ล้วนมาจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในมนุษย์เรา ยิ่งในทุกวันนี้ มีการจำกัดการสื่อสารที่ควรรู้ เพราะถ้าให้รู้ก็จะเสียผลประโยชน์ และมีการจำกัดการรับรู้ข่าวสาร เพราะถ้ารับฟัง ก็จะต้องยอมรับความจริงหรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง สำนวนเกี่ยวกับการปิดหูปิดตา อุดหู หรือปิดใจจึงทันสมัยเสมอ ตราบใดที่มนุษย์เรายังดำเนินชีวิตให้ความปรารถนาของตนเองสนองความต้องการของเนื้อหนัง แท้จริงพระคัมภีร์ได้สอนเราให้ปฏิเสธความต้องการของเนื้อหนัง และศาสนามากมายก็สอนเรื่องนี้ซึ่งเรารู้จักในเรื่องของกิเลศตัณหา แต่พระคัมภีร์ยังสอนมากกว่านั้นคือ นอกจากจะต่อสู้กับเนื้อหนังแล้ว ยังสอนให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ กาลาเทีย 5:24-25 24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย เราจะพบว่า พระคัมภีร์สอนเราสมดุลสองด้าน ด้านหนึ่งต้องกำจัดสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลศตัณหาและความอยากของตนเอง อีกด้านหนึ่งต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณนั่นคือ หลังจากกำจัดแล้วต้องมีสิ่งที่ดีมาเติมเต็ม ทิตัส 2:11-12 11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าปรากฏแล้ว เพื่อช่วยทุกคนให้รอด12 และเพื่อสอนเราให้ละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และให้ดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรมและให้ดำเนินตามทางพระเจ้า มีสิ่งที่เราต้องละทิ้ง และมีสิ่งที่เราต้องรับใหม่ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เราจะไม่สามารถรับสิ่งใหม่ได้ หากมือของเรายังไม่ยอมปล่อยจากสิ่งที่เรายึดไว้ สำนวนในพระคัมภีร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งเก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” มาจาก 2โครินธ์ 5:17 17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น คำว่า “สิ่งใหม่” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า New Creation คือกลับไปสู่สิ่งทรงสร้างเดิม ฟอร์มเดิมที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรก เวลาเก่าๆที่ผ่านที่ทำให้ชีวิตของเราบิดเบี้ยว สูญเสียลักษณะ (ฉายาของพระเจ้า) ก็จะถูกละทิ้งไป ซึ่งกิเลศตัณหาความอยากและการทนงในลาภยศทำให้มนุษย์เปลี่ยนจากการรับการสื่อสารจากพระเจ้ามาสู่การรับการสื่อสารจากโลก 1ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ ชีวิตที่เกิดผลในพระเยซูคริสต์…จะรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้าเป็นอันดับแรก แม้ว่าจะยังอยู่ในโลกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทุกๆวันก็ถูกยัดเยียดการสื่อสารที่มาจากโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริสตจักรจึงต้องปลูกฝังการอ่านพระคัมภีร์ การเฝ้าเดี่ยว เพื่อเราจะรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า หนังสือพระคัมภีร์กิจการจึงบันทึกเรื่องราวชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ของคริสเตียนยุคแรกที่การสื่อสารของพวกเขาล้วนเชื่อมต่ออย่างรวดเร็วโดยตรงกับทูตของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเขา ดังปรากฏในเรื่องราวของฟิลิป ผู้ร่วมรับใช้กับศิษยาภิบาล…. กิจการ 8:26-40 26 แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปล่าเปลี่ยว) 27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิดมีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม28 ขณะนั่งรถกลับไป ท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่29ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถนั้นเถิด”30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้น คือข้อเหล่านี้ เขาได้นำท่านเหมือนอย่างนำแกะไปฆ่า และเหมือนลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น 33 ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่านได้ เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว 34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”37 และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความพอใจ40 แต่มีผู้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมือง จนท่านมาถึงเมืองซีซารียา การ “ลุกขึ้นและไป…”ของฟิลิป ไม่ใช่ฟิลิปคิดไปเอง เออเอง อยากไปเอง แต่ 26 แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปล่าเปลี่ยว) ฟิลิปคุ้นเคยกับการสื่อสารจากทูตของพระเจ้า 27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป ไม่มีความลังเลใจหรือต่อรองจากฟิลิปเลย ทิศทางที่สั่งให้ไปก็ใช่ว่าจะสบาย เป็นทางเปล่าเปลี่ยว แสดงว่า ผู้คนทั่วไปไม่ค่อยจะเลือกเป็นทางสัญจร อาจเนื่องจากเป็นเส้นทางที่ออกห่างไกลจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ หรือเป็นเส้นทางออกนอกประเทศ จึงเป็นเหตุผลให้ฟิลิปได้พบกับ ขันทีชาวเอธิโอเปียที่กำลังเดินทางกลับประเทศตนเอง การมากรุงเยรูซาเล็มของขันทีคนนี้ก็เพื่อนมัสการพระเจ้า ทำให้เดินทางกลับ ขันทียังอยู่ในอารมณ์ของการอ่านพระคัมภีร์ (เหมือนกับบ่ายวันนี้ ที่เราจะอยู่ในอารมณ์ของการอ่านพระคัมภีร์กัน เพราะเรามานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร) พระคัมภีร์บันทึกต่อไปว่า 29ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถนั้นเถิด”30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน ขออย่าให้เราเป็นแบบขันทีที่อยู่ในอารมณ์อ่านพระคัมภีร์ แต่ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และนี่คือความห่วงใยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ต้องใช้ฟิลิปไปอยู่ใกล้ๆขันทีเพื่อจะอธิบายให้ขันทีเข้าใจ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับขันที คือ แม้เขาอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่มีคุณลักษณะที่ดีก็คือความปรารถนาที่จะเข้าใจ ขันทีจึงรีบเชิญฟิลิปขึ้นรถไปกับเขาทันที การเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ” เป็นการบอกว่า ฟิลิปสามารถอธิบายให้ขันทีเข้าใจได้ ในบทบาทที่ฟิลิปเป็นฆราวาสรับใช้ แต่ฟิลิปมีความมั่นใจที่จะอธิบายพระคัมภีร์อิสยาห์ตอนนี้ได้ พวกเรารู้ไม๊ว่า พระคัมภีร์ที่ขันทีอ่านตอนนี้หมายถึงพระเยซู 32 … เขาได้นำท่านเหมือนอย่างนำแกะไปฆ่า และเหมือนลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น 33 ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่านได้ เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว คำว่า แกะที่เอาไปฆ่า หมายถึง การเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์ทุกคน เป็นลักษณะที่พระเยซูต้องถูกตรึงตายที่กางเขน โดยไม่แก้ตัว ต้องอดทนต่อการถูกเหยียดหยามและความอยุติธรรม รับความผิดแทนมนุษย์ทั้งหลาย ฟิลิปสื่อสารเรื่องนี้กับขันทีชาวเอธิโอเปีย เกิดขึ้นจากการทำตามคำสั่ง “ให้ลุก…และไปในทิศทางที่บอก” แต่ไม่ได้บอกว่าจะเจอกับใคร และต้องทำอะไรต่อ หลังจากเจอทูต ฟิลิปไม่เจอใครอีกที่จะรับการสื่อสาร ดังนั้น การสื่อภายในฟิลิปเองจึงเกิดขึ้น มีสองทางเลือก จะฟังใคร ตัวเอง หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าอย่างเนื้อหนัง คือตัวเอง รถม้าที่ขันทีนั่งไม่ธรรมดา และรถยอมเร็วกว่าการเดินของคนธรรมดา และโดยตำแหน่งของขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ก็ไม่ธรรมดา จะต้องมีผู้ติดตาม บอดี้การ์ด ไม่ง่ายที่ฟิลิปจะได้เข้าใกล้ขันทีชาวเอธิโอเปีย ทั้งต้องผ่านบอดี้การ์ด ทั้งต้องวิ่งให้ทันรถม้า ต้องพูดไปวิ่งไป กับขันทีที่นั่งบนรถที่กำลังวิ่ง ทั้งหมดนี้ไม่ง่าย คนที่ทำได้ต้องมีคุณลักษณะดังนี้
1.ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ กิจการ 8:29-30
29 ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถนั้นเถิด”30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ” ภาษาอังกฤษมีคำว่า on the job training แปลว่า ทำไปฝึกไป ฟิลิปไม่เคยจบโรงเรียนพระคัมภีร์ ไม่เคยฝึกงานที่ไหน แต่การได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์และฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้ฟิลิป รับการสื่อสารจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่องสู่พัฒนาการที่เรียกว่า ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ 29 ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถนั้นเถิด”30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ ฟิลิปได้ยินเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนและตอบสนองด้วยเท้าที่ไวด้วยการวิ่งเข้าไปใกล้ เราคงเคยได้ยินถึงคนบางคนมีความรู้สึกช้า เรียกแล้ว เรียกอีก ก็ไม่ตอบสนอง ขนาดคนเรียกยังไม่ตอบสนอง คงไม่ต้องคาดหวังการตอบสนองต่อการเรียกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเรารักคนที่เรามองเห็นไม่ได้ แล้วเราจะรักพระเจ้าที่เรามองไม่เห็นได้หรือ เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่ฟังไม่ตอบการเรียกหรือความจำเป็นของคน แล้วเราจะฟังหรือตอบการเรียกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เรามองไม่เห็นได้หรือ ยากอบ 1:19 19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ พระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวถึงการไวในการฟัง (ทั้งฟังคน และฟังการสื่อสารที่มาจากพระเจ้าด้วย) ถ้าเรารับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า เราจะพูดอย่างที่พระเจ้าอยากจะพูด ไม่ใช่พูดอย่างที่ใจเราอยากจะพูด และเราจะช้าในการโกรธได้ เพราะเราจะได้รับความเข้าใจจากพระเจ้าก่อน คนที่โกรธเร็ว มาจากหลายสาเหตุ บางทีก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีก็เข้าใจผิด หรือบางทีเข้าใจอย่างที่อยากจะเข้าใจ และที่แย่ที่สุดคือไม่ใช่บางที แต่เป็นอยู่บ่อยๆ ก็คือพวกที่จะไม่ยอมเข้าใจสักอย่าง ใครจะทำไม เรียกว่า ยึดติดอยู่กับอัตตา (ตนเองเป็นที่ตั้ง) จนไม่ยอมรับการสื่อสารที่มาจากใครเลย แม้แต่ ทูตของพระเจ้ามาอยู่ตรงหน้าก็จะไม่ยอมรับการสื่อสาร อย่างเช่นเรื่องของบาลาอัม เรารู้หรือไม่ว่า บาลาอัมก็เป็นขันทีเหมือนกัน กันดารวิถี32:20-33 20 และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมในกลางคืนตรัสแก่เขาว่า “ถ้ามีผู้ชายมาเรียกเจ้าจงลุกขึ้นไปกับเขา แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น” 21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ22 แต่พระเจ้าทรงกริ้วต่อบาลาอัมเพราะเขาไป(ได้ยินพระเจ้าสั่ง แต่ทำตรงกันข้าม) ดังนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนเป็นผู้สกัดทางบาลาอัมไว้ (การสื่อสารจากพระเจ้าเพื่อหยุดบาลาอัม) ฝ่ายบาลาอัมขี่ลามีคนใช้สองคนไปกับเขา23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา (ลาไม่เข้าใจ แต่มันกลัวตาย มันเลยเลี้ยวไปทางอื่น) บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม24 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนอยู่ในทางแคบระหว่างสวนองุ่นมีกำแพงทั้งสองข้างทาง (ความเป็นลา แก้ปัญหาแบบลา ด้วยการเลี้ยวไปมาจนมาถึงทางที่บังคับให้ ต้องตรงอย่างเดียว) 25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็ดันไปติดกำแพง (ลาหลังชนฝา) หนีบเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็เดินไปข้างหน้า ยืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา28 แล้วพระเจ้าเปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง”29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือเดี๋ยวนี้ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสีย”(บาลาอัมกำลังพูดกับลาโดยไม่ตระหนักว่า นี่คือเรื่องผิดปกติที่ลาสื่อสารได้) 30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่าน ที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย” (ความโมโหของบาลาอัม ทำให้บาลาอัมมองไม่เห็นการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า สัตว์อย่างลาจึงสื่อสารจากสันชาตญาณการเอาตัวรอด บาลาอัมก็เลยทะเลาะกับลา) 31 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ (พระเจ้าต้องเปิดตาบาลาอัมให้มองเห็น) 32 และทูตสวรรค์แห่งพระเจ้า พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา(สาเหตุมมาจากการขัดขืนพระเจ้า) 33 ลาได้เห็นเรา และหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป”(บาลาอัมต้องโทษถึงตาย แต่ต้องเป็นหนี้ชีวิตสัตว์อย่างลา เพราะลาได้ช่วยชีวิตของบาลาอัมมิให้ถูกประหาร) พระเจ้าทรงสื่อสารกับบาลาอัม ว่า ถ้ามีคนสั่งให้ลุกขึ้นและไป ให้บาลาอัมฟังคำสั่งจากพระเจ้าเท่านั้น แต่บาลาอัมไม่รับการสื่อสารจากพระเจ้าเพราะว่าเงินค่าจ้างมันบังตาบังใจจนหนวกตาบอดมองไม่เห็นและไม่ได้ยินสัญญาณที่พระเจ้าส่งมา แต่ลาที่เป็นสัตว์ใช้งานกลับเห็นและรู้ว่าไปต่อไม่ได้ ลาที่เป็นพาหนะของบาลาอัมสะดุด และสุดท้ายบาลาอัมต้องรับการสื่อสารจากลาและบาลาอัมได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่พระคัมภีร์ใหม่ใช้เพื่อเรียกคนที่ไม่รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า และหูหนวกตาบอดหลงไปกับค่าจ้างของโลกนี้ เรารู้หรือไม่ว่า บ่อยครั้งพระเจ้าอนุญาตให้ปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นเพื่อเรียกให้เราหันกลับมารับการสื่อสารจากพระเจ้า หากวันนี้ หนทางที่เรากำลังเดินไปและเกิดปัญหาสะดุด บางทีปัญหาเหล่านั้นอาจกำลังช่วยชีวิตเรา เพื่อให้เรากลับมาไวต่อการเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า คุณลักษณะของคนที่รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้าอีกด้านหนึ่งก็คือ
2. ไปอย่างคนที่พรั่งพร้อม (ในข่าวประเสริฐ) กิจการ 8:30-35
30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้น คือข้อเหล่านี้ เขาได้นำท่านเหมือนอย่างนำแกะไปฆ่า และเหมือนลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น 33 ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่านได้ เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว 34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู อ.เปาโลได้กล่าวถึงชีวิตคริสเตียนต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดซึ่งหมายถึงความพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ของโลกนี้ และหนึ่งในยุทธภัณฑ์ทั้งชุดนั่นก็คือรองเท้า เอเฟซัส6:11-17 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ 14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า เราจะเห็นว่า ข่าวประเสริฐได้ถูกเปรียบเทียบเหมือนกับรองเท้า หากเรารับการสื่อสารจากพระเจ้า เมื่อพระองค์สั่งให้เราลุกขึ้นและไป เราต้องสำรวจตัวเองว่า เรามีความพร้อมเรื่องข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์หรือไม่ อย่างฟิลิปพร้อมที่จะตอบความไม่เข้าใจของขันที และพร้อมที่จะอธิบายพระคัมภีร์อิสยาห์ตอนนี้ เข้าใจว่า ฟิลิปต้องฟังเรื่องนี้มาจากผู้นำ (อัครทูต) ที่ได้สอนพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพราะอัครทูตได้มอบหมายงานแจกทานให้กับมัคนายก เพื่อจะทำหน้าที่อธิษฐานและสอนพระวจนะ แต่พวกมัคนายก หรือทีมที่ร่วมรับใช้ก็ต้องเรียนพระวจนะด้วย และนี่คือความพร้อมของฟิลิปในการตอบโจทย์ให้กับขันทีชาวเอธิโอเปีย เป็นการวิ่งไปพร้อมกับรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ แต่น่าเสียดายที่มีคริสเตียนไม่น้อยในยุคนี้ ที่ไม่วิ่ง ไม่ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ยังเดินเท้าเปล่า ไม่พร้อมที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ (ตัวเองเข้าใจว่าตัวเองเข้าใจแต่ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้) ….อย่างนี้เรียกว่า ไปอย่างคนไม่พร้อม (ในข่าวประเสริฐ) สุดท้าย..
3. เป็นทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์ กิจการ 8:36-40
36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”37 และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความพอใจ40 แต่มีผู้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมือง จนท่านมาถึงเมืองซีซารียา ฟิลิปทำบทบาทเป็นทูตของพระเจ้าที่นำการสื่อสารจากพระเจ้าไปสู่ขันทีชาวเอธิโอเปีย เมื่อนำรับเชื่อ ให้รับบัพติศมา ขันทีชาวเอธิโอเปีย ได้ยอมรับว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”โรม 10:9-10 9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด10 ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด ขันทีชาวเอธิโอเปียได้รับความรอด นั่นคือพระเจ้าไม่ทรงถือโทษอีกต่อไป โรม 5:19-20 19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ20 ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า ดังนั้น ฟิลิปจึงกลายเป็นทูตของพระคริสต์ เป็นทูตแห่งการคืนดี นำให้คนคืนดีกับพระเจ้า บทเรียนนี้สอนเราว่า เราไม่สามารถเป็นทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์ได้ หากเราไม่รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า หากเรายังปล่อยให้จิตใจของเราปิด อุดหูไม่ฟังการเปิดเผยที่มาจากพระเจ้า และยังไม่รู้สึกรู้สาว่าพระเจ้ากำลังเตือน กำลังเรียกเราให้ออกไปหาคนที่กำลังต้องการคำอธิบาย และคนเหล่านั้นกำลังจมอยู่กับความทุกข์ด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา คำตอบชีวิตอยู่ที่ไหน ทั้งหมดนี้ พระเจ้ากำลังรอคอยให้คริสเตียนทุกคนเป็นทูตของพระองค์ไปสู่คนมากมายรอบข้างเรา ทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนที่อยู่ติดกับกำแพงโบสถ์ ห่างกับเราแค่รั้วกั้นเท่านั้น ถ้าเราไม่สนใจคนที่อยู่ติดกับเรา การไปสนใจคนที่อยู่ห่างไกลเราออกไปก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับขันทีชาวเอธิโอเปียคือเขาเดินทางกลับบ้านด้วยความพอใจ (ยินดี) ซึ่งก่อนหน้านั้น แม้พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึก แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ขันทีเสร็จภารกิจการมานมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็มแบบยังไปไม่ถึงพระเจ้า แต่ทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์สามารถนำคนไปถึงพระเจ้าได้ และฟิลิปได้ทำภารกิจตามการสื่อสารของพระเจ้าอย่างครบถ้วน โดยการนำขันทีชาวเอธิโอเปียไปถึงพระเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้สิ่งที่เราทำจบลงที่การนำให้คนไปถึงพระเจ้า (คืนดีกันกับพระเจ้า)ให้ได้ เมื่อฟิลิปจบภารกิจ พระวิญญาณบริสุทธิ์รับฟิลิปไปเลย เรียกว่า ฟิลิปไม่เคยว่างเว้นจากการเดินทางแล้วก็เดินทาง เพราะฟิลิปสวมรองเท้าวิเศษ คือรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย….40 แต่มีผู้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมือง จนท่านมาถึงเมืองซีซารียา ฟิลิปสวมข่าวประเสริฐเป็นรองเท้าตลอดเวลานี่เอง คือ เท้าของทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์ ช่างงามจริงหนอ ผู้รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า เขากลายเป็นผู้สื่อสารที่คนมากมายกำลังรอคอย อิสยาห์ 52:7-8 7 เท้าของผู้นำข่าวดีมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ ผู้นำข่าวดีของเรื่องดี ผู้โฆษณาความรอด ผู้กล่าวแก่ศิโยนว่า “พระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง” 8 ฟังซี พวกยามของเจ้าเปล่งเสียง เขาร้องเพลงกันด้วยความชื่นบาน เพราะเขาได้เห็นกับตา ที่พระเจ้าทรงกลับยังศิโยน คนยิวฟังพระคำตอนนี้จะเข้าใจบรรยากาศของสงครามที่คนสื่อสารจะวิ่งข้ามภูเขามาแต่ไกล คนยามที่อยู่บนกำแพงเมืองจะส่งเสียงร้องยินดี ว่าผู้สื่อสารนำข่าวดีมา แสดงว่า สงครามนี้จบลงแล้ว รอดแล้ว สงบแล้ว การคืนดีกับพระเจ้าเกิดขึ้น คือการยอมให้พระเจ้าทรงครอบครองใจของตนเอง เราคือคนที่นำความยินดีไปสู่คน ไม่ใช่ทำให้คนโกรธ ไม่พอใจ กับการประกาศข่าวดี เราต้องกลับมาวิเคราะห์ว่า ทำไมเขาไม่รับข่าวที่เราประกาศเป็นข่าวดี สุภาษิต13:17 17 ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
“จงรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า”
1.ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์
2.ไปอย่างคนที่พรั่งพร้อม (ในข่าวประเสริฐ)
3.เป็นทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์