“ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์….รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า”

คำว่า ปิดหูปิดตา คือสำนวนหนึ่งหมายถึงการไม่อนุญาตให้ได้รับการสื่อสารที่ถูกต้อง ส่วนคำว่า อุดหู ก็เป็นอีกสำนวนของการไม่รับฟัง อีกคำ คือคำว่า ปิดใจ คือฟังแต่หูแต่ไม่ได้ฟังด้วยใจ สำนวนและคำเหล่านี้ล้วนมาจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในมนุษย์เรา ยิ่งในทุกวันนี้ มีการจำกัดการสื่อสารที่ควรรู้ เพราะถ้าให้รู้ก็จะเสียผลประโยชน์ และมีการจำกัดการรับรู้ข่าวสาร เพราะถ้ารับฟัง ก็จะต้องยอมรับความจริงหรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง สำนวนเกี่ยวกับการปิดหูปิดตา อุดหู หรือปิดใจจึงทันสมัยเสมอ ตราบใดที่มนุษย์เรายังดำเนินชีวิตให้ความปรารถนาของตนเองสนองความต้องการของเนื้อหนัง แท้จริงพระคัมภีร์ได้สอนเราให้ปฏิเสธความต้องการของเนื้อหนัง และศาสนามากมายก็สอนเรื่องนี้ซึ่งเรารู้จักในเรื่องของกิเลศตัณหา แต่พระคัมภีร์ยังสอนมากกว่านั้นคือ นอกจากจะต่อสู้กับเนื้อหนังแล้ว ยังสอนให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ กาลาเทีย 5:24-25 24 ผู้​ที่​อยู่​ฝ่าย​พระ​เยซู​คริสต์​ได้​เอา​เนื้อ​หนัง​กับ​ความ​อยาก และ​ตัณหา​ของ​เนื้อ​หนัง​ตรึง​ไว้​ที่​กางเขน​แล้ว​ 25 ถ้า​เรา​มี​ชีวิต​อยู่​โดย​พระ​วิญญาณ ​ก็​จง​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​พระ​วิญญาณ​ด้วย  ​เราจะพบว่า พระคัมภีร์สอนเราสมดุลสองด้าน ด้านหนึ่งต้องกำจัดสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลศตัณหาและความอยากของตนเอง อีกด้านหนึ่งต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณนั่นคือ หลังจากกำจัดแล้วต้องมีสิ่งที่ดีมาเติมเต็ม ​ ทิตัส 2:11-12 11 เพราะ​ว่า​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​ปรา​กฏ​แล้ว เพื่อ​ช่วย​ทุก​คน​ให้​รอด12 และ​เพื่อ​สอน​เรา​ให้​ละ​ทิ้ง​ความ​อธรรม​และ​โล​กีย​ตัณ​หา และ​ให้​ดำ​เนิน​ชีวิต​ใน​ยุค​นี้​อย่าง​มี​สติ​สัมป​ชัญญะ อย่าง​ชอบ​ธรรม​และ​ให้​ดำ​เนิน​ตาม​ทาง​พระ​เจ้า  มีสิ่งที่เราต้องละทิ้ง และมีสิ่งที่เราต้องรับใหม่ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เราจะไม่สามารถรับสิ่งใหม่ได้ หากมือของเรายังไม่ยอมปล่อยจากสิ่งที่เรายึดไว้ สำนวนในพระคัมภีร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งเก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น”  มาจาก 2โครินธ์ 5:17 17 เหตุ​ฉะนั้น​ถ้า​ผู้ใด​อยู่​ใน​พระ​คริสต์​ ผู้​นั้น​ก็​เป็น​คน​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​แล้ว สิ่ง​สารพัด​ที่​เก่าๆ ​ก็​ล่วง​ไป นี่​แน่ะ​กลาย​เป็น​สิ่ง​ใหม่​ทั้งนั้น​ คำว่า “สิ่งใหม่” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า New Creation คือกลับไปสู่สิ่งทรงสร้างเดิม ฟอร์มเดิมที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรก เวลาเก่าๆที่ผ่านที่ทำให้ชีวิตของเราบิดเบี้ยว สูญเสียลักษณะ (ฉายาของพระเจ้า) ก็จะถูกละทิ้งไป ซึ่งกิเลศตัณหาความอยากและการทนงในลาภยศทำให้มนุษย์เปลี่ยนจากการรับการสื่อสารจากพระเจ้ามาสู่การรับการสื่อสารจากโลก 1ยอห์น 2:15-17 15 อย่า​รัก​โลก​หรือ​สิ่งของ​ใน​โลก ถ้า​ผู้ใด​รัก​โลก ความ​รัก​ต่อ​พระ​บิดา​ไม่ได้​อยู่​ใน​ผู้​นั้น​16 เพราะ​ว่า​สารพัด​ซึ่ง​มี​อยู่​ใน​โลก คือ​ตัณหา​ของ​เนื้อ​หนัง​และ​ตัณหา​ของ​ตา และ​ความ​ทะนง​ใน​ลาภ​ยศ​ไม่ได้​เกิด​มา​จาก​พระ​บิดา แต่​เกิด​มา​จาก​โลก​17 และ​โลก​กับ​สิ่ง​ที่​ยั่วยวน​ของ​โลก​กำลัง​ล่วง​ไป แต่​ผู้​ที่​ประพฤติ​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า​จะ​ดำรง​อยู่​เป็น​นิตย์​   ชีวิตที่เกิดผลในพระเยซูคริสต์…จะรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้าเป็นอันดับแรก แม้ว่าจะยังอยู่ในโลกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทุกๆวันก็ถูกยัดเยียดการสื่อสารที่มาจากโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริสตจักรจึงต้องปลูกฝังการอ่านพระคัมภีร์ การเฝ้าเดี่ยว เพื่อเราจะรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า  หนังสือพระคัมภีร์กิจการจึงบันทึกเรื่องราวชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ของคริสเตียนยุคแรกที่การสื่อสารของพวกเขาล้วนเชื่อมต่ออย่างรวดเร็วโดยตรงกับทูตของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเขา ดังปรากฏในเรื่องราวของฟิลิป ผู้ร่วมรับใช้กับศิษยาภิบาล…. กิจการ 8:26-40   26 แต่​ทูต​องค์​หนึ่ง​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​สั่ง​ฟีลิป​ว่า “จง​ลุก​ขึ้น ไป​ยัง​ทิศ​ใต้​ตาม​ทาง​ที่​ลง​ไป​จาก​กรุง​เยรูซาเล็ม​ถึง​เมือง​กา​ซา” (​ซึ่ง​เป็น​ทาง​เปล่า​เปลี่ยว​)​ 27 ฝ่ายฟีลิ​ป​ก็​ลุก​ขึ้น​ไป และ​ดู​เถิด​มี​ชาว​เอธิโอเปีย​คน​หนึ่ง​เป็น​ขันที เป็น​ข้าราชการ​ของ​พระ​นาง​คาน​ดา​สี​พระ​ราชินี​ของ​ชาว​เอธิโอเปีย และ​เป็น​นาย​คลัง​ทรัพย์​ทั้งหมด​ของ​พระ​ราชินี​นั้น ได้มา​นมัสการ​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม​28 ขณะ​นั่ง​รถ​กลับไป ท่าน​อ่าน​หนังสือ​อิสยาห์​ผู้เผย​พระ​วจนะ​อยู่​29ฝ่าย​พระ​วิญญาณ​ตรัส​สั่ง​ฟีลิป​ว่า “จง​เข้า​ไป​ให้​ชิด​รถ​นั้น​เถิด”30 ฟีลิ​ปจึง​วิ่ง​เข้า​ไป​ใกล้ และ​ได้​ยิน​ท่าน​อ่าน​หนังสือ​อิสยาห์​ผู้เผย​พระ​วจนะ จึง​ถาม​ว่า “ซึ่ง​ท่าน​อ่าน​นั้น​ท่าน​เข้าใจ​หรือ”31 ขันที​จึง​ตอบ​ว่า “ถ้า​ไม่​มี​ใคร​อธิบาย​ให้ ที่​ไหน​จะ​เข้าใจ​ได้” ท่าน​จึง​เชิญฟีลิ​ปขึ้น​นั่ง​รถ​กับ​ท่าน​32 ​พระ​คัมภีร์​ตอน​ที่​ท่าน​อ่าน​อยู่​นั้น คือ​ข้อ​เหล่า​นี้ เขา​ได้​นำ​ท่าน​เหมือน​อย่าง​นำ​แกะ​ไป​ฆ่า และ​เหมือน​ลูก​แกะ​นิ่ง​อยู่​ต่อ​หน้า​ผู้​ตัด​ขน​ของ​มัน​ฉัน​ใด ท่าน​ไม่​ปริ​ปาก​ของ​ท่าน​เลย​ฉัน​นั้น 33 ​ใน​คราว​ที่​ท่าน​ถูก​เหยียด​ลง​นั้น ท่าน​ไม่ได้​รับ​ความ​ยุติธรรม​เสียเลย ใคร​จะ​เล่า​ถึง​เชื้อ​สาย​ของ​ท่าน​ได้ เพราะ​ว่า​ชีวิต​ของ​ท่าน​ต้อง​ถูก​ตัด​เสีย​จาก​แผ่นดิน​โลก​แล้ว 34 ขันที​จึง​ถาม​ฟีลิป​ว่า “ผู้เผย​พระ​วจนะ​ได้​กล่าว​อย่าง​นั้น​เล็ง​ถึง​ผู้ใด เล็ง​ถึง​ตัว​ท่าน​เอง หรือ​เล็ง​ถึง​ผู้อื่น บอก​ข้าพเจ้า​เถิด”35 ฝ่ายฟีลิ​ปจึง​เริ่ม​เล่า​จับ​ต้น​กล่าว​ตาม​พระ​คัมภีร์​ข้อ​นั้น ชี้แจง​ถึง​ข่าว​ประเสริฐ​เรื่อง​พระ​เยซู​36 ครั้น​กำลัง​เดินทาง​ไป​ก็​มาถึง​ที่​มี​น้ำ​แห่ง​หนึ่ง ขันที​จึง​บอก​ว่า “นี่​แน่ะ มี​น้ำ มี​อะไร​ขัดข้อง​ไม่ให้​ข้าพเจ้า​รับ​บัพติศมา”37 และฟีลิ​ปจึง​ตอบ​ว่า “ถ้า​ท่าน​เต็ม​ใจ​เชื่อ​ท่าน​ก็​รับ​ได้” และ​ขันที​จึง​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​เชื่อ​ว่า ​พระ​เยซู​คริสต์​ทรง​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า”38 แล้ว​ท่าน​จึง​สั่ง​ให้​หยุด​รถ และ​คน​ทั้ง​สอง​ลง​ไป​ใน​น้ำ​ทั้ง​ฟีลิป​กับ​ขันที ​ฟีลิป​ก็​ให้​ท่าน​รับ​บัพติศมา​39 เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​สอง​ขึ้น​จาก​น้ำ​แล้ว ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​รับ​ฟีลิป​ไป​เสีย และ​ขันที​นั้น​ไม่ได้​เห็น​ท่าน​อีก จึง​เดินทาง​ต่อไป​ด้วย​ความ​พอใจ​40 แต่​มี​ผู้​พบ​ฟีลิป​ที่​เมือง​อา​โซทัส และ​เมื่อ​เดินทาง​มา ท่าน​ได้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ​ใน​ทุก​เมือง​ จน​ท่าน​มาถึง​เมือง​ซีซารียา​  การ “ลุกขึ้นและไป…”ของฟิลิป  ไม่ใช่ฟิลิปคิดไปเอง เออเอง อยากไปเอง แต่ 26 แต่​ทูต​องค์​หนึ่ง​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​สั่ง​ฟีลิป​ว่า “จง​ลุก​ขึ้น ไป​ยัง​ทิศ​ใต้​ตาม​ทาง​ที่​ลง​ไป​จาก​กรุง​เยรูซาเล็ม​ถึง​เมือง​กา​ซา” (​ซึ่ง​เป็น​ทาง​เปล่า​เปลี่ยว​)​  ฟิลิปคุ้นเคยกับการสื่อสารจากทูตของพระเจ้า  ​ 27 ฝ่ายฟีลิ​ป​ก็​ลุก​ขึ้น​ไป ไม่มีความลังเลใจหรือต่อรองจากฟิลิปเลย ทิศทางที่สั่งให้ไปก็ใช่ว่าจะสบาย  เป็นทางเปล่าเปลี่ยว แสดงว่า ผู้คนทั่วไปไม่ค่อยจะเลือกเป็นทางสัญจร อาจเนื่องจากเป็นเส้นทางที่ออกห่างไกลจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ หรือเป็นเส้นทางออกนอกประเทศ จึงเป็นเหตุผลให้ฟิลิปได้พบกับ ขันทีชาวเอธิโอเปียที่กำลังเดินทางกลับประเทศตนเอง  การมากรุงเยรูซาเล็มของขันทีคนนี้ก็เพื่อนมัสการพระเจ้า ทำให้เดินทางกลับ ขันทียังอยู่ในอารมณ์ของการอ่านพระคัมภีร์ (เหมือนกับบ่ายวันนี้ ที่เราจะอยู่ในอารมณ์ของการอ่านพระคัมภีร์กัน เพราะเรามานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร) พระคัมภีร์บันทึกต่อไปว่า 29ฝ่าย​พระ​วิญญาณ​ตรัส​สั่ง​ฟีลิป​ว่า “จง​เข้า​ไป​ให้​ชิด​รถ​นั้น​เถิด”30 ฟีลิ​ปจึง​วิ่ง​เข้า​ไป​ใกล้ และ​ได้​ยิน​ท่าน​อ่าน​หนังสือ​อิสยาห์​ผู้เผย​พระ​วจนะ จึง​ถาม​ว่า “ซึ่ง​ท่าน​อ่าน​นั้น​ท่าน​เข้าใจ​หรือ”31 ขันที​จึง​ตอบ​ว่า “ถ้า​ไม่​มี​ใคร​อธิบาย​ให้ ที่​ไหน​จะ​เข้าใจ​ได้” ท่าน​จึง​เชิญฟีลิ​ปขึ้น​นั่ง​รถ​กับ​ท่าน ขออย่าให้เราเป็นแบบขันทีที่อยู่ในอารมณ์อ่านพระคัมภีร์ แต่ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และนี่คือความห่วงใยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ต้องใช้ฟิลิปไปอยู่ใกล้ๆขันทีเพื่อจะอธิบายให้ขันทีเข้าใจ  สิ่งที่น่าสนใจสำหรับขันที คือ แม้เขาอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่มีคุณลักษณะที่ดีก็คือความปรารถนาที่จะเข้าใจ ขันทีจึงรีบเชิญฟิลิปขึ้นรถไปกับเขาทันที  การเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำว่า   “ซึ่ง​ท่าน​อ่าน​นั้น​ท่าน​เข้าใจ​หรือ”  เป็นการบอกว่า ฟิลิปสามารถอธิบายให้ขันทีเข้าใจได้  ในบทบาทที่ฟิลิปเป็นฆราวาสรับใช้ แต่ฟิลิปมีความมั่นใจที่จะอธิบายพระคัมภีร์อิสยาห์ตอนนี้ได้ พวกเรารู้ไม๊ว่า พระคัมภีร์ที่ขันทีอ่านตอนนี้หมายถึงพระเยซู 32 … เขา​ได้​นำ​ท่าน​เหมือน​อย่าง​นำ​แกะ​ไป​ฆ่า และ​เหมือน​ลูก​แกะ​นิ่ง​อยู่​ต่อ​หน้า​ผู้​ตัด​ขน​ของ​มัน​ฉัน​ใด ท่าน​ไม่​ปริ​ปาก​ของ​ท่าน​เลย​ฉัน​นั้น 33 ​ใน​คราว​ที่​ท่าน​ถูก​เหยียด​ลง​นั้น ท่าน​ไม่ได้​รับ​ความ​ยุติธรรม​เสียเลย ใคร​จะ​เล่า​ถึง​เชื้อ​สาย​ของ​ท่าน​ได้ เพราะ​ว่า​ชีวิต​ของ​ท่าน​ต้อง​ถูก​ตัด​เสีย​จาก​แผ่นดิน​โลก​แล้ว คำว่า แกะที่เอาไปฆ่า หมายถึง การเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์ทุกคน เป็นลักษณะที่พระเยซูต้องถูกตรึงตายที่กางเขน โดยไม่แก้ตัว ต้องอดทนต่อการถูกเหยียดหยามและความอยุติธรรม  รับความผิดแทนมนุษย์ทั้งหลาย  ฟิลิปสื่อสารเรื่องนี้กับขันทีชาวเอธิโอเปีย เกิดขึ้นจากการทำตามคำสั่ง “ให้ลุก…และไปในทิศทางที่บอก” แต่ไม่ได้บอกว่าจะเจอกับใคร และต้องทำอะไรต่อ หลังจากเจอทูต ฟิลิปไม่เจอใครอีกที่จะรับการสื่อสาร ดังนั้น การสื่อภายในฟิลิปเองจึงเกิดขึ้น มีสองทางเลือก จะฟังใคร ตัวเอง หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าอย่างเนื้อหนัง คือตัวเอง รถม้าที่ขันทีนั่งไม่ธรรมดา และรถยอมเร็วกว่าการเดินของคนธรรมดา และโดยตำแหน่งของขันที เป็น​ข้าราชการ​ของ​พระ​นาง​คาน​ดา​สี​พระ​ราชินี​ของ​ชาว​เอธิโอเปีย และ​เป็น​นาย​คลัง​ทรัพย์​ทั้งหมด​ของ​พระ​ราชินี​นั้น ก็ไม่ธรรมดา จะต้องมีผู้ติดตาม บอดี้การ์ด ไม่ง่ายที่ฟิลิปจะได้เข้าใกล้ขันทีชาวเอธิโอเปีย ทั้งต้องผ่านบอดี้การ์ด ทั้งต้องวิ่งให้ทันรถม้า ต้องพูดไปวิ่งไป กับขันทีที่นั่งบนรถที่กำลังวิ่ง ทั้งหมดนี้ไม่ง่าย คนที่ทำได้ต้องมีคุณลักษณะดังนี้

1.ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์  กิจการ 8:29-30

29 ฝ่าย​พระ​วิญญาณ​ตรัส​สั่ง​ฟีลิป​ว่า “จง​เข้า​ไป​ให้​ชิด​รถ​นั้น​เถิด”30 ฟีลิ​ปจึง​วิ่ง​เข้า​ไป​ใกล้ และ​ได้​ยิน​ท่าน​อ่าน​หนังสือ​อิสยาห์​ผู้เผย​พระ​วจนะ จึง​ถาม​ว่า “ซึ่ง​ท่าน​อ่าน​นั้น​ท่าน​เข้าใจ​หรือ”  ภาษาอังกฤษมีคำว่า on the job training แปลว่า ทำไปฝึกไป ฟิลิปไม่เคยจบโรงเรียนพระคัมภีร์ ไม่เคยฝึกงานที่ไหน แต่การได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์และฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้ฟิลิป รับการสื่อสารจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่องสู่พัฒนาการที่เรียกว่า ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ 29 ฝ่าย​พระ​วิญญาณ​ตรัส​สั่ง​ฟีลิป​ว่า “จง​เข้า​ไป​ให้​ชิด​รถ​นั้น​เถิด”30 ฟีลิ​ปจึง​วิ่ง​เข้า​ไป​ใกล้  ฟิลิปได้ยินเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนและตอบสนองด้วยเท้าที่ไวด้วยการวิ่งเข้าไปใกล้  เราคงเคยได้ยินถึงคนบางคนมีความรู้สึกช้า เรียกแล้ว เรียกอีก ก็ไม่ตอบสนอง ขนาดคนเรียกยังไม่ตอบสนอง คงไม่ต้องคาดหวังการตอบสนองต่อการเรียกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเรารักคนที่เรามองเห็นไม่ได้ แล้วเราจะรักพระเจ้าที่เรามองไม่เห็นได้หรือ  เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่ฟังไม่ตอบการเรียกหรือความจำเป็นของคน แล้วเราจะฟังหรือตอบการเรียกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เรามองไม่เห็นได้หรือ ยากอบ 1:19 19 ดูก่อน​พี่​น้อง​ที่​รัก​ของ​ข้าพเจ้า จง​ทราบ​ข้อ​นี้ จง​ให้​ทุก​คน​ไว​ใน​การ​ฟัง ช้า​ใน​การ​พูด ช้า​ใน​การ​โกรธ​  พระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวถึงการไวในการฟัง  (ทั้งฟังคน และฟังการสื่อสารที่มาจากพระเจ้าด้วย) ถ้าเรารับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า เราจะพูดอย่างที่พระเจ้าอยากจะพูด ไม่ใช่พูดอย่างที่ใจเราอยากจะพูด และเราจะช้าในการโกรธได้ เพราะเราจะได้รับความเข้าใจจากพระเจ้าก่อน   คนที่โกรธเร็ว มาจากหลายสาเหตุ  บางทีก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีก็เข้าใจผิด หรือบางทีเข้าใจอย่างที่อยากจะเข้าใจ และที่แย่ที่สุดคือไม่ใช่บางที  แต่เป็นอยู่บ่อยๆ ก็คือพวกที่จะไม่ยอมเข้าใจสักอย่าง ใครจะทำไม เรียกว่า ยึดติดอยู่กับอัตตา (ตนเองเป็นที่ตั้ง)  จนไม่ยอมรับการสื่อสารที่มาจากใครเลย แม้แต่ ทูตของพระเจ้ามาอยู่ตรงหน้าก็จะไม่ยอมรับการสื่อสาร อย่างเช่นเรื่องของบาลาอัม เรารู้หรือไม่ว่า บาลาอัมก็เป็นขันทีเหมือนกัน กันดารวิถี32:20-33  20 และ​พระ​เจ้า​เสด็จ​มา​หา​บา​ลา​อัม​ใน​กลางคืน​ตรัส​แก่​เขา​ว่า “ถ้า​มี​ผู้ชาย​มา​เรียก​เจ้า​จง​ลุก​ขึ้น​ไป​กับ​เขา แต่​เจ้า​จง​กระทำ​ตาม​ที่​เรา​สั่ง​เจ้า​เท่านั้น” 21 ดังนั้น​รุ่ง​เช้า​บา​ลา​อัม​ก็​ลุก​ขึ้น​ผูก​อาน​ลา ไป​กับ​เจ้านาย​แห่ง​โม​อับ​22 แต่​พระ​เจ้า​ทรง​กริ้ว​ต่อ​บา​ลา​อัม​เพราะ​เขา​ไป(ได้ยินพระเจ้าสั่ง แต่ทำตรงกันข้าม)  ดังนั้น​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​มา​ยืน​เป็น​ผู้​สกัด​ทาง​บา​ลา​อัม​ไว้  (การสื่อสารจากพระเจ้าเพื่อหยุดบาลาอัม)  ฝ่าย​บา​ลา​อัม​ขี่​ลา​มี​คน​ใช้​สอง​คน​ไป​กับ​เขา​23 เมื่อ​ลา​นั้น​เห็น​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​ถือ​ดาบ​ยืน​อยู่​ใน​หนทาง ลา​ก็​เลี้ยว​ออก​นอก​ทาง เข้า​ไป​ใน​ทุ่ง​นา (ลาไม่เข้าใจ แต่มันกลัวตาย มันเลยเลี้ยวไปทางอื่น) บา​ลา​อัม​จึง​ตี​ลา​ให้​กลับไป​ทาง​เดิม​24 แล้ว​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​มา​ยืน​อยู่​ใน​ทาง​แคบ​ระหว่าง​สวน​องุ่น​มี​กำแพง​ทั้ง​สอง​ข้าง​ทาง​ (ความเป็นลา แก้ปัญหาแบบลา ด้วยการเลี้ยวไปมาจนมาถึงทางที่บังคับให้ ต้องตรงอย่างเดียว) 25 เมื่อ​ลา​เห็น​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​มัน​ก็​ดัน​ไป​ติด​กำแพง (ลาหลังชนฝา) หนีบ​เท้า​ของ​บา​ลา​อัม​เข้า​กับ​กำแพง บา​ลา​อัม​ก็​ตี​ลา​อีก​26 แล้ว​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​ก็​เดิน​ไป​ข้างหน้า ยืน​อยู่​ใน​ที่​แคบ ไม่​มี​ทาง​ที่​จะ​หลีก​ไป​ข้าง​ขวา​หรือ​ข้าง​ซ้าย​27 เมื่อ​ลา​เห็น​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​มัน​ก็​หมอบ​ลง บา​ลา​อัม​ยัง​คง​นั่ง​อยู่​บน​หลัง บา​ลา​อัม​ก็​โกรธ จึง​เอา​ไม้​เท้า​ของ​เขา​ตี​ลา​28 แล้ว​พระ​เจ้า​เปิด​ปาก​ลา มัน​จึง​พูด​กับ​บา​ลา​อัม​ว่า “ข้าพเจ้า​ได้​กระทำ​อะไร​แก่​ท่าน ท่าน​จึง​ได้​ตี​ข้าพเจ้า​ถึง​สาม​ครั้ง”29 บา​ลา​อัม​พูด​กับ​ลา​ว่า “เพราะ​เจ้า​ได้​แกล้ง​เรา เรา​อยากจะ​มี​ดาบ​อยู่​ใน​มือ​เดี๋ยวนี้ เรา​จะ​ได้​ฆ่า​เจ้า​เสีย”(บาลาอัมกำลังพูดกับลาโดยไม่ตระหนักว่า นี่คือเรื่องผิดปกติที่ลาสื่อสารได้) 30 ลา​ก็​พูด​กับ​บา​ลา​อัม​ว่า “ข้าพเจ้า​ไม่ใช่​ลา​ของ​ท่าน ที่​ท่าน​ขับ​ขี่​อยู่​ทุก​วัน​ตลอด​ชีวิต​จน​บัดนี้​ดอก​หรือ ข้าพเจ้า​ได้​เคย​กระทำ​เช่นนี้​แก่​ท่าน​หรือ” บา​ลา​อัม​ก็​บอก​ว่า “ไม่​เคย” (ความโมโหของบาลาอัม ทำให้บาลาอัมมองไม่เห็นการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า สัตว์อย่างลาจึงสื่อสารจากสันชาตญาณการเอาตัวรอด บาลาอัมก็เลยทะเลาะกับลา) 31 แล้ว​พระ​เจ้า​ทรง​เบิก​ตา​บา​ลา​อัม เขา​จึง​เห็น​ทูตสวรรค์​ของ​พระ​เจ้า ถือ​ดาบ​ยืน​อยู่​ใน​หนทาง บา​ลา​อัม​ก็​ก้ม​ศีรษะ​ซบ​หน้า​ลง​กราบ (พระเจ้าต้องเปิดตาบาลาอัมให้มองเห็น) ​32 และ​ทูตสวรรค์​แห่ง​พระ​เจ้า พูด​กับ​บา​ลา​อัม​ว่า “ทำไม​เจ้า​จึง​ตี​ลา​ของ​เจ้า​ถึง​สาม​ครั้ง ดู​เถิด เรา​มา​ห้าม​เจ้า เพราะ​เจ้า​ขัด​ขืน​เรา​(สาเหตุมมาจากการขัดขืนพระเจ้า) 33 ลา​ได้​เห็น​เรา และ​หลีก​ไป​ต่อ​หน้า​เรา​ถึง​สาม​ครั้ง ถ้า​มัน​มิได้​หลีก​ไป​จาก​เรา เรา​จะ​ได้​ฆ่า​เจ้า​เสีย​แล้ว​เมื่อ​ตะ​กี้​นี้​แน่ และ​ให้​ลา​รอด​ตาย​ไป”(บาลาอัมต้องโทษถึงตาย แต่ต้องเป็นหนี้ชีวิตสัตว์อย่างลา เพราะลาได้ช่วยชีวิตของบาลาอัมมิให้ถูกประหาร)  พระเจ้าทรงสื่อสารกับบาลาอัม ว่า ถ้ามีคนสั่งให้ลุกขึ้นและไป ให้บาลาอัมฟังคำสั่งจากพระเจ้าเท่านั้น  แต่บาลาอัมไม่รับการสื่อสารจากพระเจ้าเพราะว่าเงินค่าจ้างมันบังตาบังใจจนหนวกตาบอดมองไม่เห็นและไม่ได้ยินสัญญาณที่พระเจ้าส่งมา แต่ลาที่เป็นสัตว์ใช้งานกลับเห็นและรู้ว่าไปต่อไม่ได้ ลาที่เป็นพาหนะของบาลาอัมสะดุด และสุดท้ายบาลาอัมต้องรับการสื่อสารจากลาและบาลาอัมได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่พระคัมภีร์ใหม่ใช้เพื่อเรียกคนที่ไม่รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า  และหูหนวกตาบอดหลงไปกับค่าจ้างของโลกนี้   เรารู้หรือไม่ว่า บ่อยครั้งพระเจ้าอนุญาตให้ปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นเพื่อเรียกให้เราหันกลับมารับการสื่อสารจากพระเจ้า  หากวันนี้ หนทางที่เรากำลังเดินไปและเกิดปัญหาสะดุด บางทีปัญหาเหล่านั้นอาจกำลังช่วยชีวิตเรา  เพื่อให้เรากลับมาไวต่อการเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า  คุณลักษณะของคนที่รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้าอีกด้านหนึ่งก็คือ

2. ไปอย่างคนที่พรั่งพร้อม (ในข่าวประเสริฐ)  กิจการ 8:30-35

30 ฟีลิ​ปจึง​วิ่ง​เข้า​ไป​ใกล้ และ​ได้​ยิน​ท่าน​อ่าน​หนังสือ​อิสยาห์​ผู้เผย​พระ​วจนะ จึง​ถาม​ว่า “ซึ่ง​ท่าน​อ่าน​นั้น​ท่าน​เข้าใจ​หรือ”31 ขันที​จึง​ตอบ​ว่า “ถ้า​ไม่​มี​ใคร​อธิบาย​ให้ ที่​ไหน​จะ​เข้าใจ​ได้” ท่าน​จึง​เชิญฟีลิ​ปขึ้น​นั่ง​รถ​กับ​ท่าน​32 ​พระ​คัมภีร์​ตอน​ที่​ท่าน​อ่าน​อยู่​นั้น คือ​ข้อ​เหล่า​นี้ เขา​ได้​นำ​ท่าน​เหมือน​อย่าง​นำ​แกะ​ไป​ฆ่า และ​เหมือน​ลูก​แกะ​นิ่ง​อยู่​ต่อ​หน้า​ผู้​ตัด​ขน​ของ​มัน​ฉัน​ใด ท่าน​ไม่​ปริ​ปาก​ของ​ท่าน​เลย​ฉัน​นั้น 33 ​ใน​คราว​ที่​ท่าน​ถูก​เหยียด​ลง​นั้น ท่าน​ไม่ได้​รับ​ความ​ยุติธรรม​เสียเลย ใคร​จะ​เล่า​ถึง​เชื้อ​สาย​ของ​ท่าน​ได้ เพราะ​ว่า​ชีวิต​ของ​ท่าน​ต้อง​ถูก​ตัด​เสีย​จาก​แผ่นดิน​โลก​แล้ว 34 ขันที​จึง​ถาม​ฟีลิป​ว่า “ผู้เผย​พระ​วจนะ​ได้​กล่าว​อย่าง​นั้น​เล็ง​ถึง​ผู้ใด เล็ง​ถึง​ตัว​ท่าน​เอง หรือ​เล็ง​ถึง​ผู้อื่น บอก​ข้าพเจ้า​เถิด”35 ฝ่ายฟีลิ​ปจึง​เริ่ม​เล่า​จับ​ต้น​กล่าว​ตาม​พระ​คัมภีร์​ข้อ​นั้น ชี้แจง​ถึง​ข่าว​ประเสริฐ​เรื่อง​พระ​เยซู อ.เปาโลได้กล่าวถึงชีวิตคริสเตียนต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดซึ่งหมายถึงความพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ของโลกนี้ และหนึ่งในยุทธภัณฑ์ทั้งชุดนั่นก็คือรองเท้า เอเฟซัส6:11-17 11 จง​สวม​ยุทธภัณฑ์​ทั้ง​ชุด​ของ​พระ​เจ้า เพื่อ​จะ​ต่อต้าน​ยุทธ​อุบาย​ของ​พญา​มาร​ได้​12 เพราะ​ว่า​เรา​ไม่ได้​ต่อสู้​กับ​เนื้อ​หนัง​และ​เลือด แต่​ต่อสู้​กับ​เทพ​ผู้​ครอง ศักดิ​เทพ เทพ​ผู้​ครอง​พิภพ​ใน​โมหะ​ความ​มืด​แห่ง​โลก​นี้ ต่อสู้​กับ​เหล่า​วิญญาณ​ที่​ชั่ว​ใน​สถาน​ฟ้า​อากาศ​13 เหตุ​ฉะนั้น​จง​รับ​ยุทธภัณฑ์​ทั้ง​ชุด​ของ​พระ​เจ้า​ไว้ เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ต่อต้าน​ใน​วัน​อัน​ชั่ว​ร้าย​นั้น และ​เมื่อ​เสร็จ​แล้ว​จะ​อยู่​อย่าง​มั่นคง​ได้​ 14 เหตุ​ฉะนั้น​ท่าน​จง​มั่นคง เอา​ความ​จริง​คาด​เอว เอา​ความ​ชอบธรรม​เป็น​ทับ​ทรวง​เครื่อง​ป้องกัน​อก15 และ​เอา​ข่าว​ประเสริฐ​แห่ง​สันติ​สุข ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ให้​เกิด​ความ​พรั่ง​พร้อม​มา​สวม​เป็น​รองเท้า16 และ​พร้อม​กับ​สิ่ง​ทั้งหมด​นี้ จง​เอา​ความ​เชื่อ​เป็น​โล่ ด้วย​โล่​นั้น​ท่าน​จะ​ได้​ดับ​ลูกศร​เพลิง​ของ​พญา​มาร​เสีย​17 จง​เอา​ความ​รอด​เป็น​หมวก​เหล็ก​ป้องกัน​ศีรษะ และ​จง​ถือ​พระ​แสง​ของ​พระ​วิญญาณ คือ ​พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า​  เราจะเห็นว่า ข่าวประเสริฐได้ถูกเปรียบเทียบเหมือนกับรองเท้า หากเรารับการสื่อสารจากพระเจ้า เมื่อพระองค์สั่งให้เราลุกขึ้นและไป เราต้องสำรวจตัวเองว่า เรามีความพร้อมเรื่องข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์หรือไม่  อย่างฟิลิปพร้อมที่จะตอบความไม่เข้าใจของขันที และพร้อมที่จะอธิบายพระคัมภีร์อิสยาห์ตอนนี้ เข้าใจว่า ฟิลิปต้องฟังเรื่องนี้มาจากผู้นำ (อัครทูต) ที่ได้สอนพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพราะอัครทูตได้มอบหมายงานแจกทานให้กับมัคนายก เพื่อจะทำหน้าที่อธิษฐานและสอนพระวจนะ แต่พวกมัคนายก หรือทีมที่ร่วมรับใช้ก็ต้องเรียนพระวจนะด้วย และนี่คือความพร้อมของฟิลิปในการตอบโจทย์ให้กับขันทีชาวเอธิโอเปีย เป็นการวิ่งไปพร้อมกับรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ แต่น่าเสียดายที่มีคริสเตียนไม่น้อยในยุคนี้ ที่ไม่วิ่ง ไม่ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ยังเดินเท้าเปล่า ไม่พร้อมที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ (ตัวเองเข้าใจว่าตัวเองเข้าใจแต่ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้) ….อย่างนี้เรียกว่า ไปอย่างคนไม่พร้อม (ในข่าวประเสริฐ)  สุดท้าย..

3. เป็นทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์  กิจการ 8:36-40

36 ครั้น​กำลัง​เดินทาง​ไป​ก็​มาถึง​ที่​มี​น้ำ​แห่ง​หนึ่ง ขันที​จึง​บอก​ว่า “นี่​แน่ะ มี​น้ำ มี​อะไร​ขัดข้อง​ไม่ให้​ข้าพเจ้า​รับ​บัพติศมา”37 และฟีลิ​ปจึง​ตอบ​ว่า “ถ้า​ท่าน​เต็ม​ใจ​เชื่อ​ท่าน​ก็​รับ​ได้” และ​ขันที​จึง​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​เชื่อ​ว่า ​พระ​เยซู​คริสต์​ทรง​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า”38 แล้ว​ท่าน​จึง​สั่ง​ให้​หยุด​รถ และ​คน​ทั้ง​สอง​ลง​ไป​ใน​น้ำ​ทั้ง​ฟีลิป​กับ​ขันที ​ฟีลิป​ก็​ให้​ท่าน​รับ​บัพติศมา​39 เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​สอง​ขึ้น​จาก​น้ำ​แล้ว ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​รับ​ฟีลิป​ไป​เสีย และ​ขันที​นั้น​ไม่ได้​เห็น​ท่าน​อีก จึง​เดินทาง​ต่อไป​ด้วย​ความ​พอใจ​40 แต่​มี​ผู้​พบ​ฟีลิป​ที่​เมือง​อา​โซทัส และ​เมื่อ​เดินทาง​มา ท่าน​ได้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ​ใน​ทุก​เมือง​ จน​ท่าน​มาถึง​เมือง​ซีซารียา  ฟิลิปทำบทบาทเป็นทูตของพระเจ้าที่นำการสื่อสารจากพระเจ้าไปสู่ขันทีชาวเอธิโอเปีย เมื่อนำรับเชื่อ ให้รับบัพติศมา ขันทีชาวเอธิโอเปีย ได้ยอมรับว่า “ข้าพเจ้า​เชื่อ​ว่า ​พระ​เยซู​คริสต์​ทรง​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า”โรม 10:9-10 9 คือ​ว่า​ถ้า​ท่าน​จะ​รับ​ด้วย​ปาก​ของ​ท่าน​ว่า ​พระ​เยซู​ทรง​เป็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​เชื่อ​ใน​จิตใจ​ว่า ​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ชุบ​พระ​องค์​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย ท่าน​จะ​รอด​10 ด้วย​ว่า ความ​เชื่อ​ด้วย​ใจ​ก็​นำไปสู่​ความ​ชอบธรรม และ​การ​ยอมรับ​สัจจะ​ของ​พระ​เจ้า​ด้วย​ปาก​ก็​นำไปสู่​ความ​รอด​ ขันทีชาวเอธิโอเปียได้รับความรอด นั่นคือพระเจ้าไม่ทรงถือโทษอีกต่อไป โรม 5:19-20 19 คือ​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​โลก​นี้​คืน​ดี​กัน​กับ​พระ​องค์​โดย​พระ​คริสต์​ มิได้​ทรง​ถือ​โทษ​ใน​การ​ผิด​ของ​เขา และ​ทรง​มอบ​เรื่อง​การ​คืน​ดี​กัน​นั้น​ให้​เรา​ประกาศ​20 ฉะนั้น​เรา​จึง​เป็น​ทูต​ของ​พระ​คริสต์​ โดย​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ขอร้อง​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ทาง​เรา เรา​จึง​ขอร้อง​ท่าน​ใน​นาม​ของ​พระ​คริสต์​ให้​คืน​ดี​กัน​กับ​พระ​เจ้า​   ดังนั้น ฟิลิปจึงกลายเป็นทูตของพระคริสต์ เป็นทูตแห่งการคืนดี นำให้คนคืนดีกับพระเจ้า  บทเรียนนี้สอนเราว่า เราไม่สามารถเป็นทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์ได้ หากเราไม่รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า หากเรายังปล่อยให้จิตใจของเราปิด อุดหูไม่ฟังการเปิดเผยที่มาจากพระเจ้า และยังไม่รู้สึกรู้สาว่าพระเจ้ากำลังเตือน กำลังเรียกเราให้ออกไปหาคนที่กำลังต้องการคำอธิบาย และคนเหล่านั้นกำลังจมอยู่กับความทุกข์ด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา คำตอบชีวิตอยู่ที่ไหน ทั้งหมดนี้ พระเจ้ากำลังรอคอยให้คริสเตียนทุกคนเป็นทูตของพระองค์ไปสู่คนมากมายรอบข้างเรา ทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนที่อยู่ติดกับกำแพงโบสถ์ ห่างกับเราแค่รั้วกั้นเท่านั้น ถ้าเราไม่สนใจคนที่อยู่ติดกับเรา การไปสนใจคนที่อยู่ห่างไกลเราออกไปก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งเท่านั้น  สิ่งที่เกิดขึ้นกับขันทีชาวเอธิโอเปียคือเขาเดินทางกลับบ้านด้วยความพอใจ (ยินดี) ซึ่งก่อนหน้านั้น แม้พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึก แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ขันทีเสร็จภารกิจการมานมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็มแบบยังไปไม่ถึงพระเจ้า แต่ทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์สามารถนำคนไปถึงพระเจ้าได้ และฟิลิปได้ทำภารกิจตามการสื่อสารของพระเจ้าอย่างครบถ้วน โดยการนำขันทีชาวเอธิโอเปียไปถึงพระเจ้า  ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร  ขอให้สิ่งที่เราทำจบลงที่การนำให้คนไปถึงพระเจ้า (คืนดีกันกับพระเจ้า)ให้ได้  เมื่อฟิลิปจบภารกิจ พระวิญญาณบริสุทธิ์รับฟิลิปไปเลย เรียกว่า ฟิลิปไม่เคยว่างเว้นจากการเดินทางแล้วก็เดินทาง เพราะฟิลิปสวมรองเท้าวิเศษ คือรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ  พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​รับ​ฟีลิป​ไป​เสีย….40 แต่​มี​ผู้​พบ​ฟีลิป​ที่​เมือง​อา​โซทัส และ​เมื่อ​เดินทาง​มา ท่าน​ได้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ​ใน​ทุก​เมือง​ จน​ท่าน​มาถึง​เมือง​ซีซารียา  ฟิลิปสวมข่าวประเสริฐเป็นรองเท้าตลอดเวลานี่เอง คือ เท้าของทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์ ช่างงามจริงหนอ ผู้รับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า เขากลายเป็นผู้สื่อสารที่คนมากมายกำลังรอคอย อิสยาห์ 52:7-8  7 เท้า​ของ​ผู้นำ​ข่าว​ดี​มา ​ก็​งาม​สัก​เท่าใด​ที่​บน​ภูเขา ผู้​โฆษณา​สันติภาพ ผู้นำ​ข่าว​ดี​ของ​เรื่อง​ดี ผู้​โฆษณา​ความ​รอด ผู้​กล่าว​แก่ศิ​โยน​ว่า “​พระ​เจ้า​ของ​เจ้า​ทรง​ครอบ​ครอง” 8 ฟัง​ซี พวก​ยาม​ของ​เจ้า​เปล่ง​เสียง เขา​ร้อง​เพลง​กัน​ด้วย​ความ​ชื่น​บาน เพราะ​เขา​ได้​เห็น​กับ​ตา ที่​พระ​เจ้า​ทรง​กลับ​ยัง​ศิ​โยน คนยิวฟังพระคำตอนนี้จะเข้าใจบรรยากาศของสงครามที่คนสื่อสารจะวิ่งข้ามภูเขามาแต่ไกล คนยามที่อยู่บนกำแพงเมืองจะส่งเสียงร้องยินดี ว่าผู้สื่อสารนำข่าวดีมา แสดงว่า สงครามนี้จบลงแล้ว รอดแล้ว สงบแล้ว การคืนดีกับพระเจ้าเกิดขึ้น คือการยอมให้พระเจ้าทรงครอบครองใจของตนเอง  เราคือคนที่นำความยินดีไปสู่คน ไม่ใช่ทำให้คนโกรธ ไม่พอใจ กับการประกาศข่าวดี  เราต้องกลับมาวิเคราะห์ว่า ทำไมเขาไม่รับข่าวที่เราประกาศเป็นข่าวดี  สุภาษิต13:17 17 ผู้​สื่อสาร​ไม่​ดี​ก็​เอา​คน​จุ่ม​ลง​ไป​ใน​ความ​ลำบาก แต่​ทูต​ที่​ซื่อสัตย์​นำ​การ​รักษา​มา​ให้

“จงรับการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า”

1.ไวต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์

2.ไปอย่างคนที่พรั่งพร้อม (ในข่าวประเสริฐ)

3.เป็นทูตแห่งการคืนดีของพระคริสต์

 

By admin