“ชีวิตที่เกิดผล…ไว้วางใจ…ไว้ใจได้”
บทเรียนเรื่องบำบัดภายในสอนเรื่องความไว้วางใจแรก (Basic Trust) จะเกิดขึ้นในช่วงวัย 0-2ปี ถ้าความไว้วางใจแรกถูกทำลายไป เหมือนอิฐก้อนแรกร้าว อิฐก้อนต่อๆไปที่จะมาก่อร่างสร้างชีวิตของเด็กคนนั้นก็จะร้าวตามไปด้วยในแต่ละวัย นี่คือเหตุผลที่เวลาบำบัดส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับวัยเด็ก เพื่อที่จะหารากของปัญหาที่ทำให้ชีวิตออกผลที่ขมขื่นในปัจจุบันเพราะว่า ชีวิตที่ขมขื่นไม่สามารถออกผลที่หวานได้ พระเยซูคริสต์เจ้าได้ตรัสเรื่องนี้ มัทธิว 12:33 33 “พึงกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งว่าต้นดีผลก็ดี หรือต้นเลวผลก็เลวด้วย เราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน รากศัพท์ของคำว่า ผลดี แปลว่า สวยงาม ดี มีคุณค่า ศีลธรรมสะอาด ส่วนคำว่า ผลเลว แปลว่า เน่าเปื่อย ไร้ค่า อ.เปาโลได้ใช้คำเรียกผลชีวิตของคนที่เกิดผลตรงกันข้ามกันด้วยสองคำคือคำว่า กลิ่นหอม และกลิ่นแห่งความตาย 2โครินธ์ 2:16 16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต…. อะไรที่ตายมักจะเน่าและส่งกลิ่นเหม็น แต่สิ่งที่ยังมีชีวิต จะไม่เน่า ไม่ส่งกลิ่น ความตรงกันข้ามระหว่างผลดีกับผลเลว อยู่ที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิต (ตาย) ความขมขื่นของชีวิตตรงกันข้ามกับความหวาน ความขมขื่นเป็นพิษทำให้ตาย ทำให้เน่าเสีย และส่งกลิ่น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดการกับรากของความขมขื่นที่มาของความไว้วางใจที่ได้แตกร้าวไปในอดีต ทำให้ผลชีวิตที่ออกมาทั้งขมขื่นและกลัวที่จะไว้วางใจคน มีคำพูดหนึ่งเกี่ยวกับความไว้วางใจว่า เมื่อใดที่เราวางใจผู้อื่น ผู้อื่นก็จะวางใจเรา ไม่เพียงแค่สร้างความวางใจ แต่จะเป็นการเพิ่มพูนความวางใจ และความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามนุษย์เรามีความดีงามพอจะรับความวางใจได้ อยากได้รับความวางใจ และพร้อมจะครองตัวด้วยความวางใจที่ได้รับมา บทเรียนสำหรับเราในวันนี้เป็นเรื่องของความไว้วางใจ และความไว้ใจได้ ซึ่งสองสิ่งนี้มีเกี่ยวข้องกัน และตัวอย่างในพระคัมภีร์กิจการซีรี่ส์นี้ปรากฏใน กิจการ 9:10-19 10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในตึกของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่12 และเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ ในกรุงเยรูซาเล็มมาก14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกมหาปุโรหิต ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่อธิษฐานออกพระนามของพระองค์”15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา”17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์”18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกว่าในเมืองดามัสกัสมีศิษย์พระเยซูคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เขาได้รับนิมิตเป็นการสื่อสารกับพระเจ้า มีการโต้ตอบกันระหว่างพระเจ้ากับอานาเนีย 10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”พระเจ้าทรงเรียกชื่ออานาเนีย แสดงถึงความคุ้นเคยระหว่างอานาเนียกับพระเจ้า อานาเนียน่าจะมีประสบการณ์การได้ยินเสียงของพระเจ้า ดังนั้น อานาเนียจึงขานรับต่อการเรียกของพระเจ้า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”การขานรับนี้คล้ายกับการขานรับของบุคคลในพระคัมภีร์เดิมคนหนึ่ง ชื่อ ซามูเอล แต่เวลานั้นซามูเอลยังเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่าเป็นเสียงของพระเจ้าที่เรียกเขา จนเอลีต้องแนะนำซามูเอลว่า ถ้าได้ยินการเรียกนั้นอีกก็จงขานรับดังว่าเป็นเสียงที่มาจากพระเจ้า และซามูเอลก็ทำตามคำแนะนำของเอลี ปรากฏว่า เป็นเสียงเรียกจากพระเจ้าจริงๆ แต่สำหรับอานาเนีย คือประสบการณ์ของตัวเขากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น เขาจึงขานรับได้อย่างทันที อย่างคนคุ้นเคยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างดี ขอให้เราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ จงฝึกและใช้เวลาที่จะฟังเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา พระองค์จะพูดกับเรา จงจัดเวลาที่จะเฝ้าเดี่ยว รอคอยพระเจ้าในเวลาที่เงียบสงบ จะเป็นเช้าสายบ่ายค่ำได้ทั้งนั้น เมื่ออานาเนียขานรับพระเจ้า บทสนทนาก็ต่อเนื่องทันที 11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในตึกของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่12 และเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”อยากให้เราสังเกตตรงนี้ว่า ข่าวสารที่พระเจ้าส่งมาให้อานาเนียทันทีเมื่ออานาเนียขานรับ นั่นหมายความว่า การขานรับ คือการแสดงออกว่า เรารู้ตัวเองว่ากำลังสื่อสารกับใคร พระเจ้าจะไม่ส่งข่าวสารให้กับคนที่ไม่รู้ว่า เขากำลังสื่อสารกับใคร โดยเฉพาะกับพระเจ้า มีคริสเตียนไม่น้อยที่ดำเนินชีวิตคริสเตียนแบบไม่เคยขานรับพระเจ้า มีแต่เรียกหาพระเจ้า และก็ไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน คริสเตียนจำพวกนี้มักจะอ่อนแรง เหนื่อยล้า และแก่เร็ว (เพื่อนผู้รับใช้ของข้าพเจ้าบอก) อิสยาห์ 40:31 31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย เพื่อนข้าพเจ้าตีความตอนนี้ว่า ถ้าเรารอคอยพระเจ้า เขาจะไม่รู้จักแก่ แต่ข้าพเจ้าตีความว่า การรอคอยพระเจ้าตอนนี้สำหรับคนแก่จะเปลี่ยนมาเป็นคนหนุ่ม แต่พี่น้องจะเลือกแบบไหนก็ได้นะ คนหนุ่มสาวที่ไม่อยากแก่ และคนแก่ที่อยากกลับไปหนุ่มสาวอีก น่าจะใช้ได้ทั้งหมด แต่ความหมายของการรอคอยพระเจ้าที่สำคัญ คือ การรับการสื่อสารจากพระเจ้า เพื่อจะขานรับพระเจ้าว่า พระองค์จะส่งข่าวอะไรให้เรา เหมือนกับชีวิตของอานาเนียที่รอคอยพระเจ้า คือความวางใจที่มีในพระเจ้าตลอดเวลา ทำให้อานาเนียกลายเป็นคนที่พระเจ้าไว้ใจได้ที่จะใช้ให้ไปทำงานสำคัญ อ.เปาโลได้กล่าวในภายหลังเรื่องการใช้การได้อย่างนี้ว่า โรม 5:2-4 2 โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า3 ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน4 และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้…. ความอดทนคือปัจจัยหนึ่งในเรื่องการรอคอยพระเจ้า คาดว่า อานาเนียน่าจะอยู่ในท่าทีที่รอคอยที่จะฟังเสียงของพระเจ้า จากข้อ 11จึงบรรยายถึงคำที่พระเจ้าสั่งให้อานาเนียลุกขึ้น….คือเลิกรอคอยได้แล้ว แต่จงรับข่าวสารและไปตามที่กำหนดโดยพระเจ้า 11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในตึกของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่12 และเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”การสื่อสารของพระเจ้าชัดเจนมาก มีเส้นทาง มีชื่อถนน ให้ไปถามหาชื่อเซาโล ชาวเมืองทาร์ซัส ป้องกันการผิดตัว มีสถานที่ มีชื่อเจ้าของสถานที่ คือยูดาส พระเจ้าได้ทำให้เซาโลรับนิมิตเป็นภาพ แต่พระองค์ไม่สื่อสารแบบอานาเนีย เซาโลกำลังอธิษฐาน แสดงว่า เซาโลเวลานั้น กลับใจใหม่แล้ว เลิกข่มเหงคริสเตียนแล้ว แต่กำลังรอคอยพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน นี่เป็นท่าทีของความไว้วางใจที่เกิดขึ้นกับเซาโล พระเจ้าจึงให้เซาโลเห็นนิมิตของอานาเนียที่จะมาทำให้ตาของเซาโลที่มืดบอดสว่างอีกครั้งหนึ่ง ถ้าพี่น้องที่นี่กำลังรู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเดินหน้าต่อไปยังไงดี กำลังหยุดชะงักกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์บางอย่าง คำแนะนำ คือ จงรอคอยพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน จงนิ่งสงบต่อหน้าพระเจ้า วางภาระหนัก ความคิดที่ว้าวุ่นทั้งหลายลง ตั้งสติ มีสมาธิ จดจ่อในการรอคอยพระเจ้า เป็นท่าทีไว้วางใจพระเจ้า อิสยาห์ 59:1 1 ดูเถิด พระหัตถ์ของพระเจ้ามิได้สั้นลง ที่จะช่วยให้รอดไม่ได้ หรือพระกรรณตึง ซึ่งจะไม่ทรงได้ยิน บ่อยครั้งที่คริสเตียนจะมีท่าทีราวกับว่า พระเจ้าไม่สามารถช่วยได้ พระเจ้าไม่สามารถได้ยินความต้องการหรือความทุกข์ใจของเรา แต่ความจริงพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงต่อในอิสยาห์ 59:2 2 แต่ว่าความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยก ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระเจ้า แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ตัวเราต่างหาก ทำให้คำอธิษฐานของเราไปไม่ถึงพระเจ้า เซาโลได้รับการสื่อสารจากพระเจ้าเป็นนิมิต ยังไม่ใช่บทสนทนากับพระเจ้า เพราะเขาเพิ่งเป็นคริสเตียนใหม่ ยังไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลังจากตาของเซาโลจะกลับมาสว่างอีกครั้งหนึ่ง ขอให้เราทั้งหลายจงรอคอยพระเจ้า แล้วเราจะได้เห็นความสว่าง เห็นการช่วยกู้ที่มาจากพระเจ้า ความจริงพระเยซูได้บอกกับเซาโลแล้วว่า 6 แต่เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้”เป็นความหวังที่เซาโลจำต้องเชื่อฟังไปในทิศทางที่พระเยซูทรงกำหนด พระเยซูได้จัดเตรียมทางออกไว้สำหรับเซาโลแล้ว ในขณะเดียวกัน สามวันที่ตาบอดคือประสบการณ์การรอคอยพระเจ้าอย่างเดียว และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้”จะมีการสื่อสารมาจากพระเจ้า ผ่านคนที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ดังนั้นให้รอคอย และรอคอย อย่ากระวนกระวาย อย่ากระเสือกกระสนด้วยวิธีของตนเอง เพราะจะไม่ได้รับคำตอบ หรืออาจจะแย่กว่าเดิม “ชีวิตที่เกิดผล…ไว้วางใจ…ไว้ใจได้” ยังต้องเจอกับการทดสอบความไว้วางใจในพระเจ้าเมื่อข้อมูลเก่ายังอยู่ในสมอง 13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ ในกรุงเยรูซาเล็มมาก14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกมหาปุโรหิต ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่อธิษฐานออกพระนามของพระองค์”นี่เป็นข้อมูลเก่าที่ยังอยู่ในสมองของอานาเนีย เช่นเดียวกัน พวกเราส่วนใหญ่มักจะดำเนินชีวิตตามข้อมูลเก่าๆ ประสบการณ์เก่า (ที่ล้มเหลว ที่ผิดพลาด ที่กลัว ไม่กล้า เข็ด) ไม่ได้อัพเดตข้อมูลใหม่ เรารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าของเราทันสมัยเสมอ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความทันสมัยของพระเจ้าอย่างนี้ว่าอิสยาห์ 43:18-19 18 ตรัสดังนี้ว่า “อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน 19 ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดาร และแม่น้ำในที่แห้งแล้ง แปลความว่า อย่าอยู่กับข้อมูลเก่าๆที่บอกเราไว้ว่า ที่แห้งแล้งก็จะแห้งแล้งตลอดไป ที่กันดารไม่มีทางไปก็จะจนหนทางตลอดไป เพราะว่า พระเจ้าจะเป็นผู้ทำ ผู้เปลี่ยน และนำสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสกับอานาเนีย และทรงตรัสกับเราทั้งหลายในวันนี้ด้วย 15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา” พระเจ้ากำลังบอกกับอานาเนียว่า พระองค์ได้เปลี่ยนเซาโลจากอุปสรรคให้กลายเป็นอุปกรณ์แล้ว พระเจ้าก็จะทรงเปลี่ยนชีวิตของเราทั้งหลายในวันนี้ด้วย จากอุปสรรคให้กลายเป็นอุปกรณ์ พระองค์จะทรงทำให้ทางที่จนมุมนั้นทะลุทะลวงออกไปได้ พระองค์จะทำให้ความยากจนกลายเป็นความมั่งมี พระองค์จะทรงทำให้ความอ่อนแอกลายเป็นความเข้มแข็ง หนังสือเรื่อง ชีวิตออร์แกนิค หัวข้อสุดท้ายได้พูดถึง เรื่องความคิดแบบคนขัดสน กับความคิดแบบอุดมสมบูรณ์ คนที่คิดขัดสน จะกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มี แต่คนที่คิดแบบอุดมสมบูรณ์ จะคิดว่า พรุ่งนี้จะมีเสมอ วิถีชีวิตของคนสองแบบนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนที่คิดแบบขัดสนจะอยู่ด้วยความไม่วางใจ แต่คนที่คิดแบบอุดมสมบูรณ์ จะอยู่อย่างไว้วางใจ คริสเตียนควรเป็นคนที่คิดอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะเราไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้ายะโฮวายิเรห์ พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม ชีวิตที่เกิดผล…ไว้วางใจ…ไว้ใจได้ จะเป็นอย่างพระธรรมสดุดี 1:3 3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น แม้อานาเนียจะมีความขี้ขลาดบ้างด้วยการแสดงออกเป็นคำพูดเพื่อโต้แย้งกับพระเจ้า แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นต้นไม้ที่เกิดผลตามฤดูกาล… ให้แนวทางกับเราดังนี้
1.คนที่ไว้วางใจพระเจ้า…เป็นคนที่พระเจ้าและคนอื่นไว้ใจได้ กิจการ 9:17
17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์”
เราเคยมีปัญหาเรื่องความไว้วางใจหรือไม่ ในบทเรียนเรื่องความเร็วแห่งความไว้วางใจ คนจะลังเลใจหรือจะไว้ใจทันที เกิดจากความคุ้นเคยและการได้รู้จักว่าคนๆนั้น ไว้ใจได้หรือไม่ได้ มีแม่พิมพ์ความวางใจ ที่ประกอบไปด้วยสี่ส่วน
ส่วนแรกเรียกว่า ไว้ใจอย่างงมงาย (โดนหลอก) เรียกว่า Blind Trust (ไว้ใจสูง วิเคราะห์ต่ำ)
ส่วนที่สองเรียกว่า ไว้ใจอย่างชาญฉลาด (มีดุลยพินิต) เรียกว่า Smart Trust (ไว้ใจสูง วิเคราะห์สูง)
ส่วนที่สามเรียกว่า ไม่มีความไว้วางใจ (ลังเล) เรียกว่า No Trust (ไว้ใจต่ำ วิเคราะห์ต่ำ)
ส่วนที่สี่เรียกว่า ความไม่ไว้วางใจ (ระแวง) เรียกว่า Distrust (ไว้ใจต่ำ วิเคราะห์สูง)
คำถามคือว่า ความไว้ใจของพระเจ้าที่มีต่อคุณเป็นแบบไหน คำถามต่อไปคือ แล้วความไว้ใจของคนอื่นมีต่อตัวคุณเป็นแบบไหน ทั้งพระเจ้าและคนรอบตัวมีความไว้ใจคุณไปในทางเดียวกันหรือขัดแย้งกันอยู่ อานาเนียได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนที่พระเจ้าใช้การได้ ด้วยการไว้วางใจพระเจ้าก่อน เขาจึงไปตามที่พระเจ้าให้เขาไป และอานาเนียได้รับความไว้ใจจากเซาโลให้วางมืออธิษฐานให้ ซึ่งความขี้ขลาดของอานาเนียได้ถูกทำให้ด้อยลงด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า และความขี้ขลาดยิ่งหายไปเมื่อได้พบว่า ที่บ้านของยูดาส บนถนนตรง เซาโลอยู่ที่นั่นตรงกับ ข้อมูลใหม่ที่เขารับจากพระเจ้า ข้อมูลใหม่เริ่มเกิดขึ้นเป็นจริง ชีวิตที่เกิดผลในอานาเนียเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ออกผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ คนที่ไว้วางใจพระเจ้า…เป็นคนที่พระเจ้าและคนอื่นไว้ใจได้ พระเจ้าได้ทำให้อานาเนียกลายเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคนแปลกหน้า เหมือนกับที่เซาโลไว้วางใจคนแปลกหน้าอย่างอานาเนีย เราเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคนแปลกหน้าหรือไม่ หรือเรากลายเป็นคนแปลกหน้าเองในบ้านของเรา เรากลายเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ เพราะเราไม่ไว้ใจใครเลย บทเรียนเรื่องความไว้วางใจในหนังสือกิจการยังพาเราไปเมื่ออาเนียเรียกเซาโลว่า “พี่เซาโลเอ๋ย คือความรู้สึกของความเป็นพี่น้องในพระคริสต์ อานาเนียสัมผัสลึกๆได้ว่า เซาโลเป็นคริสเตียนจริงๆ กลับใจใหม่จริง อานาเนียไม่กลัวเซาโลอย่างข้อมูลเก่าๆที่ได้รับมาก่อนหน้านั้น นี่คือภาพที่ไว้ใจได้ของคริสเตียนอย่างเซาโลที่เคยข่มเหงคริสเตียนอย่างหนัก อานาเนียซึ่งเป็นคริสเตียนในยุคนั้น มีความชัดเจนถึงของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์สำหรับคนที่พระเจ้าจะใช้ได้ ดังนั้น อานาเนียพูดกับเซาโลจากประสบการณ์ของเขา ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช้ข้อมูลที่ใช้ไม่ได้ และนี่คือประเด็นสำคัญ ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์” อานาเนียเต็มไปด้วยความมั่นใจในการทรงใช้ของพระเจ้าที่มีต่อตัวอานาเนียเอง ณ เวลานี้ เรากล้าจะพูดกับคนตาบอดบางคนหรือไม่ว่า เราจะทำให้เขามองเห็นได้อีกไม๊? แต่ที่นี่ อานาเนียเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่เพราะเขากำลังใช้ความเชื่อ แต่เขาได้รับการสื่อสารมาจากพระเจ้าแล้ว และการเดินไปตามกำหนดที่พระเจ้ามอบหมายให้ ทำให้อานาเนียได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้าให้ทำภารกิจนี้แทนพระองค์โดยการอธิษฐานวางมือให้เซาโลมองเห็นได้อีก บ่อยครั้งเรามักสับสนกับการใช้ความเชื่อ โดยเราไม่ทำอะไรเลย เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร เพราะเราไม่ได้รอคอยที่จะรับการสื่อสารจากพระเจ้า เราจึงเป็นง่อย ช่วยใครไม่ได้สักคน อานาเนียมีความชัดเจนจากประสบการณ์ที่พระเจ้าใช้เขา และเวลานี้ เขากำลังเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่จะส่งต่อ (Impartation) ชีวิตที่ใช้การได้ไปสู่เซาโล โดยการนำเซาโลไปสู่การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้เราจะเห็นว่า ก่อนหน้านี้ฟิลิป นักประกาศให้คนเป็นคริสเตียน แต่คนที่วางมืออธิษฐานให้คริสเตียนเวลานั้นรับพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออัครทูต แต่ที่นี่ อานาเนียไม่ได้เป็นคนหนึ่งคนใดใหนอัครทูตเลย แต่กิจการตอนนี้บอกให้เรารู้ว่า การวางมือให้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในวงแคบอีกต่อไป แต่ได้ขยายออกไปผ่านคนที่พระเจ้าใช้การได้ อย่างอานาเนีย เป้าหมายของการมองเห็นของเซาโลครั้งนี้ ก็เพื่อจะเกิดผลโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ทำให้เขาเกิดผล ไม่ใช่ความสามารถของเซาโลอีกต่อไป เซาโลจะถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งตรงกันข้ามกับเนื้อหนังของเซาโลเดิม ชีวิตเก่าของเซาโลไม่สามารถทำให้เซาโลเป็นเครื่องมือใช้การได้สำหรับพระเจ้า แต่พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนเซาโลใหม่ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับสาวกก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไปบนฟ้าว่า กิจการ 1:8 8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสให้เหตุผลกับอานาเนียว่า พระองค์จะใช้เซาโลออกไปเป็นพยานเพื่อพระองค์ 15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา”อานาเนียจึงพูดกับเซาโลว่า ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์” หากเราต้องการแสงสว่างของพระเจ้าเพื่อทำให้เรามองเห็นทางออกของชีวิต ก็จงรู้เถิดว่า พระเจ้าต้องการให้เรามองเห็นได้ ก็เพื่อเราจะเป็นพยานในความสว่างที่ทำให้เรามองเห็นความจริงที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และคำตอบและการช่วยกู้ต่างๆที่มาถึงเรา เป็นเพียงผลพลอยได้จากการสื่อสารกับพระเจ้า แต่แท้ที่จริงคือการที่ให้เราออกไปเป็นพยานของพระคริสต์ว่า พระองค์ทำอะไรเพื่อเรา เราจึงไว้วางใจพระองค์ และจากจุดนี้ เมื่อเราตอบสนอ ง เราจะเป็นคนที่ไว้ใจได้สำหรับพระเจ้า และคนอื่นๆด้วย
2.เมื่อตาสว่าง…ก็จะรู้ว่าควรทำอะไร กิจการ 9:18-19
18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น ชีวิตที่เกิดผลของอานาเนีย ทำให้เซาโลหายจากอาการตาบอด นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ เช่นเดียวกัน คริสเตียน เราต้องมีชีวิตที่เกิดผลในมุมที่ทำให้คนที่กำลังสะเปะสะปะ คลำหาหนทาง ได้หายจากอาการตาบอดคลำทาง แต่ได้เห็นความจริง หลังจากอานาเนียได้วางมือเซาโล ผลที่เกิดคือ เซาโลมองเห็นได้อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการมองเห็นด้วยความรู้สึกใหม่ ไม่ได้เต็มด้วยความโกรธ หรือความกลัวอีกต่อไป การตอบสนองของเซาโลด้วยการรับบัพติศมา คือการแสดงความเชื่อศรัทธาในพระเยซู และรู้ว่า เขาควรอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ชีวิตมีความหมายยิ่งกว่าเดิม เซาโลตระหนักว่า พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นของจริง มีอยู่จริง เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ของจริง การรับบัพติศมาในน้ำ เกิดขึ้น ด้วยความตั้งใจเดินในหนทางใหม่ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อเขา ทำให้เซาโลกินข้าวลง มีกำลังวังชากลับคืนมา ในระหว่างที่เซาโลตาบอดสามวัน กินข้าวไม่ลง เหมือนคนไม่มีความหวัง กำลังเรี่ยวแรงก็อ่อนไป แต่เมื่อตาสว่าง….ทำให้รู้ว่าควรทำอะไร คือการดูแลตัวเอง และจัดการกับเป้าหมายใหม่ของชีวิต คำว่า บัพติศมาในน้ำในยุคนั้น ใช้เรียกคนที่รับบัพติศมาว่า การทำให้ส่องสว่าง (Illumination) และอีกคำคือ คนที่รู้แจ้ง (ตรัสรู้) The enlightened one นี่คือบันทึกในกิจการที่กำลังบอกเราว่า ทำไมจดหมายฝาก จดหมายติดคคุก หนังสือพระคัมภีร์ต่างๆส่วนใหญ่มาจากการเขียนของอ.เปาโล (เซาโล) แม้กระทั่งเปโตรก็ยังเขียนถึงอ.เปาโลอย่างนี้ว่า 2เปโตร 3:15-18 ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่เขานั้น6 ในจดหมายทุกฉบับของเขาก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไว้แล้ว ในจดหมายเหล่านั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการ และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือนข้อความเสีย เหมือนอย่างที่เขาได้บิดเบือนข้ออื่นๆ ในพระคัมภีร์ อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ17 เพราะเหตุนั้น ดูก่อนพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี ท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่วเหล่านั้น และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน18 แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน ความหมายของอัครทูตเปโตรตอนนี้กำลังบอกกับคริสเตียนทั้งหลายว่า จงอย่าเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้ คือตาบอด เพราะนอกจากจะไม่เข้าใจสิ่งที่คนตาสว่าง (อ.เปาโล) กล่าวถึงแล้ว ยังบิดเบือนความจริงเหล่านี้ และทำผิดเหมือนอย่างคนตาบอดทำ และจะทำให้สูญเสียความหนักแน่นมั่นคงไป อัครทูตเปโตรเตือนด้วยคำว่า ท่านก็จงระวังให้ดี ท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่วเหล่านั้น ในทางกลับกัน ได้แนะนำว่า18 แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์ นั่นคือความหมายของคำว่า จงไปให้ถึง ตาสว่าง…. ก็จะรู้ว่าควรทำอะไร ที่นำไปสู่ชีวิตที่เกิดผล…ไว้วางใจ…ไว้ใจได้ อาเมน
“ชีวิตที่เกิดผล…ไว้วางใจ…ไว้ใจได้”
1.คนที่ไว้วางใจพระเจ้า…เป็นคนที่พระเจ้าและคนอื่นไว้ใจได้
2.เมื่อตาสว่าง…ก็จะรู้ว่าควรทำอะไร