“ของขวัญ” 

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับทุกสิ่ง นี่เป็นอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน เหลือเวลาอีก 1 เดือนก็จะหมดปี  ใกล้ถึงวันที่เราจะเฉลิมฉลองคริสต์มาส วันสิ้นปี วันปีใหม่    เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอีกช่วง เป็นช่วงเวลาที่เราจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเฉลิมฉลอง ไปตามห้าง ตามสถานที่ต่าง ๆ ทุกที่ก็จะตกแต่งอย่างสวยงามต้อนรับคริสต์มาส หรือปีใหม่ที่จะมาถึง แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะหาซื้อของขวัญให้คนนั้น คนนี้ มีความสุขกันไป ทั้งคนให้ คนรับ  เมื่อเราที่เป็นคนให้ เวลาเลือกซื้อเลือกหาของขวัญเราก็จะคิดว่าเค้าจะชอบมั้ย  เอาอันไหน แบบไหน สีไหนดี   หรือเวลาที่เราเป็นคนรับ เราก็จะรู้สึกดีใจ ตื่นเต้น มีความสุข ที่ได้ของขวัญ เปิดออกมาแล้วจะเป็นอะไรน๊า…. หรือเวลาจับสลากของขวัญกันก็จะลุ้นจะเป็นชื่อเรามั้ยนะ วันนี้จะมาท้าทายและเชิญชวนพี่น้อง ที่จะมามอบของขวัญ ส่งความสุขด้วยกัน  โดยหัวข้อเทศนาในเช้าวันนี้ มีชื่อว่า “ของขวัญ” เราจะไปมอบของขวัญด้วยกัน นะคะ   และคนแรกที่เราจะไปให้ของขวัญก็คือตัวเอง นั่นคือประการที่ 1

1.ให้ของขวัญตัวเอง ใครเคยซื้อของขวัญหรือให้รางวัลกับตัวเองบ้าง  เวลาที่เราทำแบบนั้นแล้วเรารู้สึกอย่างไร รู้สึกดีนะ  ข้าพเจ้าก็เคยทำแบบนั้นรู้สึกดีจังเลย ในวันเกิด ในโอกาสพิเศษ    ความรู้สึกดี เป็นอะไรที่เราทุกคนอยากให้เกิดขึ้นกับเราทุกวันอยู่แล้ว  แต่เราก็คงไม่สามารถจะซื้อของให้ตัวเองได้ทุกวันเพื่อจะรู้สึกดี  และที่สำคัญสิ่งของก็ไม่ใช่อะไรที่ถาวรนิรันดร์ ของขวัญก็เป็นเพียงความสุขเล็ก ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น  แต่มีของขวัญอย่างอื่นที่ดีกว่า ที่ถาวรและยั่งยืนที่เราจะสามารถให้เป็นของขวัญล้ำค่ากับตัวเอง  และจุดประสงค์ในการที่เราให้ของขวัญกับตัวเอง ก็เพื่อให้เราจะรู้สึกดีกับตัวเราเอง แข็งแรง และให้เราได้ลุกขึ้นมาสู่ศักยภาพที่แท้จริงในชีวิต มันยากที่จะชื่นชมยินดี หรือรู้สึกดีกับชีวิตตัวเอง ถ้าเราไม่รู้สึกชอบตัวเอง  และหากเราไม่เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง หรือว่าดำเนินกับชีวิตตัวเองไม่ดี  เราก็จะมีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับผู้อื่น ไม่สามารถร่วมเส้นทางชีวิตไปกับผู้อื่นได้ดีด้วยเช่นกัน    ใช่พระคัมภีร์บอกเรา ว่า ให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง แต่หากเรามีรากของชีวิตที่ไม่แข็งแรง เป็นรากที่สุขภาพไม่ดี  เป็นรากที่อ่อนแอ เจ็บป่วย   เราก็จะไม่สามารถรักใครได้ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ยากมากในความสัมพันธ์กับผู้อื่น   กลายเป็นความพยายามความฝืนใจ และในที่สุดความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็จบลงไม่ดี เพราะเรามีรากเกี่ยวกับตัวเองไม่ดี  มัทธิว 7:17-18 17ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี   ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว 18ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้   หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ ผลภายนอกเในชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรมันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากรากภายในของเรา  พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราเกิดผลดีในทุกสิ่ง แต่ถ้าเราไม่จัดการ ดูแล ใส่ใจต่อรากในชีวิตเรา การเกิดผลดีก็เป็นไปไม่ได้    ถ้าเรามีรากของความอับอาย ความรู้สึกผิด การถูกปฎิเสธ ขาดความรัก ไม่เป็นที่ยอมรับ มีความรู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่า และอีกมากมาย ในตัวเรา  เราก็จะส่งผลในความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดกับผู้อื่น   ฉะนั้นเราต้องแข็งแรง มีสุขภาพชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี และมันจะเกิดได้โดยเราเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น ทำให้เป็นของขวัญกับตัวเอง เพื่อเราจะรู้สึกดี รู้สึกชื่นชมยินดีกับชีวิตตัวเอง    เราพร้อมที่จะให้ของขวัญตัวเองรึยังคะ  อะไรบ้างที่เราจะให้ของขวัญกับตัวเอง

–  อย่าพูดลบหรือคิดลบเกี่ยวกับตัวเราเอง มัทธิว 12:37 37เหตุว่าที่เจ้าจะพ้นโทษได้   หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น   ก็เพราะวาจาของเจ้า” หลายครั้งที่เราชอบคิด พูดไม่ดีกับตัวเอง  เช่น เรามันไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง ไม่เคยทำอะไรถูก ทำผิดซ้ำซาก  ชั้นนี่น่าเกลียดจริง ๆ  ทำไมโง่อย่างนี้นะเรา ไม่มีใครรักฉัน เรานี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนทำอะไรไม่เคยสำเร็จ   ความคิด คำพูดแบบนี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากมารซึ่งมันต้องการทำลายเรา  อย่าลืมว่ามารมาเพื่ออะไร  เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย แต่พระเจ้าไม่ใช่ ยอห์น 10:10 10ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย   เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต   และจะได้อย่างครบบริบูรณ์  เมื่อเราไม่พูดหรือคิดลบเกี่ยวกับตัวเอง เราก็ต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ที่จะพูดสิ่งดี คิดดีเกี่ยวกับตัวเอง แต่ไม่ใช่การพูดโอ้อวด ถือดี เหยียดหยามคนอื่น แต่เป็นการพูดดีคิดดีที่พูดหรือทำแบบส่วนตัว พูดกับตัวเราเองโดยการใช้พระคำของพระเจ้า ไม่ใช่ไปยืนหน้ากระจก แล้วพูดว่า “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐภี”  แล้วคนที่อยู่ในกระจกก็ตอบว่า “ก็เจ้านั่นแหละที่งามเลอเลิศเหนือหญิงใดๆในใน 3 โลกหล้า”    เราไมได้อยู่ในเรื่องสโนไวท์นะ   แต่เราอยู่ในความจริงของพระเจ้า และเราต้องใช้พระคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง บอกกับตัวเราเองว่าเรามีคุณค่ามากเพียงใด เราเป็นฝีพระหัตถ์ เราเป็นที่รักยิ่ง เราอยู่ในหัวใจของพระเจ้า  เมื่อเราอ่านพระคำพระเจ้า เราต้องเชื่อ ว่าพระคำมีฤทธิ์เดช เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ สามารถทำกิจในชีวิตเรา เปลี่ยนแปลงเรา สร้างเราขึ้นใหม่ให้เป็นไปตามพระฉายาที่งดงาม ที่ดีงาม ที่ชอบธรรมของพระเจ้าได้  มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่บอกเราอย่างนั้น 1 ยอห์น 5:9 19เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า   และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย  โรม 5:8  8แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย   คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น   พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เอเฟซัส 2:10 10เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์   ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี   ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ  และยังมีข้อพระคัมภีร์ที่ให้กำลังใจ ให้ความเข้มแข็งกับเราด้วย ฮีบรู 12:12-13 12เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น  และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป   เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด   แต่จะหายเป็นปกติ 2 ทิโมธี 4:17 17แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า   และได้ทรงประทานกำลังให้ข้าพเจ้า   ประกาศพระวจนะได้อย่างเต็มที่   เพื่อให้คนต่างชาติทั้งปวงได้ยิน   ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากปากสิงห์ อิสยาห์ 41:10  10อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า  อย่าขยาด  เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า     เราจะหนุนกำลังเจ้า  เออ  เราจะช่วยเจ้า  เออ  เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา  และยังมีข้อพระคัมภีร์อีกมากมาย ที่จะช่วยให้เราคิดดี พูดดีเกี่ยวกับตนเอง ฉนั้นเวลาที่เราอ่านพระคำพระเจ้า ให้เราอ่านราวกับว่าพระคัมภีร์เป็นจดหมายรักจากพระเจ้าที่เขียนมาถึงเราซึ่งเป็นที่รัก ให้เราบอกคนข้าง ๆ พระคัมภีร์เป็นจดหมายรักมาถึงคุณ  ไม่ใช่จดหมายทวงหนี้ ไม่ต้องกลัวที่จะอ่าน และไม่ต้องอ่านด้วยความรู้สึกกลัวว่าอ่านแล้วเดี๋ยวจะโดน พ่อของข้าพเจ้า เขียนจดหมายรักให้แม่ตอนสมัยเขาเป็นคู่หมั้นกัน คุณแม่ยังเก็บไว้จนบัดนี้ ข้าพเจ้าอายุ 45 จดหมายนั้นมาก่อนข้าพเจ้าเกิดน่าจะมีอายุประมาณ 46 ปี ยังเก็บเอาไว้ถึงหมึกมันจะเลือนไป  แต่เพราะมันมีค่า มันรู้สึกดี  เราเองก็ต้องจดจำถ้อยคำในจดหมายรักของพระเจ้าไว้ในหัวใจเรา เพื่อเราจะแข็งแรง รู้สึกดีมีคุณค่าในตัวเอง  ให้เราเริ่มต้นแต่ละเช้าวันใหม่ด้วยการพูดถ้อยคำของพระเจ้ากับตัวเอง ใส่ชื่อเราไปในพระคำนั้นก็ได้  “พระเจ้าทรงรักวรรณพร จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อวรรณพรจะวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”   หรือมองตัวเองในกระจก กระจกน่ะไม่วิเศษหรอก แต่ถ้อยคำพระเจ้าวิเศษแน่นอน มองแล้วพูดกับตัวเอง “พระเจ้ารักฉัน ยอมรับฉัน ฉันรักตัวเอง และยอมรับในตัวเอง”    เคยกอดตัวเองมั้ยพี่น้อง  กอดเลยกอดตอนนี้แล้วพูดว่า “สู้ ๆ นะตัวเอง”  นอกจากให้ของขวัญตัวเองด้วยการไม่พูดไม่คิดลบ เรายังต้องให้ของขวัญตัวเองด้วยการ

–  ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น พระเจ้าทรงรักในความแตกต่างของเรา พระเจ้าจึงสร้างเราให้แตกต่างกัน แตกต่างแม้กระทั่งลายนิ้วมือ  1 โครินธ์ 12: 12-13 12ถึงกายนั้นเป็นกายเดียว   ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน   และอวัยวะเหล่านั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นกายเดียวกันฉันใด   พระคริสต์ก็ทรงเป็นฉันนั้น 13เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิว   หรือพวกกรีก   เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม   เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน   และพระวิญญาณองค์เดียวนั้นซาบซ่านอยู่  อ.เปาโลเปรียบเทียบพระกายของพระคริสต์กับร่างกายมนุษย์ ว่าแต่ละส่วนต่างมีหน้าที่เฉพาะ  ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายโดยรวม แต่ละส่วนย่อมแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าจะใช้ทำงานใด แต่แม้จะแตกต่างกันก็ยังทำงานด้วยกัน  คริสตจักรเป็นที่รวมของผู้คนหลายแบบจากภูมิหลังที่ต่าง ๆ กัน ซึ่งพร้อมด้วยของประทานความสามารถที่หลากหลายแต่ต้องทำงานด้วยกัน ไปด้วยกัน แต่ในความแตกต่างนี้จะไม่ทำให้เราแตกแยกเลย หากเราตระหนักว่าเรามีสิ่งที่เหมือนกัน และเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือความเชื่อในพระคริสต์ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราก้าวไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราทุกคนได้รับบัพติสมาโดยพระวิญญาณซึ่งรวมเราเข้าเป็นกายในคริสตจักร  เราจะไม่มีวันรู้สึกดี รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองเลย หากเรายังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คนบางคนอาจเป็นตัวอย่างที่ดีของเราได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำอย่างที่เค้าทำ   เพราะการเลียนแบบแม้กระทั่งสิ่งดี ๆ ที่คน ๆ นั้นทำ นั่นอาจไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตเรา เราเองต้องแสวงหาตัวตนของเราในพระเจ้า  พระเจ้ามีน้ำพระทัย พระประสงค์ แผนการสำหรับเราเป็นการส่วนตัว ฉะนั้นจงจดจ่อที่ศักยภาพของตัวเราที่พระเจ้ากำหนดไว้ อย่ามัวแต่ไปเสียเวลาเลียนแบบ อย่าเสียเวลาเปรียบเทียบ มองแต่ที่คนอื่น แต่เอาเวลาไปแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า ของประทานที่พระเจ้าให้เรา ความสามารถที่เรามี เราเป็น เราทำได้ และทำให้ดีที่สุดในสิ่งนั้น  ๆ  เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในชีวิตเรา และมันประสบความสำเร็จ เกิดผล เราก็จะรู้สึกดีกับตัวเอง คุณค่าของชีวิตมันก็เกิดขึ้น   1 โครินธ์ 12:4-11  4ของประทานนั้นมีต่างๆกัน   แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน 5งานรับใช้มีต่างๆกัน   แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน 6กิจกรรมมีต่างๆกัน   แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆในทุกคน 7การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ   ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา   และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้   แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ   แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน   และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้   แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน 10และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ   และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้   และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ   และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ   และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้ 11สิ่งสารพัดเหล่านี้   พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์  อย่าพูดลบคิดลบเกี่ยวกับตัวเอง  อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น นี่คือของขวัญที่เราต้องมอบให้กับตัวเอง แล้วเราจะรู้สึกดีกับชีวิต เราจะมีกำลัง มีความชื่นชมยินดี ยืนหยัด เข้มแข็ง ประสบความสำเร็จในพระเจ้า ไม่ท้อถอยท้อแท้  พี่น้องรู้จักสตีฟ จ๊อบ เป็นเจ้าของเทคโนโลยีแอ๊ปเปิ้ลที่ประสบความสำเร็จมาก  ตั้งแต่เด็กจนโต สตีฟ จ๊อบไม่เคยเอ่ยคำว่า “ท้อ” เลยสักครั้ง เพราะว่า สตีฟ จ๊อบ  พูดไทยไม่เป็น  เราก็จะเป็นคริสเตียนที่ไม่เคยเอ่ยคำว่าท้อ  เพราะว่ามันไม่มีคำ ๆ นี้ในพจนานุกรมของพระเจ้า    พี่น้องท้อไม่ท้อ………………ให้ของขวัญตัวเองนะคะ และเมื่อเราให้ของขวัญตัวเองแล้ว ประการที่ 2

2.ให้ของขวัญคนอื่น  เมื่อรากในชีวิตเราแข็งแรง รู้สึกดีกับตัวเองแล้ว เราก็จะรู้สึกดีกับคนอื่น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้อย่างแข็งแรง สุขภาพดี      ท่ามกลางพระกายของพระคริสต์ที่เรามานมัสการร่วมกัน มีสามัคคีธรรมกัน  รับใช้ร่วมกันในคริสตจักรนี้ คือผู้ที่เราควรให้ของขวัญแก่กันและกัน  แต่พี่น้องไม่ต้องถือโอกาสนี้บอกกับคนข้าง ๆ ว่า “เธอ ๆ ชั้นอยากได้มือถือรุ่นใหม่ ซื้อเป็นของขวัญให้ชั้นหน่อยนะ ตอบสนองคำเทศนา”  อย่าเชียว   แต่ของขวัญที่อยากจะให้เราให้แก่กันในที่นี้อยู่ในพระธรรม 1 เปโตร 3:8-9  8ในที่สุดนี้   ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   เห็นอกเห็นใจกัน   รักกันฉันพี่น้อง   มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม 9อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย   อย่าด่าตอบการด่า   แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา   ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น   เพื่อท่านจะได้รับพระพร  เปโตรได้ลำดับสิ่งสำคัญที่เราควรจะทำต่อกันและกันกับพี่น้องในพระคริสต์ คือ   ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ใช่การคิดเหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่มีความรู้สึกนึกคิดร่วมกันเพื่อทำงานด้วยกันและรับใช้ด้วยกันและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เราได้มอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับพี่น้องของเราหรือยัง เราร่วมกันปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าร่วมกับพี่น้องอย่างกลมเกลียวใจเดียว หรือเราแตกแถว เราไม่ทำ ไม่มีเป้าหมายที่จะทำสิ่งใดร่วมกันกับพี่น้อง คนข้าง ๆ คนในกลุ่มเซลล์ คริสตจักร กำลังรอเรามอบของขวัญชิ้นนี้อยู่  ความเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือคนอื่นเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้นในชีวิตของคน ๆ นั้น  การร่วมชื่นชมยินดีและโศกเศร้าร่วมกับพี่น้องแท้จริงเป็นสิทธิพิเศษที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่ประทานให้กับเรา  เราทุกคนต่างต้องการของขวัญแห่งความเห็นอกเห็นใจด้วยกันทั้งสิ้น ขึ้นกับว่าเวลาไหนใครเป็นผู้ให้ ใครจะเป็นผู้รับ  ถ้าวันนี้มีใครต้องการความเห็นอกเห็นใจ เราจะไม่รอช้าที่เราจะมอบของขวัญชิ้นนี้ให้ ความรักกันฉันพี่น้อง เป็นความรักที่บุตรร่วมบิดาเดียวกันมีต่อกัน และความรักเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับเราทุกคนเพราะเราเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ซึ่งมีพระบิดาในสวรรค์องค์เดียวกัน การมีใจอ่อนโยน คือความสามารถที่จะรักพี่น้องของเรา แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับใจอ่อนโยนคือ ใจเย็นชา เฉยชา เมินเฉย ที่จะไม่รับรู้ถึงความต้องการ อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น เมื่อเรายังไม่มีใจของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เราอาจเคยเป็นคนที่เฉยชาต่อผู้อื่นไม่รู้ร้อนรู้หนาว  แต่เมื่อเราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าของเรา ใจเรารับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่โดยพระวิญญาณเรามีใจเดียวกับพระองค์ที่จะส่งต่อความอ่อนโยนเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เราต้องให้หัวใจที่อ่อนโยนพัฒนา เติบโตและแข็งแรงมากขึ้นในชีวิตเรา เรามอบของขวัญแห่งการมีใจอ่อนโยนให้กับใครแล้วหรือยัง มีโอกาสมากมายให้เราทุกคนทำได้  ความถ่อมสุภาพ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นตัวอย่างสูงสุดแล้วในเรื่องนี้ ข้อพระคัมภีร์ที่เราคุ้นมากในเรื่องความถ่อมของพระเยซู อยู่ในฟิลิปปี ว่าความถ่อมของพระองค์นั้นถึงกับทรงสละทุกสิ่ง เพื่อมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นทารกน้อยในรางหญ้า แท้จริงพระองค์มอบของขวัญแห่งความถ่อมใจให้กับเรา  และเราจึงควรมอบของขวัญของการถ่อมสุภาพ ถ่อมใจให้ผู้อื่นต่อ คำว่า “ทรงสละทุกสิ่ง” นั้นมีความหมายว่า “ทรงกระทำให้พระองค์ว่างเปล่า” คือการวางพระเกียรติสิริ ฐานะ ความมั่งคั่ง สิทธิอำนาจ และการใช้พระลักษณะของพระองค์วางลงไว้ เป็นการยอมสมัครใจที่จะไม่มีอะไร และยอมรับเอาความทุกข์ยากลำบาก การเข้าใจผิด การถูกกระทำ และรับความมรณาบนกางเขน และเราต้องพัฒนาชีวิตไปสู่การถ่อมอย่างพระเยซู ที่จะยอมวาง ยอมว่างเปล่าได้ ไม่ถือตน  เปโตรเองก็พัฒนาตัวเองให้เกิดมีความเมตตา ความถ่อมใจ  ในสมัยที่เปโตรติดตามพระคริสต์ เราจำได้มั้ย เปโตรเป็นคนอย่างไร หุนหันพลันแล่น แข็งกร้าว ก้าวร้าว ใจร้อนใจเร็ว  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงเปโตร หล่อหลอมบุคลิกภาพเหล่านี้จนพระเจ้าใช้การได้ เป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนถ่อมใจได้  และเราทุกคนก็เปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าใช้การได้ ที่จะให้เราเป็นคนนั้นที่ส่งต่อของขวัญที่งดงามให้กันและกัน ให้กับทุก ๆ คน   ในโลกที่ตกอยู่ในความบาปนี้ การพูดจาทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง การแก้แค้นดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ เปโตรบอกว่า อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามคือการอวยพร สำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรพระเจ้าไม่มีคำว่าแก้แค้น  และไม่มีการกล่าวว่าร้าย ไม่ใช้คำพูดวาจาไม่ดีทำร้ายใคร  ไม่แม้กระทั่งความคิด ถ้าเราทำเช่นนั้น นั่นไม่ใช่การมอบของขวัญ แต่เป็นการกระทำที่สยองขวัญ  ไม่มีข้อแก้ตัวว่า “ก็เค้าทำตัวไม่น่ารัก ทำตัวไม่ดี พูดไม่ดี”  อย่าลืมว่าเราก็เป็นคนนั้นด้วยเรามีเวลาที่เราทำตัวไม่น่ารัก ทำตัวไม่ดี พูดไม่ดี  เราทำผิดด้วยกันทุกคน  มีชนเผ่าหนึ่งในแอฟริกา เมื่อมีคน ๆ หนึ่งทำผิด พวกเค้าจะนำคน ๆ นั้นมาอยู่ที่กลางหมู่บ้าน และทุกคนในหมู่บ้านก็จะมายืนล้อมคน ๆ นั้นไว้ เป็นเวลา 2 วัน และใน 2 วันนั้นเค้าทำอะไร ไม่ได้เอาหินเขวี้ยง ไม่ได้ลงโทษคน ๆ นั้น แต่ทุกคนในหมู่บ้านจะพูดถึงสิ่งดีของคน ๆ นั้น เพราะชนเผ่านั้นมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนดี มีแค่บางครั้งเท่านั้นที่ไม่ดี  เราก็เป็นชนเผ่าของพระเจ้า ที่มีความเชื่อเดียวกันที่เราจะเชื่อในส่วนดีของกันและกันอยู่เสมอ และเราจะมอบของขวัญที่ดีให้แก่กันและกัน เราอ่านความเชื่อชนเผ่าของเราด้วยกัน 1 โครินธ์ 13:4-7 4ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้   ความรักไม่อิจฉา   ไม่อวดตัว   ไม่หยิ่งผยอง 5ไม่หยาบคาย   ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว   ไม่ฉุนเฉียว   ไม่ช่างจดจำความผิด 6ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด   แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น   และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ   และมีความหวังอยู่เสมอ   และทนต่อทุกอย่าง  เมื่อตุลาที่ผ่านมา NGM เราไปทำค่ายที่พุเตย ช่วงสุดท้ายของค่าย เราได้ทำสิ่งนี้ด้วยกัน เราไปกัน 20 คน ข้าพเจ้าให้แต่ละคนมายืนตรงกลางและที่เหลือยืนล้อมเป็นวงกลม และให้ทุกคนได้พูดสิ่งดีถึงคนนั้น มันเป็นการจบค่ายที่สวยงามมาก เป็นความรู้สึกที่ดีที่แต่ละคนได้รับจาก 19 คน เป็นเหมือนของขวัญที่มีค่ามาก สิ่งของใด ๆ ก็สู้ไม่ได้  ข้าพเจ้าขอหนุนใจพี่น้องในกลุ่มเซลล์ทำแบบนี้ที่เราจะพูดถึงสิ่งดีในพี่น้องของเรา  และบอกได้เลยว่าแต่ละคนจะได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จริง ๆ จอยซ์ เมเยอร์ กล่าวว่า ไม่เพียงแต่เราต้องไม่ช่างจดจำความผิดของคนอื่นเท่านั้นแต่เราต้องเลิกจดจำสิ่งที่เราเองคิดว่าเราทำถูกต้องอีกด้วย  เพราะการคิดว่าตัวเองสูงส่งเกินไป มักจะทำให้เราขาดความอดทน และขาดความเมตตาต่อผู้อื่นได้ จงให้ของขวัญแก่กันด้วยความรักของพระเจ้า  มีคนเคยถามตายายคู่หนึ่งว่า ทำยังไงถึงรักกันมาได้ตั้ง 65 ปี คุณยายตอบว่า “เราเกิดมาในยุคที่เมื่อมีอะไรพังเราก็ซ่อม ไม่โยนทิ้งแล้วซื้อใหม่” เราจะรักกันได้ต่อไป เพราะว่าเราจะช่วยกันซ่อมแซมความสัมพันธ์ ถ้ามันมีรอยร้าว ถ้ามันชำรุด ถ้ามันเสีย เราจะไม่โยนใครออกไปจากชีวิตเรา  เราจะไม่ทำอย่างค่านิยมของโลกนี้ เมื่อเราให้ของขวัญคนอื่นคือพี่น้องในพระกายแล้ว อย่าลืมให้ของขวัญคนอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าด้วย นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะพระเจ้าสอนให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเราเอง  มีของขวัญมากมายที่เราจะสามารถแบ่งปัน หยิบยื่นให้  มีโอกาสมากมายมีผู้คนมากมายที่เข้ามา และเราต้องไม่รอช้าที่จะส่งมอบของขวัญให้กับคนเหล่านั้น โคโลสี 4:5-6    5จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา   โดยฉวยโอกาส  6จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ   ปรุงด้วยเกลือให้มีรส   เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน  พระคัมภีร์ฉบับอมตะธรรมบอกว่า จงปฎิบัติต่อคนภายนอกอย่างเฉลียวฉลาด ใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่สุด จงให้คำสนทนาของท่านสุภาพอ่อนหวาน ปรุงด้วยเกลือให้มีรสเพื่อท่านจะรู้ว่าควรตอบทุกคนอย่างไร  ความเมตตา ความสุภาพอ่อนหวาน เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องการมากแค่ไหน คนอื่นก็ต้องการมากแค่นั้น เมื่อเราต้องพูดคุย สัมพันธ์กับผู้อื่น เราต้องสำแดงความเป็นคริสเตียนต่อผู้อื่นด้วย ให้เค้าได้เห็นพระคุณพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ จริงใจ ไม่คิดหาผลประโยชน์ แบ่งปันความรักให้ความช่วยเหลือเหมือนที่เราให้กับพี่น้องคริสเตียน  แคทเธอรีน คอมเมล อายุ 5  ขวบ ได้ดูสารคดีทวีปแอฟฟริกาที่บอกว่าเฉลี่ย 30 วินาที ก็จะมีเด็กคนหนึ่งตายเพราะโรคมาลาเรีย เธอขดตัวอยู่บนโซฟา แล้วก็เริ่มนับนิ้ว 1 2 3 4 …ตอนเธอนับถึง 30 ก็มีสีหน้าตกใจตะโกนบอกแม่ว่า “ แม่ ๆ เด็กแอฟริกาตายไปแล้ว 1 คน เราต้องทำอะไรสักอย่าง” แล้วเธอก็ยอมอดขนม เก็บเงินค่าขนมไปซื้อมุ้งเพื่อส่งไปให้เด็กที่แอฟริกาจะไม่โดนยุงกัด และเธอยังทำอีกหลายสิ่งอย่าง เปิดท้ายขายของ เชิญชวนผู้คนในโบสถ์ ในโรงเรียนให้ช่วยบริจาคเพื่อซื้อมุ้งส่งไป แล้วก็มีผู้คนมากมายเข้ามาช่วยเหลือ แคทเธอรีนได้ให้ของขวัญกับเด็ก ๆ ในแอฟริกา   นี่เป็นเรื่องราวของคนตัวเล็ก ๆ ที่ทำสิ่งยิ่งใหญ่  เราก็เป็นคนเล็ก ๆ คนนึง แต่เราสามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่เพื่อพระเจ้าได้ แต่ละวันพระเจ้าให้เราทำอะไร แต่ละวันพระเจ้าส่งใครมา แต่ละวันเราเห็นอะไร แต่ละวันมีโอกาสอะไรเข้ามาในชีวิตที่เราจะสามารถให้ของขวัญกับคนเหล่านั้น จงทำ และประการที่ 3 สั้น ๆ เมื่อเราให้ของขวัญตัวเอง  ให้ของขวัญคนอื่น และต้องไม่ลืมให้ของขวัญกับพระเจ้า แล้วเราจะให้ของขวัญอะไรกับพระเจ้าดี ? ใครมีข้อเสนอบ้าง

3.ให้ของขวัญพระเจ้า  บางคนอาจบอกว่า เราจะรักพระเจ้า เราจะสัตย์ซื่อ เราจะมีความรักต่อผู้อื่น   เราจะทำสิ่งที่ดี เราจะถวาย เราจะยอมจำนน เราจะไม่ทำบาป เราจะเป็นคริสเตียนที่ดี  ทุสสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดีหมด แต่สิ่งที่เราทำนั้น สิ่งที่เราจะมอบให้พระเจ้า คือสิ่งที่เราจะทำแบบ 100 % หรือไม่ นั่นต่างหากที่สำคัญ   เราจะให้ของขวัญอะไรก็ได้กับพระเจ้า แต่ต้องเต็มร้อย ไม่ใช่ 99.99 ด้วย ถ้าคนที่เป็นสามี บอกว่าผมจะเป็นสามีที่สัตย์ซื่อต่อภรรยาของผม75 % ครับ เกิน 50% มาตั้งเยอะแน่ะ ภรรยาโอเคมั้ยครับ ผมเป็นสามีที่ดีมั้ยครับ –  อืมห์ ช่างกล้าที่จะถาม เค้าเรียกถามไม่กลัวตายเลย  ไม่มีภรรยาที่ไหนต้องการความสัตย์ซื่อของสามีเพียง 75 % แน่นอน ภรรยาทุกคนต้องการ 100 %   ถ้าภรรยาบอกว่า จะเป็นภรรยาที่รักสามีแบบไม่เต็มร้อยนะ คงไม่มีสามีคนไหนชื่นชมยินดี   ลูกมาบอกพ่อแม่ว่าจะเป็นลูกที่เชื่อฟัง 30 % โอโห พ่อแม่ชีช้ำเลย  หรือเพื่อนกันบอก เราเป็นเพื่อนกันบางเวลานะ เวลาที่มีผลประโยชน์เราค่อยมาเจอกัน เราจะอยากมีเพื่อนแบบนี้มั้ย  แล้วยังไงล่ะกับสิ่งที่เราจะให้ของขวัญกับพระเจ้า “พระเจ้า ลูกขอมอบความสัตย์ซื่อให้พระองค์เป็นของขวัญ 75% นะ ให้เยอะแล้วนะเนี่ย ไม่เคยให้ใครเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยขอบอก”  เราเองก็ยังไม่อยากได้อะไรที่ไม่เต็มร้อย แล้วพระเจ้าล่ะ พระเจ้าจะรู้สึกอย่างไร  เราจะให้ของขวัญอะไรกับพระเจ้าก็ได้ แต่ขอให้เรามอบถวายให้กับพระองค์แบบ 100 %  เพราะถ้าไม่เต็มร้อย นั่นหมายความว่า เรากำลังให้พื้นที่ที่เหลือกับบางสิ่งบางอย่าง และบางสิ่งนั้นคือการที่เรากำลังปันใจ คือการที่เรากำลังมีรูปเคารพ และรูปเคารพนั้น วันหนึ่งจะค่อย ๆ คืบคลานเข้ามากินพื้นที่ที่เราให้กับพระเจ้า จนพระเจ้าไม่เหลืออยู่ในชีวิตเรา ในพระคัมภีร์เดิมบัญญัติ 10 ประการ บัญญัติข้อแรกที่พระเจ้าให้ผ่านโมเสสในพระธรรมอพยพ 20 :3  อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา และในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูทรงสรุปพระบัญญัติเป็นข้อใหญ่ ข้อแรกคือ   มัทธิว 22:37 37พระเยซูทรงตอบเขาว่า   “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า   และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า  เราจะให้ของขวัญอะไรก็ได้กับพระเจ้า แต่เราต้องเต็มร้อย เต็มใจ สุดจิตสุดใจสุดกำลังและสุดความคิด เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงสมควร 2 พงศาวดาร 19:9 ท่านทั้งหลายจงกระทำการนี้ด้วยความยำเกรงพระเจ้า   ด้วยความสัตย์ซื่อและด้วยสิ้นสุดใจของท่าน

By admin