เรื่อง NO PLAN B ไม่มีแผนสำรอง

มีการวิเคราะห์เทรนด์คนไทยปี 2015 โดยฝ่ายการตลาดทางธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การคิดค้นให้ตัวสินค้าต่าง ๆ เข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เค้าบอกว่าคนไทยในยุคปีค.ศ.นี้ เป็นประเภท ติดหรู ดูดี เข้าห้างร้านอาหารดัง ติดความบันเทิง ชอบความสนุกสนาน ร้านไหนดังไปร้านนั้น  นิยมร้านที่ตกแต่งสวยงามแล้วต้องมีการเซลฟีถ่ายรูปตัวเอง  ถ่ายอาหารแล้วแชร์ในโซเชียล คนไทยปี 2015  ต้องไปเที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวต่างประเทศ ถ้าเที่ยวในประเทศต้องพักรีสอร์ตหรูอยู่สบาย ใช้เงินง่ายใช้เงินเก่ง มีไลฟ์สไตล์ แต่ไม่ค่อยคิดถึงสตางค์ ชอบใช้เงินอนาคต ไม่ค่อยเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็นหรือเวลาฉุกเฉิน   เป็นพวกมีเป้าหมาย มีแพลนนิ่ง คือแพลนแล้วนิ่งไปเลยไม่ลงมือทำ  อ้างทุกอย่างที่ทำว่าเป็นอินสปายเรชั่น มันเป็นแรงบันดาลใจ แต่ไม่นำมาใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง ๆ

นี่คือเทรนด์ที่มีการวิเคราะห์กันโดยบริษัทที่เชี่ยวชาญทางการตลาดถึงคนในยุคนี้  แต่ถ้าเราพูดกันในภาษาคริสเตียน นี่ก็คือค่านิยมของโลกนี้ นี่คือเนื้อหนัง    นี่คือเหตุผลจอมปลอมที่กำลังล่อ ลวง หลอก   และถ้าคริสเตียนดำเนินชีวิตอยู่ในเทรนด์ อยู่ในกระแสค่านิยมของโลกนี้ เราก็จะหลงไปจากหัวใจ จากน้ำพระทัยของพระเจ้า

อย่ากลัวว่าจะตกเทรนด์ที่โลกนี้กำลังนิยมชมชอบกัน  อย่ากลัวว่าเราจะตามคนอื่นไม่ทัน อย่ากลัวที่จะแตกต่างจากคนอื่นจากโลกนี้   แต่จงใส่ใจกับเทรนด์  กับค่านิยม กับคุณค่าของพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด  พระเจ้ากำหนดเราเป็นใคร พระเจ้ากำหนดให้เราทำอะไร พระเจ้ามีแผนการอะไรในชีวิตของเราที่เราต้องสนใจให้ความสำคัญ พระองค์ทรงมีแผนการยิ่งใหญ่มอบให้แก่เรา

ภายใต้พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ในพระธรรมมัทธิว 28:18-20 18พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า   “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี   ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ   ให้เป็นสาวกของเรา   ให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา   พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้   นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป   จนกว่าจะสิ้นยุค”

พระเยซูกำลังพูดสิ่งนี้กับสาวกของพระองค์  สาวกผู้ที่ตัดสินใจแล้วที่จะติดตามพระองค์  ก่อนหน้าเหตุการณ์ที่พระเยซูจะถูกตรึงที่กางเขนมีผู้คนติดตามพระองค์มากมาย เพราะพวกเขาคาดหวังว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยที่จะมาไถ่ยิวออกจากอำนาจของโรม พวกเขาคาดหวังว่าพระเยซูจะมาเป็นผู้นำทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่  สั่งกองทัพมาบุกทำลายชาวโรมันได้  แต่เมื่อพระเยซูไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง หลายคนเลิกติดตามพระเยซู และตีตัวออกห่างจากพระองค์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังคงติดตามพระองค์  เป็นผู้เชื่อที่แท้จริง เป็นสาวกแท้ของพระองค์   วันนี้เราติดตามพระองค์แบบไหน แบบที่เรามีความคาดหวังบางสิ่งบางอย่างอย่างที่ใจเราต้องการ  แล้วถ้าไม่เป็นไปตามที่คาดเราจะออกห่างและเลิกติดตามพระองค์แบบนั้นหรือไม่

หรือเราติดตามพระเจ้าอย่างคนที่เป็นผู้เชื่อแท้ สาวกแท้  ถ้าเรามั่นใจว่าพระเยซูได้เสด็จเข้ามาในชีวิตของเราแล้ว พระองค์ก็ตรัสพระมหาบัญชานั้นต่อเราด้วย  และเราต้องเป็นสาวกที่พร้อมจะทำตามพระองค์จริง ๆ พร้อมที่จะเรียนรู้จากพระองค์   เชื่อฟังและทำ   รักซึ่งกันและกัน มีชีวิตที่เกิดผลฝ่ายวิญญาณ และเป็นสาวกด้วยการออกไปสร้างสาวก

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เราจะมีชีวิตปราศจากที่ติได้ ก็คือการที่เราจะมีชีวิตตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์   หัวข้อเทศนาในเช้าวันนี้คือ  NO PLAN B ไม่มีแผนสำรอง

                เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (มีบทสนทนาที่เป็นจินตนาการเกิดขึ้นว่า)   มีทูตสวรรค์ได้ถามพระองค์ พระราชกิจของพระองค์เสร็จแล้วหรือ?  พระองค์ตรัสว่า ใช่เสร็จแล้ว  ทูตสวรรค์บอกขอถามอีกข้อ ผู้คนในโลกนี้ทั้งหมดรู้จักพระองค์แล้วหรือ  พระองค์ตอบว่า ยัง ทูตสวรรค์ถามต่อ แล้วแผนการของพระองค์คืออะไร  พระเยซูตอบว่า ก็เรามีสาวก 12 คน แล้วก็ยังมีสาวกอื่น ๆ อีกที่อยู่ในโลก พวกเขาจะนำข่าวสารของเราไปถึงคนทั้งโลก  แล้วทูตสวรรค์ก็มองมาที่สาวกแต่ละคนในโลกนี้  แล้วหันกลับไปบอกพระเยซูว่า ข้าพระองค์ไม่ได้บังอาจแต่คิดว่าพระองค์ควรมีแผนสำรองนะ   พระเจ้าไม่มีแผนสำรอง NO PLAN B ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแผน ไม่มีแผนใหม่ใด ๆ เกิดขึ้น พระเจ้ามีแผนการเดียวที่จะให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ในแผ่นดินโลกนี้ แผนการนั้นคือเราแต่ละคนที่นี่ ที่เป็นสาวกของพระองค์ที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ เกิดขึ้น เป็นจริง  ให้เราหันไปบอกพี่น้องของเราว่า “คุณคือแผนการของพระเจ้า”  “คุณคือผู้ก่อการดี”    อย่าหันไปเห็นหน้าคนข้าง ๆ แล้วรู้สึกว่า หมอนี่หน้าตาอย่างนี้ก่อการร้ายชัด ๆ    NO PLAN B ไม่มีแผนสำรอง ประการที่ 1

1. คริสตจักรคือแผนการหลักของพระเจ้า

พระเจ้าไม่ได้ใช้กองทัพที่มีแสนยานุภาพเพื่อจะทำให้ทั้งโลกรู้จักพระองค์ ถ้าพระองค์จะทำก็ทำได้ แต่พระเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เพราะพระองค์ต้องการใช้คริสตจักรของพระองค์ คริสตจักรมีความหมายสำหรับพระองค์ คริสตจักรเป็นแผนการของพระองค์

คำว่าคริสตจักร มาจากภาษากรีกว่า เอกเคลเซีย ทั่วไปคำนี้แปลว่า การเข้าประจำการของกองทัพ หรือการเข้ามาร่วมกันของผู้คนโดยมีวัตถุประสงค์บางอย่าง  ส่วนความหมายในแบบพระคัมภีร์ใหม่มีความหมาย 3 อย่างด้วยกัน

– อย่างแรกคือ การที่คนของพระเจ้ารวมตัวกันแบบทั่ว ๆ ไป

– อย่างที่ 2 มีความหมายมากขึ้นหมายถึงชุมชนของผู้เชื่อ 1 โครินธ์ 1:2  2เรียน   คริสตจักรของพระเจ้า   ที่เมืองโครินธ์   ผู้ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์   ซึ่งพระองค์ได้ทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนด้วยกันกับคนทั้งปวง   ในทุกตำบล   ที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของเขา

–  และความหมายที่ 3 เป็นความหมายในเชิงเปรียบเทียบหรือเป็นความหมายฝ่ายวิญญาณ โคโลสี 1:18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย   คือคริสตจักร   พระองค์ทรงเป็นปฐม   เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย   เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง

พระเยซูคริสต์เองทรงใช้คำว่าคริสตจักร ในมัทธิว 16:18 18ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร   และบนศิลานี้   เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้   และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้

มัทธิว 18:17 17ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น   จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร   ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก   ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี

และได้พบว่าคริสตจักรมีความหมายมากขึ้น ๆ ในพระธรรมกิจการ พระเจ้าได้เปลี่ยนจากผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ กิจการ 1:8  8แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช   เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน   และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม   ทั่วแคว้นยูเดีย   แคว้นสะมาเรีย   และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก

กิจการบทที่ 2 ในวันเพนเทคอสเป็นเหมือนวันถือกำเนิดของคริสตจักร กิจการ 2:1-4 1เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง   จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน 2ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น 3มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน 4เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  

ทั้งหมดนี้คริสตจักรจึงมีความหมาย ว่าเป็นชุมชนที่มีพลังขับเคลื่อนทางฝ่ายวิญญาณและเป็นตัวแทนสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้   แล้วอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนให้ชุมชนหรือการรวมตัวกันในคนของพระเจ้า มาเป็นกลุ่มพลังที่มีการขับเคลื่อน ก็คือฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำกิจในชีวิตและผ่านชีวิตของสมาชิกทุกคนในคริสตจักร ครั้งหนึ่งผู้ติดตามพระเยซูเคยมีความกลัวความอ่อนแอ ยอห์น 20:19 19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์   เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่แล้ว   เพราะกลัวพวกยิว   พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า   “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”

แต่มาบัดนี้เมื่อเขาได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความกล้าหาญและฤทธิ์อำนาจปรากฏออกมาจากชีวิต จากคริสตจักรของพระองค์

ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่เพียงแต่สำคัญเพราะเป็นจุดกำเนิดของคริสตจักรเท่านั้น แต่ฤทธิ์อำนาจยังคงเคลื่อนไหวกระทำกิจอย่างต่อเนื่อง คริสตจักรไม่ได้กำเนิดขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจเท่านั้น แต่ยังคงมีฤทธิ์อำนาจอยู่จนวันนี้  หมอลูกาบันทึกไว้ในพระธรรมกิจการถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้เชื่อเต็มด้วยฤทธิ์เดชพระวิญญาณ เต็มไปด้วยความกล้าหาญ การไม่ประนีประนอม

กิจการ 4:13  13เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น   และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ   ก็ประหลาดใจ   แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู

คริสตจักรก้าวไปสู่การพัฒนาเรื่องการทรงเรียกและความตั้งใจแน่วแน่ กิจการ 5:29   29ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า   “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์

และเป็นคริสตจักรที่เต็มล้นด้วยความรักต่อกันและกัน กิจการ 2 :42-46 42เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม   ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน 43เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน   และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์   และหมายสำคัญหลายประการ 44บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน   ณ   ที่แห่งเดียว   และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง 45เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ   มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ 46เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร   และหักขนมปังตามบ้านของเขา   ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง   ทุกวันเรื่อยไป

คริสตจักรมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กิจการ 4 :32 32คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน   แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง

คริสตจักรมีการเติบโต กิจการ 2 :41 41คนทั้งหลายที่รับคำของเปโตรก็รับบัพติศมา   ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน

: 47 47ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ   ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า   ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด   มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ

เราทุกคนที่นี่คือคริสตจักรของพระเจ้า ที่ได้รับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ ให้เรามีความเชื่อว่าชีวิตเราขับเคลื่อนโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่อยู่ในเราเพื่อเปลี่ยนแปลงชุมชน สังคม ชนชาติของเรา  เรามีความกล้าหาญ มีความรัก มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีการเติบโตเกิดผล โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เราเป็นคริสตจักรที่พระเจ้าทรงใช้เราแต่ละคนได้ เราเป็นคริสตจักรที่อยู่ในแผนการของพระองค์     อย่าให้อะไรทำให้เราไขว้เขวไปจากแผนการของพระเจ้า อย่าให้อะไรมาปิดบังตาใจของเรา อย่าให้ความสะดวกสบาย อย่าให้ความทุกข์ ความรวยความจนมีอิทธิพลทำให้เราละเลย ละทิ้งแผนการ    เราถูกกำหนดและรับการเจิมตั้งเรามีบทบาทเรามีหน้าที่ที่จะประกาศพระนามของพระองค์   โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา โลกนี้เป็นMISSION FIELD เป็นพื้นที่ในการทำพันธกิจของเรา     ในขณะที่เราอยู่ในโลกเรารับมอบหมายแผนการ รับพระมหาบัญชามาทำให้สำเร็จ นั่นคือภารกิจและหน้าที่หลักของเรา  และเมื่อแผนการสำเร็จเสร็จ ถึงเวลาเราก็เดินทางกลับบ้านที่แท้จริงในสวรรค์ อย่ากลับบ้านมือเปล่า พระมหาบัญชานั้นพระองค์มอบไว้กับคริสตจักรเท่านั้น พระเจ้าไว้ใจคริสตจักร ไว้ใจเราทุกคนที่นี่ที่จะมอบสิ่งสำคัญที่สุดไว้กับเรา มัทธิว 28 :18 18พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า   “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี   ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว

สาวกของพระเยซูเริ่มต้นที่ 12 คน จากนั้นเป็น 120 คน 3,000 คน และทวีคูณมากขึ้น ๆ เป็นชุมชนแห่งฤทธิ์อำนาจที่เชื่อฟังและทำตามพระมหาบัญชา คือชุมชนที่เรียกว่า คริสตจักร และเราคือคนเล็ก ๆ  กลุ่มเซลล์เล็กน้อย คริสตจักรเล็ก ๆ แต่ถ้าเราเชื่อฟังและทำตามพระมหาบัญชา ขับเคลื่อนไปด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะเพิ่มพูน ทวีคูณ  พระเจ้ากำลังท้าทายและหนุนใจให้กำลังใจคริสตจักร ว่าเราขับเคลื่อนไปได้โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ

NO PLAN B ไม่มีแผนสำรองประการที่ 2

  1. สร้างสาวกคือแผนการหลักของพระเจ้า   

คำว่า สร้างสาวก ปรากฏ ในพระคัมภีร์ใหม่  ในพระมหาบัญชา ซึ่งเราต้องทำไม่อาจหลีกเลี่ยง พระมหาบัญชาเป็นคำสั่ง เป็นความจำเป็น และมีสิ่ง 3 สิ่งที่พระองค์ให้เราทำ  ออกไป  บัพติสมา และสั่งสอน ทั้งหมดเพื่อให้เขาเป็นสาวกของพระเจ้า

คำว่า ออกไป มีความหมายถึง การเดินทาง ดังนั้นกระบวนการสร้างสาวกเป็นเหมือนการเดินทาง ใช้ระยะเวลา ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแบบแป๊ป  แต่เป็นเส้นทางของการสร้างสาวกที่ต้องใช้ระยะเวลาที่จะนำคนให้เติบโตเหมือนพระคริสต์

คำว่า บัพติสมา ในพระนามแห่งพระบิดาพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการทำเครื่องหมายที่เป็นเอกลักษณ์บุคคลในผู้เชื่อคนนั้นด้วยความตาย และการฟื้นเป็นขึ้นของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องหมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับคริสตจักร เมื่อคน ๆ หนึ่งประกาศตัวที่จะติดตามพระเยซูผ่านการบัพติสมา นั่นคือการที่คนนั้นอุทิศตัวที่จะเป็นสาวก  และสร้างสาวก  ดังนั้นสิ่งนี้จะทำให้ผู้เชื่อแต่ละคนเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น

คำว่า สอน คือการสอนให้เขาเชื่อฟังทุกสิ่งที่พระเยซูทรงสอน การสอนคือการสร้างสาวก ซึ่งจะต้องเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่การมีความรู้  วัตถุประสงค์ของกระบวนการสร้างสาวกการสอนไม่ใช่การสะสมเพิ่มพูนความรู้คำสอนของพระเยซูคริสต์  หากแต่เป็นผล เป็นสิ่งที่สำแดงปรากฏออกมาเป็นการกระทำในชีวิต ในความคิด ในพฤติกรรม ที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระคริสต์ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องตรวจสอบยืนยัน และพิสูจน์ความจริงถึงกระบวนการสร้างสาวกว่าเป็นสาวกที่เชื่อฟัง ยอมจำนนหรือไม่

ดังนั้นเป้าหมายของพระมหาบัญชา และกระบวนการสร้างสาวกคือการครอบครอง การมีอธิปไตยของพระคริสต์ในแต่ละชีวิต และสะท้อนออกมา พระเจ้าเป็นพระเจ้าในชีวิต หรือตัวคนนั้นเป็นพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเอง พระเจ้าเป็นผู้ที่กุมบังเหียนเป็นจอมเจ้านายหรือคนนั้นนั่งตำแหน่งนั้นเสียเอง สิ่งนี้บ่งบอกถึงความเป็นสาวก  และถ้าเรากำลังสร้างสาวก ผลเหล่านี้คือสิ่งที่ประเมินการสร้างสาวกของเราในคนนั้นด้วย   การออกไป บัพติสมา และสอนก็เพื่อให้เขาเป็นสาวก เพื่อให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในชีวิตของคน ๆ นั้น ให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จในคน ๆ นั้น ให้ชีวิตของคนนั้นเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า

ในฐานะที่เป็นสาวก  ถูกสร้าง เราแต่ละคนต้องเลือกให้ความประสงค์ของเราตรงกันกับความประสงค์ของพระเจ้า และเมื่อความประสงค์ของพระเจ้าเกิดขึ้นในเราและผ่านเรา มองเห็นคำพยานที่เป็นพระประสงค์พระเจ้าในชีวิต มีบุคลิกลักษณะที่บ่งบอกความสัมพันธ์ของตัวเรากับพระเจ้าด้วยความรักที่มีต่อพระองค์ และมีความรักต่อผู้อื่น นั่นคือเครื่องหมายของการที่พระเยซูทรงครอบครองในชีวิตเรา  ในฐานะที่เป็นผู้สร้างสาวก เราต้องช่วยคน ๆ นั้นให้ความประสงค์ของ

พระเจ้าและความประสงค์ในชีวิตของคน ๆ นั้นตรงกันด้วย     การสร้างสาวกเป็นจุดมุ่งหมายตลอดทั้งชีวิตที่เราจะอุทิศให้พระเจ้า การสร้างสาวกเป็นกระบวนการที่มีพลังและต้องเป็นไปแบบองค์รวมครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น     กิจหลักของคริสตจักรคือการสร้างสาวก ในพระมหาบัญชาพระเจ้าไม่ได้บอกให้เราสร้างสาวกและดูแลคนยากจน ไม่ได้บอกให้สร้างสาวกและต้องดูแลรักษาโลก ไม่ได้บอกให้เราสร้างสาวกและต้องมีส่วนร่วมกับสาธารณะ   แต่การสร้างสาวกนั้นรวมถึงทุก ๆ แง่มุมเหล่านั้นด้วยอยู่แล้ว        กระบวนการสร้างสาวกคือการทำแบบองค์รวมอย่างเป็นธรรมชาติ พระเยซูไม่ได้สั่งให้คริสตจักรไปกำจัดความยากจน แต่พระเจ้าสั่งให้คริสตจักรสร้างสาวกและในกระบวนการสร้างสาวกนั้นเองที่ความยากจนควรจะถูกกำจัดออกไป

ในการสร้างสาวกเราต้องเป็นตัวแทนของพระเจ้าในฐานะคริสตจักรที่จะยืนขึ้นและต่อสู้กับความยากจน การโกงกิน ความไม่ยุติธรรม ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ความเจ็บไข้ได้ป่วย มีบทบาทในการแก้ปัญหาให้สังคม   เราต้องยืนเคียงข้างหญิงม่ายและลูกกำพร้า   นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา    เราได้รับพระมหาบัญชาที่จะเกี่ยวข้องกับโลกนี้และมีส่วนร่วมในการนำการคืนดี และในการทำสิ่งเหล่านี้  พระเจ้าให้ยุทธวิธีเดียวคือกระบวนการสร้างสาวกแบบองค์รวมครอบคลุมทุกด้านของชีวิต  โดยผ่านการสร้างสาวกแบบองค์รวมนี้ผู้คนจะเชื่อมต่อกับฤทธิ์อำนาจสูงสุดของพระเจ้าองค์พระเยซูคริสต์และการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  โดยผ่านการสร้างสาวกแบบองค์รวมคริสตจักรจะได้รับฤทธิ์เดชเพื่อจะสำแดงความรักอย่างพระเจ้า ความรักที่อุทิศ  ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่จะเยียวยา ที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์  โดยผ่านการสร้างสาวกแบบองค์รวม คนยากจน คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง จะได้รับฤทธิ์อำนาจ รับการปลดปล่อยรับการช่วยกู้ มีชีวิตใหม่รับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ศักยภาพแท้จริงที่พระเจ้ากำหนดไว้ในชีวิตของเขา เป็นเกลือ เป็นความสว่างในชุมชน สังคม ชนชาติต่อไป เมื่ออาณาจักรพระเจ้ามาครอบครองปกครองผู้คนโดยผ่านกระบวนการสร้างสาวกแบบองค์รวมศักดิ์ศรีที่แท้จริงในชีวิตของผู้คนที่พระเจ้ากำหนดไว้ได้รับการกอบกู้ สิ่งนี้จะเป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อชุมชนในวงกว้าง

พระเจ้าออกแบบโครงสร้างของคริสตจักรไว้ให้ผู้เชื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในการเป็นสาวกที่เติบโตและเป็นเหมือนพระคริสต์

เอเฟซัส 4:11-14 11ของประทานของพระองค์   ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต   บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ   บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ   บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้   เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น 13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ   และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า   จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่   คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ 14เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป   ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง   และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

พระเจ้าตั้งคริสตจักรให้เป็นศูนย์กลางการเสริมสร้างเพื่อที่จะเตรียมคนของพระเจ้าให้รับใช้ การรับใช้ผู้อื่นจะทำให้พระกายของพระคริสต์แข็งแรง และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในชีวิตสาวกแต่ละคน หากไม่มีการรับใช้  การเติบโตก็ไม่เกิดขึ้นทั้งในส่วนตัวของสาวกและในส่วนของชุมชนผู้เชื่อ เอเฟซัส 4:16 16คือเนื่องจากพระองค์นั้น   ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทาน   ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก   เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว

เมื่อทั้งร่างกายทำงาน รับใช้   แต่ละส่วนทำในส่วนของตัวเองร่างกายนั้นก็จะแข็งแรงและถูกสร้างขึ้น  นั่นหมายถึงเราแต่ละคน ทำในส่วนของเรา ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่พระมหาบัญชาเป็นของเราทุกคน  เราแต่ละคนต้องสร้างสาวก   แล้วคริสตจักรจะมีการขับเคลื่อน  ในการสร้างสาวกไม่ใช่เพียงแค่ขับเคลื่อนในวันอาทิตย์เท่านั้น แล้ววันอื่นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุก ๆ วัน 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนเราเป็นเหมือนทหารที่ถูกส่งไประจำการในแต่ละที่แต่ละแห่ง บางคนอยู่ที่โรงเรียน ที่มหาลัย ที่ทำงาน ที่องค์กรของรัฐ ที่ร้านขายของ เราไปอยู่ที่เหล่านั้นเพื่อสร้างสาวก  แล้ววันอาทิตย์เรามารวมพลนำสาวกที่เราไปสร้างไว้มา มารวมพลเล่าสู่กันฟังอาทิตย์ที่ผ่านมาเราทำอะไรในการสร้างสาวก นั่นคือคำพยาน คือพลัง คือการขับเคลื่อนของคริสตจักร

พระมหาบัญชาเป็นสิ่งที่กำหนดไว้สำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย  การสร้างสาวกเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่จะนำคนที่ห่างไกลจากพระเจ้าเข้ามาใกล้พระองค์ และในที่สุดคนนั้นก้าวเข้ามามีชีวิตเหมือนพระคริสต์  มันเป็นกระบวนการที่จะช่วยผู้คนให้ก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่

ในเบื้องต้น การสร้างสาวกเป็นกระบวนการเติบโต  การสร้างสาวกไม่ใช่โปรแกรมรายการที่เราจะไปยัดเยียด อัด ๆ ใส่เข้าไป  แต่ในการสร้างสาวกเราต้องทำให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ของคน ๆ หนึ่งกับพระเจ้า กับผู้อื่น และกับตัวเอง ไม่ใช่ความรู้ทางสมอง  เราเป็นเหมือนโค้ช ไม่ใช่ครูในชั้นเรียน  แบบอย่างของพระเยซูในการสร้างสาวกเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในวันอาทิตย์ หรือวันทำเซลล์ระหว่างอาทิตย์ และเกิดขึ้นนอกกำแพงคริสตจักร

จากการสำรวจพบว่าผู้ที่กลับใจเชื่อพระเจ้าเป็นคริสเตียน อย่างน้อยที่สุด 70 เปอร์เซ็นต์เป็นคริสเตียนเพราะมีเพื่อน หรือคนในวัยกลุ่มเดียวกันแนะนำ พูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง

คริสเตียนทุกคน สาวกทุกคน  ได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้สร้างสาวก นี่คือส่วนหนึ่งของการเป็น

คริสเตียน ส่วนหนึ่งของการเป็นสาวก คริสเตียนคือคนที่รู้จักพระเจ้า และไม่ใช่แค่นั้นแต่คริสเตียนต้องทำให้พระเจ้าเป็นที่รู้จักสำหรับคนอื่นด้วย  การเป็นคริสเตียนไม่ใช่การรู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซู แต่ต้องเป็นการรู้จักพระองค์  รู้เกี่ยวกับ กับ รู้จักแตกต่างกัน รู้จักพระเยซูคือการที่เรามีความสัมพันธ์มีความสนิทสนม  พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านายของเรา เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา เราใช้เวลากับพระองค์  เรารักพระองค์ พระองค์ทรงรักเรา นี่แหละคือการรู้จักพระเยซู

เราทำให้พระเจ้าเป็นที่รู้จักของใคร  ก็คนที่อยู่ในบริบทเพื่อนของเรา นี่เป็นกลุ่มคนที่ดีที่สุดที่พระเจ้ากำหนดในชีวิตเรา ในมัทธิว 9 มีตัวอย่างเรื่องนี้  พระเยซูทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์ที่นี่ พระเยซูทรงเรียกสาวกมาหาพระองค์ (ข้อ 9-109 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป   ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี   จึงตรัสกับเขาว่า   “จงตามเรามาเถิด”   เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป  10เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารอยู่ในเรือน   มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคน   เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู   และกับพวกสาวกของพระองค์  ผู้คนในข้อ 10 คือใคร คือเพื่อนของมัทธิว คือคนที่อยู่ในบริบทชีวิตมัทธิว คือคนเก็บภาษี คนบาปที่มาเข้าร่วมสำรับกับพระเยซูและพวกสาวก พวกเขากินอาหารด้วยกัน 9:11-13 11เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว   ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า   “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” 12เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า   “คนเจ็บต้องการหมอ   แต่คนสบายไม่ต้องการ 13ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ   ที่ว่า   เราประสงค์ความเมตตา  ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา   ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม   แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต”

พระเยซูทรงทำให้เราเห็นภาพ พระองค์เป็นเพื่อนกับคนบาป พระเยซูใช้เวลากับพวกเขา พูดคุยกับพวกเขา  กินอาหารด้วยกัน และจากนั้นคนเหล่านั้นติดตามพระองค์   เช่นกันในชีวิตเรา เราสร้างสาวกกับคนที่อยู่ในบริบทเพื่อนของเรา ที่เรารู้จักอยู่แล้ว ไม่ใช่กับคนแปลกหน้าที่ไหน แต่สร้างสาวกกับเพื่อนที่อยู่ในโรงเรียนของเรา มหาลัยเดียวกับเรา ในที่ทำงานเรา เพื่อนบ้านของเรา รวมทั้งคนในครอบครัวของเรา คนเหล่านี้อยู่ล้อมรอบเราตลอดเวลา

เราต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งใจเพื่อให้พระเจ้าเป็นที่รู้จักของพวกเขา

เราทุกคนต้องสร้างสาวก แม้แต่เด็ก ๆ ในคริสตจักรเด็กก็ต้องสร้างสาวก ยุวชน อนุชน คนหนุ่มสาว เราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ ต้องอยู่ในกระบวนการที่จะสร้างสาวก   นี่คือคำท้าทาย คือแรงบันดาลใจถึงเราทุกคนที่เราจะต้องช่วยเพื่อนของเราให้รู้จักพะเจ้า เติบโตในพระเจ้า  มีชีวิตเหมือนพระคริสต์โดยผ่านกระบวนการสร้างสาวก  อย่าให้บาปแห่งการเห็นแก่ตัวทำให้เราไม่ก้าวเข้ามาในกระบวนการที่พระเจ้ากำหนดไว้  จำคาอินได้  คาอินเห็นแก่ตัวไม่ดูแลน้องของเขา  หัวใจหลักของการสร้างสาวกคือความรัก ความรักของพระเจ้าที่ไม่เห็นแก่ตัว และโดยความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะหยุดบาปแห่งความเห็นแก่ตัว  ยอห์น 13 :1 1ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา   พระเยซูทรงทราบว่า   ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา   พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้   พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด

1 ยอห์น 3:16  16ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก   โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย   และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง

ถ้าหากเราทุกคนลุกขึ้นมาและเดินไปบนเส้นทางการสร้างสาวกแบบองค์รวม นำคนมารู้จักพระเจ้า นำเพื่อนของเรา คนที่อยู่รอบข้างเราเข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้า ถ้าหากเราทุกคนจะอุทิศเวลา ชีวิตที่จะอธิษฐานเผื่อเพื่อน คนรู้จักที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าหากเราทุกคนแคร์ สนใจ ห่วงใยคนเหล่านั้น เรากำลังทำให้พระสิริของพระเจ้าลงมา เรากำลังทำให้แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในชีวิตของผู้คน ชุมชน สังคมและชนชาติของเรา

คริสตจักรเป็นพลังที่หยุดไม่ได้ เป็นพลังที่มีอำนาจที่สุดในโลกนี้มีชัยชนะเหนือนรก คริสตจักรเป็นแผนการเดียวของพระเจ้าในการสร้างอาณาจักรของพระองค์ ไม่มีแผนอื่นใด คริสตจักรเป็นพลัง มีความเจริญ เป็นชุมชนที่มีการเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงเลือกคริสตจักร ทรงสร้างและเลี้ยงดูคริสตจักรเพื่อให้คริสตจักรสำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์ในการฟื้นฟูอาณาจักรพระเจ้า

มัทธิว 16:18-19 18ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร   และบนศิลานี้   เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้   และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้ 19เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน   ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก   สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์   เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก   สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย”

By admin