“เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน….”
ฟิลิปปี 4:4-7 4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด5 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ บ่อยครั้งที่เราจะปลอบใจคนอื่นด้วยคำหนุนใจมากมาย แต่พอถึงคราวตัวเองเจอเข้าบ้าง เรามักจะนึกไม่ออกว่าจะปลอบใจตัวเองอย่างไร มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เวลาคนเราเป็นทุกข์ เราอยากจะได้คำปรึกษา คำหนุนใจหรือระบายความอัดอั้นตันใจกับคนที่เราคิดว่าคนๆนั้นจะรับฟัง เข้าใจ และมีถ้อยคำที่จะให้กำลังใจเรา แต่ถ้าเราหาคนๆนั้นไม่มี แล้วเราต้องปรึกษาตนเอง คำพูดนั้นได้ย้ำว่า ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าการต้องปลอบใจตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความโดดเดี่ยว เดียวดาย ขาดเพื่อนที่จะเข้าใจ ผู้เขียนสดุดีได้เขียนบทหนึ่งด้วยการได้รำพึงรำพันคล้ายๆกันนี้ สดุดี 13:1 ข้าแต่พระเจ้า อีกนานเท่าใด พระองค์จะทรงลืมข้าพระองค์เสียเป็นนิตย์ หรือ พระองค์จะเบือนพระพักตร์จากข้าพระองค์นานเท่าใด โดยสภาวการณ์แห่งความทุกข์ยากแสนสาหัสทั้งทางจิตใจและร่างกายทำให้ดูเหมือนพระเจ้าทรงห่างไกล เพราะคนเรามักคิดว่า พระเจ้าจะทรงอยู่ใกล้ในเวลาที่เรามีความสุขสมหวังเท่านั้น แต่สำนวนที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวตอนนี้น่าจะสื่อสารถึงความทุกข์ที่ยากลำบากมากจนเวลาที่ผ่านไปแม้นาทีก็เนิ่นนานเหมือนเป็นปี จนต้องเปรียบเทียบเหมือนถูกพระเจ้าลืมเป็นนิตย์ แต่ความจริงแล้วพระเจ้าไม่ได้ลืมเลย บางทีเราแต่ละคนก็กำลังเผชิญกับสภาวการณ์บางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่า เมื่อไหร่จะสิ้นสุดเวลาแห่งความทรมานนี้เสียที ข้าพเจ้าได้ยกตัวอย่างในชั้นเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วด้วยคำถามว่า คุณคิดว่า หนึ่งนาทีที่ผ่านไปนานไม๊ ความจริงไม่นานเลย แต่เวลาข้าพเจ้าออกกำลังกายด้วยท่าใช้น้ำหนักตัวเอง ที่เรียกว่า แพล็งค์ (PLANK) ขอบอกว่า เป็นเวลาที่นานทรมานมาก เป้าหมายที่ชัดเจนทำให้ ข้าพเจ้ามีกำลังใจที่จะอดทนต่อเวลาแห่งความทรมานนี้ ไม่ทุกข์ร้อน แต่เต็มใจที่จะเผชิญกับมัน เพราะมันคือสุขภาพที่ดี กล้ามเนื้อท้องที่แข็งแรง รูปร่างที่สมส่วน และอะไรดีๆอีกมากมายกำลังรออยู่ข้างหน้า เช่นเดียวกัน 6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ นั่นคือการตั้งความหวังไว้ตรงหน้า ผู้เขียนหนังสือฟิลิปปีตอนนี้ได้แนะวิธีที่เป็นประโยคทองให้คริสเตียนในยุคต่อๆมาจนถึงเราทั้งหลายก็คือ จงใช้การอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ ที่จะทำให้ความร้อนใจกลายเป็นเย็นใจ ไว้วางใจพระเจ้า ถ้าเราหาเป้าหมายแห่งการทนทุกข์ลำบากได้ชัดเจน 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ อาเมน