“ชีวิตที่มีฤทธานุภาพ”
ชีวิตที่มีฤทธานุภาพ ไม่ใช่ชีวิตที่มีฤทธิ์เอาไว้เพื่อใช้สำหรับตัวเอง คำไทยมีคำว่า แผลงฤทธิ์ เป็นสำนวนของการกระทำของคนบางคนที่ไม่มีฤทธิ์ แต่มักจะแผลงฤทธิ์แผลงเดช นิยามในพจนานุกรมได้ให้ความหมายว่าหมายถึง อาละวาดด้วยความโกรธเพราะถูกขัดใจ ในพระคัมภีร์ใหม่ได้ใช้คำว่าแผลงฤทธิ์กับคนประเภทหนึ่งเช่นกัน ลูกา8:27-29 27 เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นบกแล้ว มีชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาพบพระองค์ คนนั้นมีผีเข้าสิง และนานแล้วมิได้สวมเสื้อมิได้อยู่เรือน แต่อยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ28 ครั้นเห็นพระเยซูเขาก็โห่ร้อง และกราบลงตรงพระพักตร์พระองค์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์มายุ่งกับข้าพระองค์ทำไม ขอพระองค์อย่าทรมานข้าพระองค์”29 ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ได้สั่งผีโสโครกให้ออกมาจากตัวคนนั้น (ด้วยว่าผีนั้นแผลงฤทธิ์ในตัวเขาบ่อยๆ และเขาถูกจำด้วยโซ่ตรวนแต่เขาได้หักเครื่องจำนั้นเสีย แล้วผีก็ขับเขาไปในที่เปลี่ยว) มาระโก 5:3-4 3 คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาอีกได้ แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่4 เพราะว่าได้ล่ามโซ่ใส่ตรวนหลายหนแล้ว เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสีย ไม่มีผู้ใดมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้ ใครที่อาละวาดด้วยความโกรธอยู่บ่อยๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ท่านอาจจะถูกล่ามโซ่ของสังคมในยุคนี้คือ บอยคอต ไม่อยากพูดอะไรด้วย ไม่อยากเตือน ไม่อยากสอน เพราะเดี๋ยวแผลงฤทธิ์แผลงเดชออกมาอีก และจงรู้เถิดว่า ถ้าคนไม่อยากยุ่งด้วย ผีก็จะมายุ่งแทน คนไทยมีสำนวนว่า ผีเข้าผีออก กับคนที่เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย คนประเภทนี้ผีไม่กลัว เพราะไม่มีฤทธานุภาพในชีวิต ส่วนคนที่ให้พระวิญญาณนำพาชีวิต จะมีฤทธานุภาพที่ผีจะกลัว ไม่กล้ายุ่งด้วย พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่า กิจการ 1:8 (2011) 8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” ฤทธานุภาพที่ฉบับ 2011 พูดถึง ในฉบับ 1971 ใช้คำว่า ฤทธิ์เดช คือสิทธิอำนาจที่ทำงานในผู้เชื่อเมื่อเกิดการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ให้พระวิญญาณฯทำงาน แทนที่จะให้เนื้อหนังทำงาน บันทึกเมื่อสองพันปีที่แล้วได้บอกเราว่า ชีวิตผู้เชื่อที่มีฤทธานุภาพ เริ่มต้นจากการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสำแดงออกเป็นภาษาลิ้น เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นในวันเพนเตคอสต์ ซึ่งเป็นวันฉลองครบวันที่ห้าสิบหลังจากเทศกาลปัสกา ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เหล่าสาวกของพระเยซู120คนได้รวมตัวกันอธิษฐานที่ห้องชั้นบน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาปกอยู่เหนือพวกเขา จึงได้เริ่มต้นพูดภาษาต่างๆ 120 คนอยู่รวมกันในห้องเดียวกัน ส่งเสียงดัง ในกรุงเยรูซาเล็ม ผู้คนคงจะแตกตื่นว่าเกิดอะไรขึ้น กิจการ 2:1-8 1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด 5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดว่า “ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา….ชีวิตที่มีฤทธานุภาพได้เริ่มต้นแล้ว จากประสบการณ์การพูดด้วยภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจ แต่เจ้าของภาษาเข้าใจและความหมายในวันนั้นคือการสรรเสริญถึงกิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ข้อ 12-13 …เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง” 12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน” 13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่” จึงเป็นที่มาของเปโตรที่ได้ใช้ฤทธานุภาพจากการพูดภาษาลิ้นด้วยการพูดภาษาฮีบรูกับคนยิวทั้งหมดทั้งยิวที่อิสราเอลและยิวที่มาจากที่อื่น หนังสือกิจการ 2:14-21,33,37-41 (2011) 14 แต่เปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และกล่าวกับเขาทั้งหลายด้วยเสียงดังว่า “พี่น้องชาวยิวกับทุกท่านที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า15 คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด เพราะว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น16 แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า 17 ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น 18 แน่ทีเดียวเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเรา บนทาสทาสีของเรา และเขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ19 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบน และ หมายสำคัญที่แผ่นดิน เบื้องล่าง เป็นเลือด ไฟ และไอควัน 20 ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด ก่อนถึงวันยิ่งใหญ่และสง่างามของพระเจ้า 21 และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนที่ร้องขอในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความรอด’….และเมื่อพระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาแล้ว พระองค์ทรงเทลงมาดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็น….37 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?”38 เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์39 เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า”40 เปโตรจึงกล่าวอีกหลายเรื่องเป็นพยานและเตือนสติพวกเขาว่า “จงเอาตัวรอดจากชาติพันธุ์ที่คดโกงนี้เถิด”41 คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน
เปโตรกำลังอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหล่าสาวกนี้ซึ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจว่าเป็นไปได้อย่างไร มันคือฤทธานุภาพที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่พระคัมภีร์เดิมได้บันทึกและพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ว่า พระเจ้าจะเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาเหนือประชากรของพระองค์ เป็นฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ ทำให้สาวกของพระเยซูผู้ที่ได้รับพระวิญญาณจากพระเยซูรับบัพติศมาเต็มล้นในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้พวกเขาพูดสิ่งที่ไม่เคยพูด รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ยกย่องพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยยกย่อง
ในการสอนเรื่องการอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ตอนหนึ่ง พระเยซูได้สอนว่า มัทธิว 6:6-7 6 ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน7 “แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง8 อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว ถ้าอย่างนั้น สาวกของพระเยซูจะอธิษฐานยังไงที่แตกต่างจากคนต่างชาติ นั่นคือการอธิษฐานโดยการนำของพระวิญญาณฯ ไม่ใช่การนำของเนื้อหนัง คำว่า เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว นั่นแสดงว่า เวลาอธิษฐาน อย่าใช้ความต้องการของเนื้อหนังอธิษฐาน แล้วใช้อะไรอธิษฐาน พระเยซูกำลังบอกกับสาวกของพระองค์ว่า ให้ใช้ฤทธานุภาพของพระวิญญาณอธิษฐานนั่นเอง เพราะพระเจ้าจะฟังผู้ที่อธิษฐานด้วยฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณเท่านั้น นี่เป็นคำตอบว่า ทำไมคำอธิษฐานของเราจึงไม่เกิดผล ไม่มีฤทธิ์เดช สิ่งนี้ไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่หนังสือยากอบ5:16 ที่กล่าวว่า คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล The effectual fervent prayer of a righteous man availeth muchภาษาอังกฤษใช้คำว่า คำอธิษฐานที่กระตือรือร้นของผู้ชอบธรรมทำให้เกิดผลมาก คำว่า กระตือรือร้น คำนี้ ภาษากรีกใช้คำว่า energeo มาจากรากศัพท์ที่ใช้คำว่า powerful แปลว่า มีพลังโน้มน้าว การทูลขอจากพระเจ้าที่จะเกิดประสิทธิผล ต้องมีพลังการโน้มน้าวให้พระเจ้าฟัง 1โครินธ์ 2:11 11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น เราคิดว่า อะไรคือพลังที่จะโน้มน้าวให้พระเจ้าจากฟ้าสวรรค์ตอบคำอธิษฐานของเรา นั่นคือ พลังที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังคำอธิษฐานของเรา พระวิญญาณทรงรู้จังหวะของการฟังคำอธิษฐานของพระเจ้าในชีวิตของเรานั่นเอง เมื่อคนยิวในเวลานั้นได้ฟังเปโตรกล่าวถึงฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในผู้เชื่อ คนยิวเหล่านั้นเข้าใจ และถามทันทีว่า เขาต้องทำอย่างไร เพราะนี่คือพระสัญญาของพระเจ้าที่เขามีสิทธิ์ได้รับ เขาถามเพราะเขามาถึงเยรูซาเล็มก็เพื่อจะให้คำอธิษฐานของเขาไปถึงพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะฟัง จะตอบ และทำกิจของพระองค์ในชีวิตของพวกเขา ในข้อ 38 เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์39 เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า
นอกจากยิวที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราทั้งหลายคือผู้ที่อยู่ไกล ที่พระเจ้าทรงเรียกให้มาเฝ้า เราทุกคนที่มาในวันนี้ เพราะเรากลับใจใหม่ เรารับบัพติศมาในน้ำ เรารับการยกความผิดบาปจากพระเจ้าแล้วเราก็มานั่ง มายืน ลุกๆนั่งๆ ในวันอาทิตย์และกลับบ้านไปดำเนินชีวิต เพื่ออะไร เพื่ออะไร…… เพื่อพระเจ้าจะฟังเรา พระเจ้าจะตอบเรา พระเจ้าจะช่วยเรา พระเจ้าจะใช้เรา พระเจ้าจะทำอะไรอีกมากมายผ่านเรา ใช่ไม๊ ….. เราต้องการชีวิตที่มีฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ถามตัวเราเองว่า ทำไม เราจึงขาดอิทธิพลกับคนอื่นในทางบวก ความจริงเราต้องแตกต่างจากคนที่ไม่มีพระเจ้า คนที่ไม่มีพระเจ้ากลัวผี คริสเตียนก็กลัวผี ความจริง ผีต้องกลัวเรา เราไปไหน ใครมีผีต้องกลัวเรา ใครทำบาปต้องกลัวเรา เพราะเราไม่ทำบาป เราเป็นเหมือนยาฆ่าเชื้อโรค ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่าท่านทั้งหลายเป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง เพราะสองสิ่งนี้คือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค หยุดการเจริญเติบโตของเชื้อที่ทำให้เน่าเสีย ดังนั้น เราอยู่ที่ไหน คนที่มีเชื้อไม่ดี จะกลัว ไม่กล้าทำต่อไป นี่คือฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณที่ทำงานในตัวเรา นี่คือเหตุผลที่เหล่าอัครทูตในยุคสมัยนั้น จึงให้ความสนใจกับการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในผู้เชื่อ กิจการ 19:1-6 1 ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น2 จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย”3 เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น”4 เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู”5 เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า6 เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และได้ทำนายด้วย สัญญาณที่สำแดงในชีวิตที่มีฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณฯ
1.กล้าหาญในการเป็นพยาน กิจการ 4:31
31 เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ เปโตรที่เคยกลัวแม้กระทั่งเด็กรับใช้ที่ตั้งคำถามว่าอยู่กับพระเยซูหรือไม่ เปโตรปฏิเสธถึงสามครั้ง แต่วันนั้น เปโตรลุกขึ้นประกาศตัวอยู่กับพระเยซูต่อหน้าคนยิวในกรุงเยรูซาเล็มและคนยิวจากทั่วโลกมากกว่าสามพันคน นี่คือความกล้าหาญจากฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เปลี่ยนคนกลัวการยอมรับพระเยซูต่อหน้าคนอื่นกลาย เป็นคนที่กล้าหาญในการเป็นพยานเพื่อพระเยซู สิ่งที่น่าสังเกตอันหนึ่งคือ เปโตรมีสิทธิอำนาจในกาารตรึงคนมากกว่าสามพันคนให้ฟังเสียงพูดเป็นเวลานานพอสมควรอย่างมีสมาธิ นี่ก็คือฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำงานผ่านเปโตร อีกคนหนึ่งคือเปาโล กิจการ 9:17-18 17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์”18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา คำว่า เต็มบริบูรณ์ ก็คือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ทำให้เปาโลหายจากตาบอด มองเห็นได้ และยอมที่จะรับบัพติศมาในน้ำกับคนยิวที่เปาโลมีศักดิ์ศรีที่สูงกว่า แต่ยอมถ่อมใจให้กดหัวลงน้ำ นี่เป็นฤทธานุภาพที่เกิดขึ้นในชีวิต อ.เปาโลเปลี่ยนไปคนละคน ความโกรธที่เคยมีกับคนยิว ทิฐิ ความก้าวร้าว ความทะนงตน ถูกฤทธานุภาพที่อยู่ในชีวิตออกฤทธิ์นำการเปลี่ยนแปลง ฤทธานุภาพจะทำงานภายในตัวเราก่อนที่จะไปทำงานในคนอื่น กิจการ 9:26-30 26 ครั้นเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านใคร่จะคบให้สนิทกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครทูต และเล่าให้เขาฟังว่า เซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซู ด้วยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส28 แล้วเซาโลเข้านอกออกใน อยู่กับพวกอัครทูตในกรุงเยรูซาเล็ม29 ประกาศออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดและไล่เลียงกับพวกที่นิยมกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย30 เมื่อพี่น้องรู้อย่างนั้น จึงพาท่านไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งไปยังเมืองทาร์ซัส 31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียจึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ประพฤติตนด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และด้วยรับความหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น
2.ผีกลัว ขับผี วางมือรักษาโรค กิจการ 19:11-20
11 พระเจ้าได้ทรงกระทำอิทธิฤทธิ์อันพิสดารด้วยมือของเปาโล12 จนเขานำเอาผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนจากตัวเปาโลไปวางที่ตัวคนป่วยไข้ โรคนั้นก็หายและผีร้ายก็ออกจากคน13 แต่พวกยิวบางคน ที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้า ขับผีร้ายว่า “เราสั่งเจ้าโดยพระเยซูซึ่งเปาโลได้ประกาศนั้น”14 พวกยิวคนหนึ่งชื่อเสวาเป็นปุโรหิตใหญ่ มีบุตรชายเจ็ดคนซึ่งทำอย่างนั้น15 ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่า “พระเยซู ข้าก็คุ้นเคย และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า”16 คนที่มีผีสิงนั้น จึงกระโดดใส่คนเหล่านั้นและต่อสู้จนชนะเขาได้ เขาต้องหนีออกไปจากเรือนตัวเปล่าและมีบาดเจ็บ17 เรื่องนั้นได้ลือกันไปถึงหูคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองเอเฟซัส ทั้งพวกยิวกับพวกกรีก และคนทั้งปวงก็พากันมีความเกรงกลัว และพระนามของพระเยซูเจ้าก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ18มีหลายคนที่เชื่อแล้วได้มาสารภาพและเปิดเผยว่า เขาได้ใช้เวทมนตร์19 และหลายคนที่ใช้เวทมนตร์คาถา ได้เอาตำราของตนมาเผาไฟเสียต่อหน้าคนทั้งปวง ตำราเหล่านั้น คิดเป็นราคาเงินถึงห้าหมื่นเหรียญ20 พระวจนะของพระเจ้าก็บังเกิดผลเจริญและมีชัย
เราจะเห็นบุตรเสวาพยายามเลียนแบบผู้เชื่อโดยการขับผีด้วยพระนามของพระเยซู แต่ผีไม่ออก ผีไม่กลัว เพราะคนๆนั้นไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีฤทธานุภาพของพระเจ้าอยู่ในเขา 15 ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่า “พระเยซู ข้าก็คุ้นเคย และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า”16 คนที่มีผีสิงนั้น จึงกระโดดใส่คนเหล่านั้นและต่อสู้จนชนะเขาได้ เขาต้องหนีออกไปจากเรือนตัวเปล่าและมีบาดเจ็บ คำที่ผีมันใช้พูดว่า มันรู้จักพระเยซู คือคำว่า กินอสโค คือ มันรู้ดีที่สุด ว่าพระเยซูคือพระเจ้าที่มันต้องเกรงกลัว และระวังที่จะไม่เข้าใกล้ ส่วนเปาโล ผีมันคุ้นเคย เพราะเปาโลเปลี่ยนไปแล้ว เปาโลไม่เหมือนเดิม เปาโลเป็นคนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มล้นบริบูรณ์ เป็นคนที่กำลังรับใช้พระเจ้า ผีมันคุ้นเคย คำกรีกใช้คำว่า อีพิสตัมไอ ซึ่งเป็นคนละคำกับคำว่า กีนอสโคที่ผีมันใช้กับพระเยซูที่มันรู้จัก มันรับรู้การเปลี่ยนแปลงการกลับใจใหม่ของเปาโล ซึ่งเมื่อผีมันรับรู้ มันคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ที่มันต้องระวัง ไม่เข้าใกล้ เพราะเป็นชีวิตที่เอาผีอยู่ ตัวอย่างเหมือนกับสุนัขที่พร้อมจะสู้กับสิ่งที่มันไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักว่าใครเป็นนาย มันจะรู้จักแต่คนที่เป็นนายมันและคนที่เอามันอยู่ มันคุ้นเคยกับคำสั่ง และสิทธิอำนาจ นอกเหนือจากนั้น มันกัดลูกเดียว ชีวิตที่มีฤทธานุภาพ จะเป็นชีวิตที่มารมันกลัว เพราะมันคุ้นเคยว่า เอามันอยู่ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกิจที่อัศจรรย์ผ่านชีวิตที่มีฤทธานุภาพ
3.กล่าวคำพยากรณ์ เห็นนิมิต และฝันเห็น กิจการ 2:16-18
16 แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า 17 ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น 18 แน่ทีเดียวเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเรา บนทาสทาสีของเรา และเขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ
คำพยากรณ์ นิมิต ความฝัน เป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่ไม่มีให้มี ให้เกิด ให้เป็นจริง เป็นเรื่องของความหวัง เป็นเรื่องของชีวิต ฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณทำให้สิ่งที่เหนือธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้น กิจการ 11:25-30 25 บารนาบัสจึงไปหาเซาโลที่เมืองทาร์ซัส26 เมื่อพบแล้วจึงพามายังเมืองอันทิโอก ท่านทั้งสองได้ประชุมกันกับคริสตจักรตลอดปีหนึ่ง ได้สั่งสอนคนเป็นอันมาก และในเมืองอันทิโอกนั่นเอง พวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก 27 คราวนั้นมีพวกผู้เผยพระวจนะลงมาจากกรุงเยรูซาเล็ม จะไปยังเมืองอันทิโอก28 ฝ่ายผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัส ได้ลุกขึ้นกล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า จะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้น ได้บังเกิดขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิคลาวดิอัส29 พวกสาวกทุกคนจึงตกลงใจว่า จะเรี่ยไรกันตามกำลังฝากไปช่วยบรรเทาทุกข์พวกพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดีย30 เขาจึงได้ทำดังนั้น และฝากไปกับบารนาบัสและเซาโลเพื่อนำไปให้พวกผู้ปกครอง ชีวิตที่มีฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้คริสตจักรได้รับคำพยากรณ์ล่วงหน้าถึงกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้น และทำให้เกิดการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาทุกข์ คริสตจักรขับเคลื่อนโดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตจักรตอบสนองได้ทันที อย่างไม่ลังเลใจ เพราะนี่คือการสำแดงอย่างแม่นยำที่มาจากพระเจ้า คริสเตียนที่มีฤทธานุภาพแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่พลาดโอกาสงามๆ โอกาสที่ดีๆ โอกาสที่จะช่วยเหลือคนและรับการช่วยเหลือ ในยามที่คับขัน ยามที่ความยากลำบากกำลังคืบคลานเข้ามา ชีวิตที่มีฤทธานุภาพสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ เปาโลได้กล่าวประโยคทองที่พลังมากมาย ฟิลิปปี 4:13 13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า การเสริมกำลังที่มาจากพระเจ้า นั่นก็ฤทธานุภาพนั่นเอง อาเมน
“ชีวิตที่มีฤทธานุภาพ”
1.กล้าหาญในการเป็นพยาน
2.ผีกลัว ขับผี วางมือรักษาโรค
3.กล่าวคำพยากรณ์ เห็นนิมิต และฝันเห็น