“ชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เวลาเราพูดถึงคำว่า เป็นคนธรรมดานั้น หมายถึงคนที่ไม่มีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง ไม่ได้มีหน้ามีตา ไม่ได้มีชีวิตที่หรูหรา วิเศษวิโสอะไรกว่าใคร ก็คือคนธรรมดาสามัญ มนุษย์ที่เท้าติดดิน กินข้าวแกงจานละไม่กี่บาท และคำว่า ไม่ธรรมดานั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคนๆนั้นกลายเป็นเทวดา แต่ไม่ธรรมดานั้น แปลว่า น่าสนใจ เพราะในความธรรมดานั้น มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากคนธรรมดา ในขณะที่เขายังดำเนินชีวิตอย่างคนธรรมดา ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Remarkable คือมีความเด่น ความเหนือกว่าคนธรรมดา ซึ่งเงินทอง ชื่อเสียง และฐานะไม่สามารถบันดาลให้ได้ และคริสเตียนในยุคเมื่อสองพันปีที่แล้วได้สัมผัสชีวิตที่ไม่ธรรมดานี้หลังจากได้มีประสบการณ์กับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่ได้พบเจอกับคริสเตียนในยุคนั้นถึงกับใช้สำนวนที่มีความหมายว่าไม่ธรรมดากับคริสเตียนในยุคนั้น ปรากฏในหนังสือ กิจการ 4:13-16 13 เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู14 เมื่อเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดขึ้นได้15 แต่เมื่อสั่งให้เปโตรกับยอห์นออกไปจากที่ประชุมแล้ว เขาจึงปรึกษากัน16 ว่า “เราจะทำอย่างไรกับคนทั้งสองนี้ เพราะการที่เขาได้กระทำหมายสำคัญอันเด่น คนทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้กันแล้วและเราปฏิเสธไม่ได้ ชีวิตที่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจากการกระทำที่สำคัญอันเด่น คนเหล่านั้นสำนึกว่า คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้เคยอยู่กับพระเยซู ที่คนในยุคนั้นใช้คำว่า พวกสาวกเคยอยู่กับพระเยซู เพราะพวกเขาคือคนที่ตรึงพระเยซูตาย และเห็นพระเยซูตายไปบนไม้กางเขนกับสายตา พวกเขาจึงใช้คำว่า เคยอยู่กับพระเยซู หมายถึงพระเยซูไม่อยู่แล้ว แต่คนที่เรียกเปโตรกับยอห์นว่า คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ไม่ได้มีประสบการณ์กับการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์อย่างเปโตรและยอห์น คำว่า สำนึกว่า คนเหล่านี้เคยอยู่กับพระเยซู คำว่าสำนึก รากศัพท์ภาษากรีก แปลว่า ได้เห็นเครื่องหมายบางอย่าง หรือสังเกตเห็นลักษณะที่เด่น 1โครินธ์ 2:14-15 14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ15 แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนนั้นได้ สิ่งที่ทำให้สาวกของพระเยซู คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาก็คือ เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่วิจัยสิ่งสารพัดได้ คนที่เคยอยู่กับพระเยซูจะเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากการเปลี่ยนศาสนา ถ้าคุณเปลี่ยนแค่จากศาสนาเดิมมาเป็นนับถือคริสต์ แต่ไม่เคยมีประสบการณ์การอยู่กับพระเยซูคริสต์ คุณก็จะเห็นว่า ชีวิตของคุณก็ยังเหมือนเดิม คนรอบข้างก็เห็นคุณเหมือนเดิม เป็นแค่คนนับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับสำนวนที่อ.เปาโลใช้เรียกคนที่มีประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์ในยุคนั้นว่า โรม16:19 การซึ่งท่านทั้งหลายได้เชื่อฟังก็เลื่องลือไปถึงหูคนทั้งปวงแล้ว ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเพราะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านเชี่ยวชาญในการดี และให้เป็นคนทึ่มในการชั่ว ตรงกันข้ามก็คือ ทึ่มในการดี และเชี่ยวชาญในการชั่ว ทึ่มในการดี คือความไม่สามารถวิจัยสิ่งสารพัดได้ อย่าว่าแต่สิ่งสารพัดเลย แม้แต่ความดีเล็กๆน้อยๆก็ไม่สามารถคิดได้ คำว่า วิจัยสิ่งสารพัดได้ คือสามารถเข้าใจจิตใจของคน จึงทำให้เชี่ยวชาญในการตอบสนองจิตใจของคนได้ คืออ่านจิตใจของคนอย่างทะลุ เหมือนกับเปโตรที่เพ่งมองดูคนง่อยและรู้ถึงความต้องการของคนง่อย คนง่อยวไม่ได้มีความต้องการแค่ของปากท้องเท่านั้น แต่ยังมีความต้องการคือการหายดี มีคำภาษาอังกฤษคำว่า Concern ที่แปลว่าห่วงใย ภาษาอังกฤษมีสำนวนความหมายนี้ว่า Make them feel good about themselves not feel good about ourselves. แปลไทยว่า ทำให้คนๆนั้นรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ใช่ทำให้เขารู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเรา ผู้ที่เชี่ยวชาญในการทำดี จะทำให้คนนั้นรู้สึกดีเกี่ยวกับตนเอง ไม่ใช่รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ รู้สึกแย่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้และต้องเป็นเบี้ยล่างคนอื่น คำสอนของพระเยซูคริสต์แก่สาวกของพระองค์ได้ให้ไว้อย่างนี้เช่นกัน มัทธิว5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ คนที่ได้รับการปรนนิบัติ ได้รับความใส่ใจจากผู้เชี่ยวชาญในการดี จะรู้สึกว่า เขาอยากสรรเสริญพระเจ้า การกระทำของเปโตรและยอห์น คือการพยุงให้คนง่อยลุกขึ้น แต่คนง่อยสรรเสริญพระเจ้า เพราะประสบการณ์กับพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า คนง่อยหายดี จึงวิ่งเข้าไปในบริเวณพระวิหาร กระโดดโลดเต้นและสรรเสริญพระเจ้า คนง่อยผู้มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระนามของพระเยซูไม่ได้มองเปโตรกับยอห์นเป็นผู้วิเศษ แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์กลับมองดูเปโตรและยอห์นเป็นผู้วิเศษ เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มีประสบการณ์กับพระนามของพระเยซู คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจะรู้ว่า สิ่งที่ทำให้พวกเขาเด่นชัดคือพระเยซูคริสต์ มิใช่ด้วยตัวของเขาเอง กิจการ 3:12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยเรื่องของคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของเราเอง เปโตรสามารถวินิจฉัยความคิดวิธีมองของคนอีกกลุ่มหนึ่ง นี่คือความไม่ธรรมดาในชีวิตของคนที่ตระหนักว่า เขาคือคนธรรมดาที่ทำการอัศจรรย์ของพระเจ้า เราจะมาดูคริสเตียนรุ่นนำร่องชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของเปโตรและยอห์นในตอนนี้จากหนังสือกิจการ 3:1-10 1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานเป็นเวลาบ่ายสามโมง2 มีคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่คลอดออกมา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูเราเถิด”5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่าน6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร ด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่คนนั้น ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอย่างเปโตรและยอห์น คืออะไร
1.สายตาที่มองเห็นความต้องการของคนป่วย กิจการ 3:1-7
1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานเป็นเวลาบ่ายสามโมง2 มีคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่คลอดออกมา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูเราเถิด”5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่าน6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง การมองของเปโตรและยอห์นสามารถอ่านความคาดหวังระดับตื้นและลึกของคนง่อยได้ ระดับตื้นคือความคาดหวังสิ่งที่เป็นเงินทอง ส่วนความคาดหวังระดับลึกนั่นคือ การหายดี เปโตรและยอห์นปฏิเสธความคาดหวังระดับตื้น จากความจำกัดของพวกเขาเอง ลองคิดดูว่า ถ้าพวกเขามีเงิน เขาก็คงจะให้เงินด้วย แต่เพราะพวกเขาไม่มี ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เวลานั้น เปโตรและยอห์นไม่มีเงินจริงๆ ไม่ใช่คำโกหก แต่มันคือความจริง บางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้เราอยู่ในความติดขัด ไม่มี ทำให้เราใช้ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ถ้าเรามี เราก็จะคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความเชื่อ พระเยซูสอนเรื่องการละความกระวนกระวายเรื่องปากท้อง เพื่อให้สาวกของพระองค์เรียนรู้การไว้วางใจพระเจ้า ดังนั้น จะมีบางครั้งที่เราจะต้องเข้าสู่ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้การไว้วางใจพระเจ้าในภาวะที่ไม่มี แต่ไม่ใช่ไม่มีตลอดไป มัทธิว 6:31-33 31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ คำสอนของพระเยซูตอนนี้เพื่อให้เราเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ แต่จะไม่ธรรมดาเมื่อเราเผชิญกับเรื่องปากท้องด้วยสายตาอย่างคนที่ไว้วางใจการเลี้ยงดูของพระเจ้า โดยการเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้อย่างถูกต้อง ทุกวันนี้ คนมากมายรวมทั้งคนของพระเจ้าเรียงลำดับไม่ถูกต้อง เอาเรื่องปากท้องมาก่อน ทำให้เป็นเหตุทำลายความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และกับตัวเอง เรื่องของปากท้องทำให้ตาใจของคนมืดบอด มองไม่เห็นความต้องการระดับลึกของคนอื่น มีความสามารถแค่มองเห็นความต้องการระดับตื้นเท่านั้น นี่คือความป่วยทางสายตาฝ่ายวิญญาณ พระเยซูได้ตรัสเรื่องนี้ว่า มัทธิว6:22-23 22 “ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย23 แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ สายตาที่มองเห็นความต้องการของคนป่วย คือสายที่มีความสว่างสามารถมองเห็นความป่วยฝ่ายวิญญาณที่เป็นสาเหตุของความป่วยฝ่ายร่างกายได้ เมื่อเปโตรตอบความจริงว่า ตนเองไม่มีเงินเพื่อตอบสนองต่อขอทานง่อยได้ เปโตรไม่ได้เดินหนีไป แต่ได้ให้สิ่งที่เปโตรมี คือความเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ 6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง ไม่เพียงให้ความเชื่อ แต่ลงแรงพยุงด้วยกำลังของตนเองด้วย ด้วยมือขวา คือส่วนที่มีกำลังอย่างตั้งใจที่สุดที่จะให้ความเชื่อของตนเองทำงาน ความเชื่อที่มีการประพฤติคือภาพนี้ กิจการ 4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” รากศัพท์ภาษากรีกคำว่า ความรอดแปลว่า สมบูรณ์ สุขภาพดี (บำบัดรักษา) เปโตรได้พูดประโยคนี้ในบทต่อมาเพื่ออธิบายความหมายของความรอด หลังจากที่คนง่อยได้หายจากง่อยด้วยพระนามพระเยซูที่เปโตรใช้ความเชื่อด้วยพระนามนี้ เปโตรเข้าใจชัดเจนแล้วว่า ความรอดที่แท้จริง คือปัจจุบันมิใช่อนาคตอย่างเดียว ความรอดที่แท้จริง คือการหายดี ความรอดที่แท้จริงสามารถตอบโจทย์ชีวิตของคนที่กำลังตกอยู่ในสภาวะที่ป่วย ช่วยตัวเองไม่ได้ ป่วยจนมองเห็นตัวเองอยู่รอดไปวันๆด้วยแค่เรื่องของปากท้อง แต่เมื่อเปโตรและยอห์นได้นำความรอดที่แท้จริงมาใช้กับคนง่อย คนง่อยหายดี มีกำลัง กระโดดขึ้นยืน คนง่อยเลิกสนใจเรื่องปากท้อง เพราะเปโตรและยอห์นได้เรียกให้คนง่อยมองดูเขาที่ธรรมดา แต่มีสิ่งที่น่าสนใจที่ไม่ธรรมดาคือพระนามพระเยซู การเปลี่ยนมุมอง เปลี่ยนความสนใจเรื่องเงิน มาเป็นเรื่องตัวของคนง่อยที่จะยืนขึ้นได้ ทั้งพูดให้ได้ยิน ทั้งดึงให้ลุกขึ้น นี่คือความไม่ธรรมดาของเปโตรและยอห์น คนธรรมดาๆที่ไม่มีเงินทอง แต่มีสองมือ สองเท้า มีปาก มีความเชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์ พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ เราไม่มีเงินทอง แต่เรามีสองมือ สองเท้า มีปาก และมีความเชื่อในพระนามของพระเยซู เราได้ใช้ความเชื่อในพระนามพระเยซูเพื่อทำให้ชีวิตที่ธรรมดาของเราไม่ธรรมดาอย่างไร เราเชื่อไม๊ว่า ความรอดที่เราได้รับ อยู่กับเราแล้วในตอนนี้ คือ ความสมบูรณ์และการบำบัดรักษา คำว่า ความรอดที่เรามักนำมาใช้กับอนาคต ว่าเราจะได้ตามพระสัญญาคือหลังจากเราตาย แล้วขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ความรอดนี้ได้ทำอะไรกับเราได้บ้าง นี่คือสิ่งที่ผู้เข้าค่ายบำบัดภายในเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เรียนรู้ คือคำว่า หายดี เราสามารถหายดี หายจากเป็นง่อยฝ่ายวิญญาณได้ หลุดจากความขมขื่นได้ มุมมองชีวิตเปลี่ยนเพราะความรอดคือปัจจุบัน คือกระบวนการบำบัดรักษาเราให้แข็งแรง และยังทำให้เราเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คือเราจะนำการรักษานี้ไปส่งต่อให้กับคนอื่นด้วย
2. แม้ไม่ธรรมดาแต่ยังเป็นคนธรรมดา กิจการ 4:8-10
8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร ด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่คนนั้นชีวิตธรรมดาของคนง่อยกลายเป็นไม่ธรรมดาเมื่อเขาหายดี และเลิกขอทาน ไม่สนใจเรื่องปากท้องมากไปกว่าการเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าในพระวิหาร เขาสามารถเข้าไปในพระวิหารได้ บริเวณพระวิหารไม่อนุญาตให้คนพิการซึ่งถือว่ามีตำหนิเข้าไป แต่คนง่อยได้เริ่มต้นชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปที่ปราศจากตำหนิ คือ หายดี และเข้าไปอธิษฐานและนมัสการพระเจ้าอย่างคนธรรมดาๆที่หายดี นี่คือความไม่ธรรมดาที่อยู่ในคนธรรมดา นี่คืออาการของคนที่ได้รับความรอดที่แท้จริง เราลองจินตนาการใบหน้าของคนที่อยู่ในศาลที่ผู้พิพากษากำลังจะอ่านคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิต แต่คำพิพากษากลับกลายเป็นไม่ประหารและมีอิสรภาพอีก คนที่รับคำพิพากษาจะมีใบหน้ายังไง หันไปมองคนข้างๆ แล้วถามว่า ตอนนี้หน้าของฉันเหมือนคนได้รับข่าวร้าย หรือข่าวดี การตายของพระเยซูบนไม้กางเขน คือคำพิพากษาที่ได้เปลี่ยนจากการประหารชีวิตผู้ทำบาป ให้กลับเป็นรอดชีวิต คือเราทั้งหลาย คำพิพากษานี้ได้ประกาศตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว แต่วันนี้ หน้าตาของพวกเราหลายคนที่นมัสการพระเจ้า เหมือนกำลังต้องคำพิพากษาอยู่ ไม่เหมือนคนง่อยที่หายดีที่กำลังเต้นโลดในพระวิหารสรรเสริญพระเจ้า ทำไมเราจึงไม่เหมือน ทำไมการเป็นคนธรรมดาของเราจึงไม่น่าสนใจสำหรับเพื่อนบ้านของเรา เพื่อนร่วมงานของเรา เพื่อนร่วมโรงเรียนของเรา เพื่อนลูกค้า เพื่อนธุรกิจของเรา เพราะหน้าตาของเราเหมือนคนที่กำลังจะถูกนำไปประหารหรือคนที่รอดจากการประหาร หน้าของเรากำลังชื่นชมยินดี หรือกำลังโกรธใครมาร้อยปี ชีวิตของเราเหมือนคนง่อยขอทานที่นั่งอยู่ที่ประตูงาม ไม่หายสักที ไม่สามารถเข้าไปนมัสการเหมือนคนหายดีได้ อยู่แค่หน้าพระวิหาร ไปไม่สุดในการนมัสการ เราเคยสังเกตคนที่กระโดดโลดเต้นในการนมัสการพระเจ้าไม๊ว่า พวกนี้บ้าหรือเปล่า ในขณะที่เราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการนมัสการ ไม่รู้ใครบ้ากันแน่ เมื่อกษัตริย์ดาวิดนมัสการพระเจ้า ดาวิดโลดเต้นที่ท้องถนน 2ซามูเอล 6:16,20-23 และขณะเมื่อหีบของพระเจ้าเข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายแด่พระเจ้า และนางก็มีใจหมิ่นประมาท…20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวนะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าสาวใช้ของข้าราชการ อย่างกับคนถ่อยแก้ผ้าด้วยไม่มีความอาย”21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า “เป็นงานที่ถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของพระเจ้า และเราจึงจะร่าเริงต่อพระพักตร์พระเจ้า22 เราจะถ่อมตัวของเราลงยิ่งกว่านี้อีกให้ปรากฏแก่ตาของเราเองว่าเป็นคนต่ำ แต่โดยพวกสาวใช้ที่เจ้าพูดถึงนั้น เราจะเป็นผู้ที่เขาถือว่ามีเกียรติ” 23 และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ พระเจ้าได้เปลี่ยนชีวิตที่ธรรมดาของดาวิดทำให้ดาวิดกลายเป็นคนไม่ธรรมดา เพราะการให้ความสำคัญกับการนมัสการพระเจ้า จนพระเจ้าได้ให้ดาวิดมาแทนกษัตริย์ซาอูล ซาอูลในขณะที่เป็นกษัตริย์แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการนมัสการพระเจ้า เขาจึงถูกแทนที่โดยเด็กหนุ่มอย่างดาวิด ที่ใช้ชีวิตธรรมดา แม้ดาวิดจะได้เป็นกษัตริย์แล้ว ดาวิดยังคงชีวิตที่ธรรมดาต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า คือการนมัสการพระองค์โดยไม่ได้มีฟอร์มของการเป็นกษัตริย์ มีคาลลูกสาวกษัตริย์ซาอูลดูหมิ่นดาวิด เพราะฟอร์มของพ่อที่นางยังยึดติดอยู่ติดตัวนางมาด้วย และสิ่งที่ทำให้ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นกับดาวิด คือชีวิตธรรมดาๆในความฐานะที่ไม่ธรรมดา และนี่คือความไม่ธรรมดาที่ต่อเนื่อง คนที่คิดว่าตนเองวิเศษ หรือดีกว่าคนอื่น คือคนธรรมดาที่พยายามที่จะทำตนเองให้เป็นเทวดา เป็นชีวิตที่เหมือนเทวดาตกสวรรค์ที่รอคอยการลงโทษอย่างเดียว พระคัมภีร์พูดถึงเทวดาตกสวรรค์ คือทูตสวรรค์ที่กบฏที่ติดตามมารลงมายังโลกมนุษย์ วิวรณ์12:4 หางพญานาคตวัดดวงดาวในท้องฟ้าทิ้งลงมาที่แผ่นดินโลกเสียหนึ่งในสามส่วน…. แต่คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเป็นบุตรของพระเจ้า บุตรพระเจ้าเป็นมนุษย์ไม่ใช่เทวดา แม้แต่พระเยซูคริสต์มาบังเกิดบนโลกนี้ พระองค์ก็เรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ เพื่อให้โลกรู้ว่า พระองค์มาเกิดเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา และพระองค์ทรงสอนสาวกของพระองค์ว่า อย่าพยายามทำตัวเป็นเทวดา เพราะมนุษย์ทุกคนต้องกิน และก็ถ่ายลงส้วมเหมือนกัน มัทธิว 15:16-20 16 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ17 ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆ ซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” ชีวิตที่ไม่ธรรมดาคือการเป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่นแต่ยังรักษาความไม่ธรรมดานั้น คือการยอมรับความจริงว่าตนไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น และต้องรับการชำระ มิใช่ไปมองแต่คนอื่น จนไม่มองตนเอง นี่แหล่ะคือชีวิตที่ไม่ธรรมดาที่มีมุมมองสายตาอย่างพระเยซู และใช้ชีวิตอยู่ในท่ามกลางผู้คนธรรมดาเหมือนพระเยซู
“ชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”
1.สายตาที่มองเห็นความต้องการของคนป่วย
2.แม้ไม่ธรรมดาแต่ยังเป็นคนธรรมดา