“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….ได้ดีที่ยั่งยืน”
คนไทยเรามีคำที่มักพูดถึงคนที่มีชีวิตที่ดี มีพื้นเพดี ครอบครัวดี การศึกษาดี นิสัยดี องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้มีคำๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะพยากรณ์ล่วงหน้าว่า คนนั้นน่าจะได้ดีในอนาคต และบางคนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะใช้คำว่า “ได้ดี” คำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ได้ดี” ก็คือ….ล่มจม หรือล้มเหลว ซึ่งในสังคมของเรามักจะใช้คำๆนี้กับคนที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แถมบางที “เจอดี” สำนวนไทยมีคำหนึ่ง ผีซ้ำด้ำพลอย คำว่า ด้ำ (ภาษาอีสาน) แปลว่า ผีบ้าน ผีเรือน สำนวนนี้แปลว่า ซวยซ้ำซวยซ้อน อับโชคแล้วยังเคราะห์ร้ายอีก ถูกผีอื่นรบกวนแล้วยังถูกผีบ้านผีเรือนของตนเองรบกวนอีกด้วย นี่คือวิถีชีวิตของคนที่ไม่มีพระเจ้า ก็จะถูกซ้ำเติม ใครจะมาทำร้าย ทำอะไรก็ได้ ไม่มีการคุ้มครอง ไม่มีการปกป้อง แต่ขีวิตคริสเตียนไม่ใช่อย่างนั้น พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า คริสเตียนจะได้ดีหรือไม่ได้ดี ไม่ได้อยู่ที่เคราะห์กรรม หรือโชค ดวง หรือด้วยพื้นเพด้านต่างๆที่ดีหรือไม่ดี และคริสเตียนจะไม่มีวันเจอดีแน่นอน หากคริสเตียนคนนั้นวิ่งเข้าไปอยู่ภายใต้ร่มพระคุณของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าที่ทรงสามารถปกป้องคริสเตียนได้ พระเจ้าที่ตรัสว่า อพยพ 20:2-5 2 “เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส3“อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา4“อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน…. เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่จริง ดังนั้น พระองค์จึงหวงแหนคนของพระองค์ให้นมัสการพระองค์แต่เพียงผู้เดียว คนมากมายไม่เข้าใจว่า ทำไมการเป็นคริสเตียนจึงต้องละเลิกการนมัสการพระอื่น หรือไล่ให้วิญญาณอื่นๆออกไป ความจริงก็คือ เป็นคำสั่งของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ทรงรู้ว่า พระองค์สามารถรับผิดชอบชีวิตทั้งหมดของคนที่นมัสการพระองค์แต่เพียงผู้เดียวได้ทุกด้าน และนี่คือที่มาของการที่คริสเตียนทุกคนจะต้องเข้าใจถึงสถานะของตนเอง อ.เปาโลได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนหนังสือโรมตอนหนึ่งว่า โรม 14:4 ท่านเป็นใครเล่า จึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น บ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้ และฉบับแปลปี2011 แปลคำว่า “ได้ดี” ใช้คำว่า “ตั้งมั่น” โรม 14:4 ท่านเป็นใคร จึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น? บ่าวคนนั้นจะตั้งมั่นหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาจะตั้งมั่นแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถให้เขาตั้งมั่นได้ คำว่า ตั้งมั่นหรือล่มจม มาจากคำกรีกสองคำ คำว่า สเตโก้ ที่แปลว่า ยืน ยังคงอยู่ และคำว่า พิปโป้ แปลว่า ล้มลง ถลาลง โรม 14:4 ….บ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จะเป็นสามี หรือภรรยา จะเป็นพ่อ หรือเป็นแม่ จะเป็นลูก หรือเป็นพี่ หรือเป็นน้อง เป็นญาติ จะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง หรือจะเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาหรือไม่เต็มเวลา เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า เราถูกซื้อไว้ด้วยราคาสูง ดังนั้น พระเจ้าเป็นเจ้านายของเราทุกคน คริสเตียนทุกคนต่างก็มีนายคนเดียวกัน คือพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ผู้ปรากฏเป็นสามพระภาค พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความสามารถของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อาจ รากศัพท์ภาษากรีกใช้คำที่แปลว่า สามารถ และทำได้ เป็นไปได้ เข้มแข็ง มีพลัง ทำได้ทุกอย่าง ความหมายของพระคัมภีร์ตอนนี้คือ พระเจ้าทรงทำได้ทุกอย่าง พระองค์ไม่จำกัด พระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนชะตา เปลี่ยนจากซวยมาดี ทรงนำมิให้ไปเจอดี ไม่ให้ซวยซ้ำซวยซ้อน ไม่มีผีซ้ำด้ำพลอย แน่นอน …..แต่ บ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา ความหมายตรงนี้ยังรวมถึงความรับผิดชอบของบ่าวในการรับใช้นายของตนเองอย่างต่อเนื่อง ยังให้นายเป็นนาย บ่าวเป็นบ่าว หรือล้มเหลวในการรับใช้นายของเขา พระเยซูได้ตรัสอุปมาที่มีภาพของบ่าวที่รอนายกลับมาอย่างนี้ ลูกา 12:35-37 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่36 จงเป็นเหมือนคนที่คอยรับนายของตนเมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อว่าเมื่อนายมาเคาะประตูแล้วพวกเขาจะเปิดให้นายได้ทันที37 บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ ภาพที่พระเยซูกล่าวอุปมานี้ คือการรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นนาย ท่าทีรอคอยเหมือนบ่าวที่รอนายกลับจากงานเลี้ยง การคาดเอง และจุดตะเกียงอยู่ คือความรับผิดชอบ ลองจิตนาการว่า เมื่อนายมาเคาะประตู แล้วประตูไม่พร้อมเปิด อากาศภายนอกก็มืดและหนาว นายจะรู้สึกอย่างไร ที่เปิดช้าไม่ใช่อะไร เพราะข้างในก็มืด หากลอนประตูไม่เจอ แถมแอบหลับ ตื่นมางัวเงีย ทำอะไรไม่ถูก นั่นคือความไม่พร้อมเปิดประตูต้อนรับเจ้านาย ในทางตรงกันข้าม การพร้อมเปิดต้อนรับได้ทันที มีแสงสว่างมีความอบอุ่นภายใจเนื่องจากตะเกียงโบราณมีทั้งแสงสว่างและทำให้บ้านอบอุ่น คำว่าคาดเอวคือภาพของความมั่นคง ตะเกียงคือดวงสว่างของชีวิต ที่ต้องมีน้ำมันนั่นหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดวงสว่างของชีวิตคริสเตียนจะส่องสว่างเมื่อคริสเตียนเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูได้ตรัสว่า สาวกของพระองค์ถูกทำให้เป็นตะเกียงแล้ว นั่นคือเป็นภาชนะสำหรับพระวิญญาณที่จะรับการเติมให้เต็ม มัทธิว 5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ นี่คือฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ทำให้เราทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งเราไม่สามารถส่องสว่างได้ พระเจ้าได้เปลี่ยนเราเป็นตะเกียง เป็นภาชนะที่จะรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทำให้เราได้ดี คือเมื่อก่อนเคยล้ม แต่วันนี้ยืนขึ้นมาได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ช่วยเรา พระเยซูตรัสว่า ยอห์น 14:16-17 16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน ดังนั้น ฤทธิ์อาจของพระเจ้าทำกิจในตัวเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้ดี เราจะมั่นคง เราจะยืนอยู่ได้ไม่ล้มลง โดยการเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระภาคหนึ่งของพระเจ้าที่อยู่ในเรา อยู่ใกล้เรา อยู่กับเรา พระบิดาและพระเยซูคริสต์อยู่บนสวรรค์ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าที่อยู่กับเรา และช่วยให้เราเชื่อมต่อกับพระบิดา พระเยซูคริสต์บนฟ้าสวรรค์ พระเยซูสัญญาว่าจะทำให้เรามั่นคงจนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมาก็โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น คริสเตียนต้องเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าเขียนในสูจิบัตรวันนี้ เรื่องระดับที่ยิ่งใหญ่กว่า หมายถึงขั้นสูงสุดของการได้ดีที่ยั่งยืนนั่นเอง นั่นคือ ความสัมพันธ์ทีลึกซึ้งกับพระเยซูคริสต์เกิดขึ้นได้ผ่านการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนได้มองเห็นโลกที่ต้องการพระคริสต์ในผู้คนที่หลากหลาย ภาระใจที่เกิดจากการเร้าใจของพระวิญญาณ กลายเป็นการรู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป และก้าวไปสู่ความสำเร็จในพันธกิจเฉพาะนั้นๆ ซึ่งเราได้เห็นตัวอย่างของคริสเตียน และมิชชันนารีทั่วโลกประสบความสำเร็จ อย่างเช่น แม่ชีเทเรซา ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ทรงอิทธิพลในประเทศอินเดียและทั่วโลก นี่คือภาพของการได้ดีที่ยั่งยืน หันกลับมามองตัวเราองในวันนี้ พระคัมภีร์โรม 14:4 ท่านเป็นใครเล่า จึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น บ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้ นอกจากจะให้เราได้เห็นตัวเราเองกับการได้ดีโดยฤทธิ์อาจของพระเจ้าแล้ว ยังให้เราได้เห็นพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆก็ได้ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราทุกคนอยู่ในฐานะเดียวกันคือบ่าว ไม่มีสิทธิ์ตัดสินกล่าวโทษบ่าวคนอื่นๆ และนี่คือบทเรียน
1.พระวิญญาณเป็นนายช่วยเราระวังไม่ให้ล้มลง
บ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา คำว่า “ล่มจม” ภาษากรีกใช้คำว่า “ล้มลง” คำนี้ถูกใช้ในสำนวนของการทำบาป เรื่องเพศ เรื่องเงิน เรื่องชื่อเสียง เกียรติยศ ความเย่อหยิ่ง การงานของเนื้อหนังต่างๆ 1โครินธ์ 10:12 12 เพราะเหตุนี้คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังไม่ให้ล้มลง คำกรีกคำเดียวกันนี้ถูกใช้ในที่นี้แปลว่า “ล้มลง” และคำว่า มั่นคงก็ใช้คำเดียวกัน 1โครินธ์ 10:13 13 ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้ คำว่า “ทดลอง” ที่นี่ ใช้คำเดียวกันกับหนังสือยากอบใช้คำว่า ทดลองใจ (ถูกทดสอบด้วยการดี) และการถูกล่อลวง (ด้วยประสบการณ์กับสิ่งชั่ว) การตอบสนองของคริสเตียนต่อการทดลองใจและการถูกล่อลวง ล้วนต้องพึ่งพาพระวิญญาณในการต่อต้านเพื่อจะยืนอยู่มั่นคง ไม่ล้มลง พระคัมภีร์มีคำแนะนำดังนี้ เอเฟซัส 6:11-18 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ 13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า18 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน พระคัมภีร์แนะนำว่า การระวังที่จะไม่ล้มลง ก็คือการยืนอย่างมั่นคง มีองค์ประกอบในการยืน ก็คือ การเรียนรู้ว่า เรากำลังต่อสู้กับอะไร เราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดและเนื้อ แต่เรากำลังต่อสู้กับวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ เรากำลังต่อสู้กับเหล่าเทพ ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพ คริสเตียนจึงต้องดำเนินชีวิตที่ไม่ธรรมดา การได้ดีของคริสเตียนจึงไม่ได้มาจากผี หรือมาจากวิญญาณอื่น แต่มาจากพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ความรับผิดชอบของคริสเตียนก็คือต้องยืนและระวังไม่ให้ล้ม ด้วยปัจจัยต่างๆที่ต้องใส่ใจ จงยึดความจริงของพระเจ้า อย่าให้มารมาโกหก จงยึดความชอบธรรมของพระเยซู อย่าหลงสำคัญตนเองผิดว่าความชอบธรรมนั้นได้มาด้วยตนเอง จงยึดข่าวประเสริฐคือทิศทางหลักของการมุ่งหน้าดำเนินชีวิต ถ้าไม่มีข่าวประแสริฐ ชีวิตก็ขาดทิศทาง อาชีพคือส่วนประกอบเท่านั้น จงยึดความเชื่อเพื่อเป็นเครื่องมือดับการโจมตีของมาร จงยึดความรอดเป็นสิ่งป้องกันความคิด คิดอย่างคนที่พระคริสต์ทำให้รอด คนที่คิดอย่างนี้จะนำความรอดไปสู่คนอื่น แต่คนที่คิดแต่เอาตัวเองรอด จะปล่อยให้คนรอบข้างตาย ในยุทธภัณฑ์ทั้งชุดนี้ เราจะเห็นส่วนที่เราต้องรับผิดชอบส่วนตัว และยังมีส่วนที่ต้องทำงานร่วมกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือการถือพระแสงของพระวิญญาณ คือการใช้พระวจนะของพระเจ้าที่ต้องมีความเข้าใจจากพระวิญญาณ โดยการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณตลอดเวลา และด้วยการขอโดยพระวิญญาณ เพราะศัตรูคือมารซาตานไม่เคยพัก มันทำงานตลอดเวลา เพื่อดันให้เราล้มลง เราจะตั้งมั่นคง ยืนหยัดได้ ไม่ล้มลง เราต้องทำส่วนของเรา และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นนายช่วยระวังไม่ให้ล้ม ให้เราสังกตุคำว่า นาย บ่อยครั้ง เราคิดว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ช่วย พระองค์ก็เลยเป็นเบ๊ของเรา เราจะใช้ หรือไม่ใช้ก็ได้ หรือเราจะให้เกียรติพระองค์หรือไม่ให้ก็ได้ นั่นคือความเข้าใจผิด มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทำงานในที่ที่พระองค์ไม่ได้รับการให้เกียรติ นั่นหมายความว่า พระองค์ไม่ได้รับการให้อยู่ในสถานะเจ้านาย นั่นคือภาวะที่คริสเตียนต้องระวัง คุณกำลังขาดนายที่จะทำให้คุณได้ดีที่ยั่งยืน ในทางกลับกัน คุณจะล้มลงเพราะขาดเจ้านายที่จะสนับสนุนคุณ 1โครินธ์ 10:12 12 เพราะเหตุนี้คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังไม่ให้ล้มลง การคิดว่า มั่นคงคือไม่ต้องการใครมาช่วย แต่พระเยซูได้กล่าวนคำอุปมาว่า ลูกา 12:37 …นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ เป็นภาพที่ไม่เคยมีปรากฏคือ บ่าวที่ยืนและไม่ล้มเหลวในการปรนนิบัติ จะได้รับการปรนนิบัติจากเจ้านาย….ประการสุดท้าย สิ่งที่จะทำให้ชีวิตปราศจากที่ติ….ได้ดีที่ยั่งยืน นั่นคือ
2.ไม่สำคัญตัวเองผิด: ไม่กล่าวโทษ
ท่านเป็นใครเล่า จึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น ทุกวันนี้ คนมากมายต่างคิดว่า การได้ดีของตนเอง ต้องทำให้ตนเองถูกมองว่าดีกว่าคนอื่น หรือทำให้คนอื่นตกในสภาพที่แย่กว่าตนเอง และวิธีการที่ใช้กันก็คือ การกล่าวโทษ การกล่าวโทษคือการตัดสิน พิพากษาคนอื่น พระคัมภีร์ถามว่า ท่านเป็นใครเล่า คือการถามว่า รู้หรือไม่ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินคนอื่น โดยเฉพาะคนที่มีเจ้านายคือพระเจ้า ในเรื่องราวของโยบพระเจ้าทรงยกย่องโยบ และอวยพรโยบ ชีวิตโยบได้ดีตลอดเพราะความยำเกรงพระเจ้า โยบ 1:8-12 และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ ว่าในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย”9 แล้วซาตานทูลตอบพระเจ้าว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ10 พระองค์มิได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา และครัวเรือนของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ พระองค์ได้ทรงอำนวยพระพรงานน้ำมือของเขา และฝูงสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน11 แต่ขอยื่นพระหัตถ์เถิด และแตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ และเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”12 และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด บรรดาสิ่งที่เขามีอยู่ก็อยู่ในอำนาจของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขาเท่านั้น” ซาตานจึงออกไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า ชีวิตของโยบถูกทดสอบเพื่อพิสูจน์การได้ดีของเขา เพราะมารได้กล่าวหาโยบ มารยังไม่สามารถกล่าวโทษโยบได้ คำว่า กล่าวหา คือการบิดเบือนจากความจริง เราจะเห็นว่า มารไม่สามารถกล่าวโทษ คือตัดสินโยบได้ แต่มารกล่าวหา และขอให้พระเจ้าอนุญาตให้มารทำให้โยบเข้าสู่การทดสอบเพื่อโยบจะเป็นอย่างที่ถูกมารกล่าวหา มารต้องการให้พระเจ้ากล่าวโทษ ตัดสินโยบ ว่าโยบไม่ได้เชื่อฟังจริง ไม่ได้ยำเกรงพระเจ้าจริง ข้อกล่าวหาที่มารใส่ให้โยบคือ โยบมีวาระซ่อนเร้น โยบไม่จริงใจต่อพระเจ้า โยบมีความปรารถนาความมั่งคั่ง ความร่ำรวย สุขภาพดี และครอบครัวดี การทดสอบก็เกิดขึ้น พระเจ้าอนุญาตให้มารเอาสิ่งที่โยบมีออกไปจากชีวิตของโยบ ยกเว้น ชีวิตของโยบ เราได้เห็นเรื่องราวของโยบไม่ใช่เคราะห์ร้าย แม้จะเกิดสิ่งเลวร้ายเหมือนผีซ้ำด้ำพลอย แต่มาจากการอนุญาตของพระเจ้า โยบเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆด้วยการสำรวจตนเอง และโยบรู้ว่าเขาไม่ได้ทำบาปต่อพระเจ้า เขามีจิตบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า แม้จะต้องสูญเสียทุกอย่าง โยบก็ยังยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า โยบไม่สำคัญตัวเองผิด ไม่กล่าวโทษ ตัดสิน การได้ดีหรือการล้มลงของตนเอง โยบ 42:1-12,16-17 1 แล้วโยบทูลพระเจ้าว่า 2 “ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งได้ และพระประสงค์ของพระองค์จะไม่หดหู่ไปได้เลย3 ‘นี่ใครหนอที่ซ่อนคำปรึกษาด้วยไร้ความรู้’ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ 4 ‘ฟังซี เราจะพูด เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา’ 5 ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์ 6 ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า” 7 เมื่อพระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระเจ้าตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “ความพิโรธของเราพลุ่งขึ้นต่อเจ้า และต่อสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้ามิได้พูดถึงเราอย่างที่ถูก ดังโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด8 เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้เจ็ดตัว และแกะผู้เจ็ดตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องเผาบูชาสำหรับเจ้าทั้งหลาย และโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่กระทำกับเจ้าตามความโง่ของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายมิได้พูดถึงเราอย่างที่ถูก ดังโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”9 ฝ่ายเอลีฟัสชาวเทมานและบิลดัดตระกูลชูอาห์และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ ได้ไปกระทำตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง และพระเจ้าทรงรับคำอธิษฐานของโยบ10 และพระเจ้าทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระเจ้าประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน11 และพี่น้องชายหญิงของท่าน และบรรดาผู้ที่รู้จักท่านมาก่อนได้มาหาท่าน และรับประทานอาหารกับท่านในบ้านของท่าน และเขาทั้งหลายสำแดงความเห็นอกเห็นใจและเล้าโลมท่าน ด้วยเรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าทรงนำมาเหนือท่าน และต่างก็ให้เงินแผ่นหนึ่งกับแหวนทองคำวงหนึ่งแก่ท่าน12 และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน….16 ต่อจากนี้ไป โยบมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี และได้เห็นบุตรชายของท่าน หลานเหลนของท่านสี่ชั่วอายุ17 และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว เรื่องราวของโยบเป็นความพยายามของมารที่จะทำให้โยบล้มลง ด้วยการกล่าวโทษ ตัดสิน เป็นกับดักที่มารต้องการให้มนุษย์ทุกคนล้มลง และกล่าวโทษคนอื่นๆที่เป็นเหตุให้ตนเองได้ดีหรือไม่ได้ดี ซึ่งบ่อยครั้งที่มนุษย์จะทำอย่างนั้นต่อกันและกัน ที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็เพราะเธอ แล้วที่เลวร้ายกว่านั้น หลายคนโทษพระเจ้าเป็นสาเหตุทำให้เขาไม่ได้ดี หลายคนโทษกำเนิด โทษพ่อแม่ โทษสารพัดโทษ โทษแม้กระทั่งตนเอง แต่ให้เราดูโยบเป็นตัวอย่าง เขาไม่โทษอะไร ถ้าโยบแช่งพระเจ้า นั่นคือโยบล้มลงในเรื่องความยำเกรงพระเจ้า โยบก็จะทำผิดต่อบทบาทของตนเอง แต่โยบผ่านการพิสูจน์ และผ่านการล่อลวงของมาร ด้วยชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ได้ดีที่ยั่งยืน ไม่สำคัญตนเองผิด ไม่กล่าวโทษผู้อื่น แต่รักษาความยำเกรงพระเจ้าไว้จนพบกับตอนจบที่พระเจ้าอวยพรเขา ขอพี่น้องทั้งหลายอดทนให้ถึงที่สุด คือยืนหยัด อย่าล้มลง แล้วเราจะผ่านการพิสูจน์ ชนะการล่อลวงในเรื่องการกล่าวโทษ ทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้โยบต้องสูญเสียในตอนแรก เพราะโยบสมควรได้รับมากกว่าที่มีในตอนแรกด้วยการรักษา ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….ได้ดีที่ยั่งยืน อาเมน
“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….ได้ดีที่ยั่งยืน”
1.พระวิญญาณเป็นนายช่วยเราระวังไม่ให้ล้มลง
2. ไม่สำคัญตัวเองผิด: ไม่กล่าวโทษ