“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…กับคำว่าพักและทำงาน”

มีซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งติดป้ายไว้ว่าเปิดบริการ 366วัน ไม่มีวันหยุด เหมือนชีวิตคนบางคนที่แขวนป้ายไว้ที่คอว่า ไม่มีวันหยุด  และก็มีชีวิตของใครบางคน  ที่ติดป้ายไว้ว่า งดบริการ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ไปทีไร ป้ายก็ยังแขวนไว้ที่เดิม คืองดบริการ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ นั่นหมายความว่า ไม่มีวันที่จะได้พบกับบริการ เพราะนี่คือการบอกว่า หยุดยาวไม่มีกำหนดเปิดให้บริการ พระคัมภีร์กล่าวถึงการพักและทำงานอย่างไร อพยพ 20:8-10  8“จงระลึกถึงวันสะบาโต(คือ   วันหยุดพัก  (งาน)) ถือเป็นวันบริสุทธิ์ 9จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน 10แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า   ในวันนั้นอย่ากระทำการงาน ใดๆไม่ว่าเจ้าเอง   หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า   หรือทาสทาสีของเจ้า   หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า   หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า มีวันพัก และวันทำงาน และวันทำงานมากกว่าวันพัก แต่เมื่อถึงวันพัก ก็จงพักอย่าทำงาน เมื่อถึงเวลาทำงานก็อย่าพัก แต่จงทำงาน การพักก็เพื่อสุขภาพ และการทำงานก็เพื่อสุขภาพด้วยเช่นกัน   เราคงได้ยินคำพูดเกี่ยวกับคนที่เกษียรว่า อย่าหยุดอยู่เฉยๆ หาอะไรทำ เดี๋ยวจะป่วย ถดถอยและเสื่อมทางสมอง นั่นคือการบอกว่า การหาอะไรทำก็คือยังคงทำงาน คือให้สมองทำงาน ให้ร่างกายได้ออกกำลัง แต่เปลี่ยนจากการทำงานที่เกี่ยวข้องกับรายได้ มาทำอะไรที่ยังคงรักษาสุขภาพองค์รวมต่อไป   มีอีกคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า การเล่นของเด็กก็คือการทำงานอย่างหนึ่ง หากไม่ให้เด็กเล่น เด็กจะขาดพัฒนาการทางสมองและร่างกาย    นี่คือสิ่งที่บอกกับเราว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าเรื่องการทำงานและการพักของมนุษย์มีเป้าหมายสูงสุดคือ ตัวมนุษย์เองได้ประโยชน์ทั้งสิ้น แต่หลังจากมนุษย์ล้มลงในความบาป การทำงานจึงกลายเป็นภาระจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตปฐมกาล 3:17-19   17พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม(แปลว่า  มนุษย์) ว่า“เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม   แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า  เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความ ทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต 18แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆของทุ่งนา 19เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไปเพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน  และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม”  การทำงานกลายเป็นภาระของมนุษย์ หรือเรียกอีกสำนวนว่า มนุษย์กลายเป็นทาสของงาน วันที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยอิสราเอลออกจากอียิปต์ ก็เพราะอิสราเอลทนไม่ไหวกับการเป็นทาสของฟาโรห์ที่ใช้แรงงานอิสราเอลโดยไม่มีวันพัก อพยพ 1:8-14  8มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์   พระองค์มิได้ทรงรู้จักกับโยเซฟ 9พระองค์ทรงประกาศแก่ชนชาติของพระองค์ว่า   “ดูเถิด   คนอิสราเอลมีมากเกินไป   และมีกำลังยิ่งกว่าเราอีก 10มาเถิด  ให้เราหาอุบายปราบพวกนี้   มิฉะนั้นเขาจะทวีมากขึ้น   แล้วถ้าเกิดสงครามขึ้นเมื่อใด   ชนชาตินี้จะสมทบกับพวกข้าศึกของเราสู้รบกับเรา   แล้วจะยกออกไปจากอาณาจักร”11เหตุฉะนั้นเขาจึงตั้งนายงาน   เกณฑ์ให้คนอิสราเอลทำการงานตรากตรำ   และเขาทั้งหลายสร้างหัวเมืองเก็บราชสมบัติของฟาโรห์คือ   เมืองปิธม  และเมืองราอัมเสส 12แต่ยิ่งถูกเบียดเบียนมากเท่าไร   ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น   และยิ่งแพร่หลายออกไป  ชาวอียิปต์ก็ครั่นคร้ามต่อ ชนชาติอิสราเอล 13จึงบังคับชนชาติอิสราเอลให้ทำงานหนัก 14ทำให้ชีวิตของเขาขมขื่น  เพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น   เช่นทำปูนสอ  ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา   เขาถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิด เป้าหมายในการใช้งานอิสราเอลของฟาโรห์คือทำลายอิสราเอล เพราะกลัวอิสราเอลเข้มแข็ง  วันนี้ มนุษย์ในโลกกำลังทำลายตัวเองด้วยการทำงานหนัก แม้กระทั่งเวลาหลับก็ยังทำงาน บางคนก็ละเมอ บางคนเก็บไปฝัน บางคนก็เครียดลงกระเพาะ สภาวะเศรษฐกิจ สถานการณ์ของโลกรอบตัวเรากำลังบีบคั้นให้คนต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด แม้จะพักร่างกายบ้าง แต่จิตใจไม่ได้พัก จนมีคริสเตียนไม่น้อยที่เวลานมัสการพระเจ้าก็ยังไม่ได้พัก ทั้งๆที่การนมัสการคือเวลาสะบาโต ที่จะหยุดการงานและพักเหมือนพระเจ้าทรงพักจากการงาน  คำเทศนาวันนี้จะนำเราให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าเกี่ยวกับมนุษย์เกี่ยวกับการพักและการทำงานในชีวิตคริสเตียน ลูกา 13:10-17 10พระองค์กำลังทรงสั่งสอนอยู่ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต 11และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้เป็นโรคสิบแปดปีมาแล้ว   หลังโกง   ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย 12เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงเรียกและตรัสกับเขาว่า   “หญิงเอ๋ย   ตัวเจ้าหายพ้นจากโรคของเจ้าแล้ว”13พระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนเขา   และในทันใดนั้นเขาก็ยืดตัวตรงได้   และสรรเสริญพระเจ้า 14แต่นายธรรมศาลาก็เคืองใจ   เพราะพระเยซูได้ทรงรักษาโรคในวันสะบาโต   จึงว่าแก่ประชาชนว่า   “มีหกวันที่ควรจะทำงาน   ในหกวันนั้นจงมาให้รักษาโรคเถิด   แต่ในวันสะบาโตนั้นอย่าเลย”15แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า   “โอ   คนหน้าซื่อใจคด   เจ้าทั้งหลายทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมัน   พาไปให้กินน้ำในวันสะบาโตมิใช่หรือ 16ฝ่ายผู้หญิงนี้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม   ซึ่งซาตานได้ผูกมัดไว้สิบแปดปีแล้ว   ไม่ควรหรือที่จะให้เขาหลุดพ้นจากเครื่องจำจองอันนี้ในวันสะบาโต”17เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว   บรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ต้องขายหน้า   และประชาชนก็เปรมปรีดิ์   เพราะสรรพคุณความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำ  วันสะบาโตเป็นวันหยุดพักการงานของคนยิวตามธรรมบัญญัติ เป็นวันที่คนยิวจะใช้เวลาในธรรมศาลาเพื่อฟังการอ่านพระวจนะของพระเจ้า เหมือนกับเราไปโบสถ์วันอาทิตย์   ในยุคนั้นพระเยซูทรงเสด็จเข้าไปในธรรมศาลาเพื่อสั่งสอน พระคัมภีร์บันทึกว่า ขณะพระเยซูกำลังสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลา พระองค์ทรงเห็นหญิงหลังโกงอยู่ในธรรมศาลา พระเยซูทรงเรียกหญิงหลังโกงมาหาและตรัสกับหญิงหลังโกงว่า  “หญิงเอ๋ย   ตัวเจ้าหายพ้นจากโรคของเจ้าแล้ว”13พระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนเขา   และในทันใดนั้นเขาก็ยืดตัวตรงได้   และสรรเสริญพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกว่าหญิงคนนี้ป่วย  หลังโกงเนื่องจากอิทธิพลของวิญญาณชั่ว  ซึ่งในพระคัมภีร์ลูกาใช้คำว่า spirit of infirmity(spirit of weakness)แปลว่า วิญญาณที่ทำให้อ่อนแรง คือไม่มีแรงที่จะยืดตัวตรง แปลเป็นนัยหมายถึงความอ่อนแอของสุขภาพร่างกาย ความอ่อนแอทางศีลธรรม และความอ่อนแอด้านอารมณ์   สำหรับหญิงหลังโกงคนนี้ เธอป่วยด้านร่างกายไม่สามารถยืดตัวตรงมาเป็นเวลาสิบแปดปี  เป็นปัญหาฝ่ายร่างกายที่หญิงคนนี้ต้องการการเยียวยารักษา พระคัมภีร์บันทึกอีกว่า  มีคนๆหนึ่งในเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงรักษาหญิงหลังโกง  คนๆนี้กำลังอ่อนแอทางด้านอารมณ์  นั่นคือ นายธรรมศาลาที่กำลังขุ่นเคืองเพราะพระเยซูคริสต์ทรงรักษาโรคของหญิงคนนี้ในวันสะบาโต   นายธรรมศาลาคนนี้พูดกับประชาชนด้วยอารมณ์เสียๆว่า “มีหกวันที่ควรจะทำงาน   ในหกวันนั้นจงมาให้รักษาโรคเถิด   แต่ในวันสะบาโตนั้นอย่าเลย” นายธรรมศาลากำลังทำหน้าที่ผู้รักษากฏ จึงไม่พอใจที่ถูกแหกกฏต่อหน้า   นายธรรมศาลาพูดกับประชาชนที่เหลือซึ่งนึกภาพได้เลยว่า ยังมีคิวรอการรักษาจากประชาชนอีกมากมายที่ติดตามพระเยซูเข้ามาในธรรมศาลาด้วยหวังการรักษาโรค แต่เนื่องเป็นวันสะบาโตและอยู่ในธรรมศาลา จึงไม่มีใครกล้าร้องขอจากพระเยซู มีบันทึกในพระคัมภีร์มากมายเกี่ยวกับผู้คนติดตามพระเยซูไปทุกหนทุกแห่งเพื่อให้พระองค์รักษาโรค ไม่เว้นแม้กระทั่งวันสะบาโต ซึ่งเป็นวันที่คนยิวต้องเข้าไปในธรรมศาลาเพื่อฟังเทศน์ คนที่สุขภาพปกติก็หวังเพียงฟังคำเทศนา แต่คนที่ป่วยคาดหวังมากกว่านั้น คือหายโรค ลองคิดดูว่า ถ้าพระเยซูไม่อยู่ในธรรมศาลานั้น คนป่วยเหล่านี้จะกระเสือกกระสนเข้าไปในธรรมศาลาหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดว่า เขาคงไม่ไป เพราะพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น และโดยการปฏิบัติ คนมักจะดูหมิ่นคนพิการ คนไม่ครบสามสิบสอง  คนเหล่านี้จะอยากออกมานอกบ้านเพื่อให้ผู้คนดูถูกเยียดหยามหรือ ในทางตรงกันข้าม คนประเภทนี้มักจะเก็บตัว ไม่อยากพบกับผู้คนมากกว่า คำพูดของนายธรรมศาลาจึงถูกพระเยซูตำหนิอย่างรุนแรงว่า 15….. “โอ   คนหน้าซื่อใจคด   เจ้าทั้งหลายทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมัน   พาไปให้กินน้ำในวันสะบาโตมิใช่หรือ 16ฝ่ายผู้หญิงนี้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม   ซึ่งซาตานได้ผูกมัดไว้สิบแปดปีแล้ว   ไม่ควรหรือที่จะให้เขาหลุดพ้นจากเครื่องจำจองอันนี้ในวันสะบาโต” พระเยซูคริสต์ทรงใช้คำว่า แก้เชือกที่ผูกออก กับ ผูกมัดไว้ ในการเปรียบเทียบระหว่างสัตว์กับคน ขนาดสัตว์หิวน้ำ เจ้าของยังแก้เชือกพามันไปกินน้ำ ในวันสะบาโต   แล้วคนที่ถูกมารซาตานควบคุมชีวิตไว้นานถึงสิบแปดปี   พระเจ้าผู้ทรงตั้งวันสะบาโตจะมิทรงช่วยลูกของพระองค์หรือ   พระเยซูคริสตทรงตำหนินายธรรมศาลาว่า การพูดของนายธรรมศาลาคือคำพูดของคนหน้าซื่อใจคด คือคำพูดไม่ตรงกับใจ นายธรรมศาลากำลังพูดว่า งดบริการ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่  คำพูดของนายธรรมศาลาคือการปฏิเสธ โดยการเบี่ยงเบนให้คนมาสนใจวันสะบาโตมากกว่าชีวิตของคน มาระโก 2:27  27พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า   “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์   มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต พวกฟาริสีสอนคนให้ใช้พระวจนะอย่างผิดๆ พระวจนะจึงกลายเป็นภาระ   พระเยซูคริสต์จึงเตือนสาวกของพระองค์อย่าทำตามพวกฟาริสี มัทธิว 23:3-4  …. เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน   แต่เขาเองหาทำตามไม่ 4ด้วยเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่ามนุษย์   ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย  ดังนั้น การตีความพระคัมภีร์ของพระเยซูคริสต์จึงสวนกระแสกับพวกฟาริสีในเรื่องวันสะบาโตอย่างสิ้นเชิง วันสะบาโตเป็นวันหยุดพักผ่อนของอิสราเอลที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ตั้งแต่สมัยของโมเสส หลังจากอิสราเอลออกจากอียิปต์ ซึ่งเป็นประเทศแห่งการทำงานหนักตลอดเวลา ตลอดวันยันค่ำ เหนื่อยและ ถูกบังคับให้มีชีวิตอย่างทาส   อิสราเอลในรุ่นนั้น ไม่เคยลิ้มรสการพักมาก่อน เมื่อพระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากดินแดนทาส พระองค์ต้องการให้อิสราเอลดำเนินชีวิตหลุดจากความเป็นทาส การพักจึงเป็นสัญญลักษณ์หนึ่งที่แสดงว่า อิสราเอลไม่ใช่ทาสของงานอีกต่อไป และการทำงานก็ไม่ใช่เพื่อการทำลายสุขภาพ แต่เป็นเป้าหมายเพื่อที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ฮีบรู 4:1,9-11 1เหตุฉะนั้นเมื่อพระสัญญายังมีอยู่ว่า   จะให้เราเข้าสู่การพำนักซึ่งพระองค์ทรงประทาน   ก็ให้เราทั้งหลายระมัดระวังอยู่เสมอ   มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง….. 9ฉะนั้นจึงยังมีการพำนักสะบาโตสำหรับชนชาติของพระเจ้า 10เพราะว่าผู้ใดที่ได้เข้าสู่การพำนักของพระเจ้าแล้ว   ก็ได้พักงานของตน   เหมือนพระเจ้าได้ทรงพักพระราชกิจของพระองค์ 11เหตุฉะนั้น   ขอให้เราทั้งหลายพยายามที่จะได้เข้าสู่การพำนักนั้น   เพื่อจะได้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหลงไปเหมือนคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น พระธรรมฮีบรูได้บอกเราว่า การพักสำหรับชนชาติของพระเจ้า คือเป้าหมายที่ไม่เหมือนกับการพักอย่างค่านิยมในโลกนี้  การพักของคริสเตียนคือการเข้าใกล้ที่พำนักของพระเจ้า คือการได้เข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้ายิ่งขึ้น   แต่การพักของชาวโลก มักจะไปทำบาปด (ผิดเป้าหมายของพระเจ้า) ยิ่งห่างไกลพระเจ้ายิ่งขึ้น พระเยซูคริสต์ตรัสว่า มัทธิว 11:28-30  28บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก   จงมาหาเรา   และเราจะให้ท่านทั้งหลาย   หายเหนื่อยเป็นสุข 29จงเอาแอกของเราแบกไว้   แล้วเรียนจากเรา   เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม   และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ   และภาระของเราก็เบา”  พระธรรมมัทธิวกับฮีบรูตอนนี้ กล่าวถึงการพักของจิตใจกับการทำงานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่พระเจ้าทรงกำหนด พระเยซูคริสต์ได้วางงานที่จะพาเรามุ่งหน้าสู่ที่พำนักของพระเจ้า ซึ่งผู้ที่ไปอย่างถูกทิศทาง จิตใจได้พัก   ขอให้เราสำรวจชีวิตของเราว่า ทิศทางของการทำงานของเรา ทำให้จิตใจของเราได้พักหรือไม่ การพักและการทำงานในชีวิตคริสเตียนต้องแตกต่างจากวิถีของโลกเพราะ

1.มุ่งหน้าสู่ที่พำนักของพระเจ้า ลูกา 13:10-13

10พระองค์กำลังทรงสั่งสอนอยู่ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต 11และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้เป็นโรคสิบแปดปีมาแล้ว   หลังโกง   ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย 12เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงเรียกและตรัสกับเขาว่า   “หญิงเอ๋ย   ตัวเจ้าหายพ้นจากโรคของเจ้าแล้ว”13พระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนเขา   และในทันใดนั้นเขาก็ยืดตัวตรงได้   และสรรเสริญพระเจ้า

เวลาเราเดินเข้าใกล้น้ำตก ยิ่งเดินใกล้ ยิ่งสัมผัสไอน้ำที่กระเซ็น ความรู้สึกบ่งบอกถึงความเย็นฉ่ำของสายน้ำ เสียงน้ำที่ดังขึ้นเรื่อยๆ พี่น้อง โปรดจำภาพนี้ไว้ นี่เป็นภาพเปรียบเทียบที่ข้าพเจ้าอยากเปรียบการมุ่งหน้าสู่ที่พำนักของพระเจ้าโดยการดำเนินชีวิตที่เรากำลังเป็นอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาอาชีพใดๆ หรือการรับใช้พระเจ้า ซึ่งหลายคนคิดว่า น่าจะพาไปถูกทาง แต่งานรับใช้ก็ยังไม่ใช่ตัวตัดสินว่า เราเข้าใกล้ที่พำนักของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้ากำลังจะบอกกับท่านว่า อะไรก็ตามที่เรากำลังทำแล้วทำให้เราสัมผัสการทรงสถิตของพระเจ้า สัมผัสไอแห่งความชื่นฉ่ำในพระวิญญาณ ความรู้สึกนิ่งสงบในฝ่ายจิตวิญญาณ นั่นแหละคือการเข้าใกล้ที่พำนักที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เราแล้ว   คริสตจักรได้จัดกิจกรรมที่ล้วนนำเราไปในทิศทางดังกล่าว ไม่ว่า จะเป็นการอธิษฐาน การเข้ากลุ่มย่อย ชั้นเรียนพระคัมภีร์ หรือกิจกรรมที่เราออกชุมชน กิจกรรมที่ทำร่วมกับคริสตจักรอื่นๆ ข้าพเจ้าในบทบาทของศิษยาภิบาลพยายามทำหน้าที่กลั่นกรองสิ่งที่น่าจะสนับสนุนให้พี่น้องไม่หลงทิศทาง รวมทั้งการปกป้องลูกแกะของพระเจ้ามิให้เป็นเหยื่อของคำสอนเท็จและการล่อลวงต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะมาทำให้เราไปไม่ถึงที่พำนักของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเตือนสาวกของพระองค์ว่า ระวังการทำให้หลงทิศทาง มัทธิว 7:15-16   15“ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ   ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ   แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า 16ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา  มัทธิว 24:23-24  23ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า   ‘แน่ะ   พระคริสต์อยู่ที่นี่’   หรือ   ‘อยู่ที่โน่น’   อย่าได้เชื่อเลย24ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ   และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น   ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์   ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง  1เธสะโลนิกา 5:21  21จงพิสูจน์ทุกสิ่ง   สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น จงพิสูจน์ทุกสิ่ง มิใช่การจับผิด แต่จงดูผลชีวิตมากกว่าฟังแค่คำพูด   คนจำนวนมากชอบพูด และพูดให้ดูดี พูดให้ดูสวยหรู แต่พูดออกมาจากกิเลศตัณหาของเนื้อหนังหรือมาจากวิญญาณแห่งการล่อลวง แต่คนที่พูดจากพระวิญญาณของพระเจ้า มีไม่มาก นั่นหมายถึงว่า หายาก ต้องพิสูจน์ว่าใช่ของจริงหรือเปล่า พึงระลึกภาพเปรียบเทียบที่ข้าพเจ้าเปรียบทิศทางที่มุ่งสู่ที่พำนักของพระเจ้า เราจะสัมผัสไอเย็นแห่งสันติสุข รู้สึกได้ถึงการเข้าจุดพัก แม้สถานการณ์รอบตัวจะวุ่นวาย ยุ่งเหยิง กดดัน แต่ยิ่งทำงานยิ่งสงบ เป็นความรู้สึกที่สวนกับสถานการณ์ ใช่เลย  ไปถูกทางแล้ว   แต่ในทางตรงกันข้าม หากงานที่เราทำยิ่งทำยิ่งร้อนรุ่ม ยิ่งกระวนกระวาย ขาดสันติสุข ขาดไอแห่งความชื่นฉ่ำในพระวิญญาณ ขาดการทรงสถิตของพระเจ้า ผลลัพธ์คือเหนื่อยกับเหนื่อย หรือแม้จะอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรก็เหนื่อย เหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจ และจิตวิญญาณ   จงรู้เถิดว่า ความคิดและวิถี หรือทัศนคติของตนเองกำลังไปผิดทิศทางแล้ว จงหยุดการทำงานนั้น หรือหยุดวิธีพักแบบนั้น  สำรวจทิศทางที่ทำให้เข้าใกล้ที่พำนักของพระเจ้า หาคำแนะนำได้จากศิษยาภิบาลของท่าน หัวหน้าหน่วย หัวหน้าเซลล์ซึ่งเป็นทีมกับศิษยาภิบาล คนเหล่านี้ช่วยเราได้ เราต้องการผู้ที่จะช่วยเรามุ่งหน้าไปสู่ที่พำนักของพระเจ้า

สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำต่อหญิงหลังโกง ในขณะที่พระองค์อยู่ในสังคมคนยิว พระองค์ไปธรรมศาลาวันสะบาโตเหมือนกับพวกยิว พระองค์สอนในธรรมศาลา เป็นการแสดงการเห็นด้วยกับการใช้เวลาสะบาโตในการฟังคำสั่งสอน แต่เมื่อพระองค์เห็นคนป่วย พระองค์ทรงใช้วันสะบาโตเพื่อมนุษย์ คือ การเยียวยารักษาคนให้หายป่วย พระเยซูไม่ได้มุ่งหน้าสอน สอน และสอน แต่พระองค์ สมดุลในการใช้วันสะบาโตให้คุ้มค่าตามเป้าหมายสูงสุดของวันสะบาโต คือการพัก มีคนป่วยไม่น้อยที่ต้อกินยา หาหมอ ดิ้นรนเพื่อการหายป่วย หายเจ็บ เป็นความเหน็ดเหนื่อย แม้จะมีวันหยุด แต่ความเจ็บ ความปวด ไม่เคยหยุดตามวันหยุด มันทรมาณคนให้เหน็ดเหนื่อย พระเยซูคริสต์ทรงรับรู้ และทรงต้องการช่วยมนุษย์ทุกคนให้สามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ เราจะเห็นการตอบสนองของหญิงหลังโกงอันแรกคือการสรรเสริญพระเจ้าทันที ท่ายืดตัวตรง คือท่าที่สรรเสริญพระเจ้า วันสะบาโต คือวันที่ทำให้หญิงคนนี้ อยู่ในท่วงท่าที่สรรเสริญพระเจ้าได้   เราใช้เวลาพักเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ได้ช่วยหญิงหลังโกงให้ได้รับการปลดปล่อย หายดี และสรรเสริญพระเจ้าได้  หรือ เราใช้วันสะบาโต ในสไตล์ของเรา โดยไม่เกิดการเยียวยา ทั้งตัวเรา หรือคนรอบข้าง กาลาเทีย 5:13-14 13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ   อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง   แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด 14เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว   คือว่า   จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

2.พาคนรอบข้างให้ได้พักทางจิตใจ  ลูกา 13:15-17

15แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า   “โอ   คนหน้าซื่อใจคด   เจ้าทั้งหลายทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมัน   พาไปให้กินน้ำในวันสะบาโตมิใช่หรือ 16ฝ่ายผู้หญิงนี้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม   ซึ่งซาตานได้ผูกมัดไว้สิบแปดปีแล้ว   ไม่ควรหรือที่จะให้เขาหลุดพ้นจากเครื่องจำจองอันนี้ในวันสะบาโต”17เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว   บรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ต้องขายหน้า   และประชาชนก็เปรมปรีดิ์   เพราะสรรพคุณความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำ  

พระเยซูคริสต์ทรงมองเห็นวิญญาณแห่งความเป็นทาสอยู่ในคน สำแดงออกเป็นความผิดปกติในสุขภาพร่างกาย พระองค์ไม่ยอมให้อิทธิพลของสังคมกักขังคนต่อไป พระองค์จึงต่อต้านความคิดของคนที่พยายามจะพาคนกลับไปสู่ความเป็นทาสอีก เราจะเห็นการตอบสนองของประชาชนต่อคำสอนของพระเยซูคริสต์ ประชาชนเปรมปรีด์   ในขณะที่ อีกฝ่ายหนึ่งที่ลูกาใช้คำว่าบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซูคริสต์ต้องขายหน้า บรรยายภาพความรู้สึกของคนสองกลุ่มที่ขัดแย้งกัน ฝ่ายหนึ่งไม่มีความสุข แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีความชื่นชมยินดี เพราะสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเป็นคุณต่อประชาชน ความรู้สึกเปรมปรีด์นี้ มีความหมายถึงความสุขที่เกิดจากความนิ่งสงบของจิตใจ หากจะกล่าวเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ รู้สึกโล่งอก เหมือนเอาภาระที่แบกอยู่ลงจากบ่า เพราะสิ่งที่ตนเองคาดหวังนั้นไม่ผิดต่อพระเจ้า สามารถทำในสิ่งที่ตนเองคาดหวังจากพระเยซูคือขอการเยียวยารักษาโรคในวันสะบาโต  ข้าพเจ้าเชื่อว่า วันนั้น ไม่ได้มีแค่หญิงหลังโกงหายโรคคนเดียว เหมือนกับที่ยอห์นได้บันทึกว่า ยอห์น 21:25 25มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ   ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง   ข้าพเจ้าคาดว่า   แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น  เมื่อพระเยซูตอบโต้นายธรรมศาลาอย่างนั้น ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ภาพแห่งความเปรมปรีด์ของประชาชนต่อคำสอนแสดงออกด้วยการออกมาให้พระเยซูรักษาโรคอย่างไม่ต้องเกรงกลัว และเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ขายหน้า นั่นคือ ประชาชนไม่ฟังคำสั่งของนายธรรมศาลา เพราะพระเยซูคริสต์ทรงกระชากป้ายคำว่า งดบริการออก และพระองค์บริการประชาชนโดยไม่เกรงกลัวต่อคำห้ามนั้น   คนของพระเจ้าต้องเป็นเหมือนพระเยซู ต้องเอาป้ายงดบริการออกจากชีวิต ป้ายที่สังคมแขวนใส่คอให้ ด้วยกระแสของคนหมู่มากว่า ถ้าให้ ถ้าช่วย ถ้าบริการจะกลายเป็นคนโง่ในสังคม   ความกลัวที่จะกลายเป็นเหยื่อ จะต้องจ่ายค่าโง่ บ่อยครั้งเรากลัวที่จะถูกหาว่าโง่ หรืออยู่ในสภาพเหยื่อที่เสียเปรียบชาวบ้าน ทำให้เรานิ่งเฉยต่อความทุกข์ของคนมากมาย    แต่การช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมา นี่ต่างหากคือโอกาสที่จะพาให้คนเหล่านั้นเข้ามาสู่เส้นทางพักของจิตใจของพระเยซูคริสต์เจ้าได้ พระเยซูคริสต์ทรงวางรูปแบบการร่วมเส้นทางกับพระองค์ไว้ด้วยการจ่ายราคาให้กับมนุษย์ทุกคนเพื่อให้มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะร่วมทางกับพระองค์ ลูกา 9:23 23พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า   “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา   ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง   และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน   และตามเรามา    การเอาชนะตัวเองและแบกกางเขนของตนที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนสาวกให้เดินร่วมทางกับพระองค์ แท้จริงพระองค์ได้จ่ายราคาให้แล้ว แต่ที่สาวกต้องเอาชนะตัวเองและแบกกางเขนของตนเองตามพระเยซูคริสต์  คือการจ่ายราคาของตนเองเพื่อจะเดินในเส้นทางเดียวกันกับพระเยซูได้อย่างตลอดรอดฝั่ง มีคริสเตียนไม่น้อยที่ได้รับคำสอนว่า เราได้รับความรอดมาฟรีๆ  แต่เป็นคำสอนเพียงแค่ครี่งเดียว แท้จริงคำเชิญชวนของพระเยซูตอนนี้ คือความสมบูรณ์ของการดำเนินชีวิตคริสเตียน นั่นคือ ต้องมีการจ่ายราคาของตนเอง เพื่อจะเดินให้ถึงสุดทางของความรอด  มีคริสเตียนไม่น้อยที่ไม่จ่ายราคา  โดยไม่เคลื่อนไหว  ไม่เติบโต ไม่ฝึกวินัย  ไม่ทุบตีเนื้อหนังให้มันอยู่มือ แต่ปล่อยให้ตัวเองลอยไปเหมือนกับผักตบชวาที่ลอยออกไปใกล้ปากอ่าวไทย เมื่อสัมผัสกับน้ำกร่อยเมื่อไร ชีวิตก็สิ้นสุดเมื่อนั้น แต่จะมีคริสเตียนบางคนที่เป็นเหมือนปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำ หาน้ำสะอาด น้ำที่หวานชื่นฝ่ายวิญญาณ คริสเตียนเหล่านี้คือคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตติดตามพระเยซู ในเส้นทางเดียวกันกับพระองค์  เขาเดินในทางแคบ  เขาไว้วางใจในพระเจ้ามากกว่าเงินทอง เขาติดตามพระเยซูไปทุกทาง แม้โลกจะเยาะเย้ย ปฏิเสธเขา เขาก็ยังรักษาความเชื่อ การพัก การทำงานของคริสเตียนพวกนี้ มีพระเจ้าเป็นหลักในการพัก การทำงาน ต้องซื่อสัตย์ซื่อ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า  การวางแผนชีวิตในช่วงปลายปีที่จะมาถึงของคริสเตียนเหล่านี้ ก็ยังมีเป้าหมายที่จะไปให้ถึงที่พำนักของพระเจ้า การวางแผนการทำงานในปีหน้าก็เช่นเดียวกัน เขาก็ยังต้องการไปให้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  นี่แหละคือชีวิตที่ปราศจากที่ดิ….กับคำว่า พักและทำงาน ของคริสเตียนที่เป็นเหมือนปลา มิใช่อย่างผักตบชวา แล้วเขาจะรอดปลอดภัยจากกระแสแห่งการทำลายสุขภาพ ร่างกาย และจิตวิญญาณ ของอาณาจักรอียิปต์  นายงานที่ต้องการเอามนุษย์ทุกคนเป็นทาสของมัน  ฮีบรู 10:19-25   19เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย   เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู 20ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต   ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น   คือทางพระกายของพระองค์ 21และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว 22ก็ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ   ด้วยไว้ใจเต็มที่   มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว   และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์ 23ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น   โดยไม่หวั่นไหว   เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ 24และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร   จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี 25อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น   แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น   เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว  ขอให้การพักและการทำงานในชีวิตของเราทุกคนนำเราไปสู่ที่พำนักของพระเจ้า โดยที่เรามีคนอื่นๆร่วมเส้นทางไปกับเราด้วย อาเมน

“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…กับคำว่าพักและทำงาน”

1.มุ่งหน้าสู่ที่พำนักของพระเจ้า

2.พาคนรอบข้างให้ได้พักทางจิตใจ 

By admin