“เติบโตขึ้นด้วยความรัก”
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เราไม่ต้องไปบังคับการเจริญเติบโต เหมือนกับเด็กที่เกิดมาต้องเติบโต และต้องเติบโตทุกด้าน เพียงแต่ว่า จะเติบโตอย่างสมบูรณ์ หรืออย่างไม่สมบูรณ์ ปัจจุบันมีมุมมองการเติบโตถึง 7 ด้าน ได้แก่
1. IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดทางสติปัญญา เป็นความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การคำนวณ และการใช้เหตุผล
2. EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความสามารถในการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น สามารถควบคุม อารมณ์และยับยั้งชั่งใจตนเองและแสดงออกอย่างเหมาะสม รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักรอคอย รู้จักกฎเกณฑ์ระเบียบวินัย มีจิตใจร่าเริงแจ่มใส และ มองโลกในแง่ดี
3. CQ (Creativity Quotient) ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์ มีความคิด จินตนาการหรือแนวคิดใหม่ๆ ในรูปแบบต่างๆ เช่น การ เล่น งานศิลปะ และการประดิษฐ์สิ่งของ นักวิจัยพบว่าการเล่นและทำกิจกรรมที่ส่งเสริมจินตนาการเช่น การเล่นศิลปะ การหยิบจับของใกล้ตัวมาเป็น ของเล่น การเล่านิทาน เป็นต้น
4. MQ (Moral Quotient) ความฉลาดทางศีลธรรมจริยธรรม คือมีความประพฤติดี รู้จักผิดชอบ มีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มี จริยธรรม เป็นแนวคิดที่มุ่งตอบคำถามว่าการที่เรามีคนที่ IQ ดี EQ สูง แต่ถ้ามีระดับจริยธรรมต่ำก็อาจใช้ความฉลาดไปในทางที่ไม่ถูกต้องก็เป็นได้ MQ จึงเน้นเรื่องการปลูกฝังความดีงามซึ่งตรงกับหลักศาสนาหลายศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนดี
5. PQ (Play Quotient) ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น เกิดจากความเชื่อที่ว่าการเล่นพัฒนาความสามารถของเด็กได้หลายด้าน ทั้ง พัฒนาการด้านร่างกาย ความเฉลียวฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์และสังคม PQ จึงเน้นให้พ่อแม่เล่นกับลูก ถึงกับมีคำพูดที่ว่าพ่อแม่เป็น อุปกรณ์การเล่นที่ดีที่สุดของลูก
6. AQ (Adversity Quotient) ความฉลาดในการแก้ไขปัญหา คือมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวในการเผชิญปัญหาได้ดี และพยายาม เอาชนะอุปสรรคความยากล าบากด้วยตัวเอง ไม่ย่อท้อง่ายๆ มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทาย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องจำนน
7. SQ (Social Quotient) ความฉลาดทางสังคมที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพราะมนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่ง กันและกัน มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมสังคมด้วยกัน ไม่คิดว่าตนเองเหนือกว่าใคร ต้องมีใจเปิดกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น อีกทั้งต้องไม่ เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ข้าพเจ้าขอเพิ่มอีกหนึ่งคิว ก็คือ LQ (Love Quotient)คือความสามารถในการรัก พระคัมภีร์กล่าวถึงความสามารถในการรักอย่างชัดเจนด้วยนิยามของความรัก 1 โครินธ์13:4-7 4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง นี่คือ LQ ที่ทุกคนต้องการ และนี่คือเป้าหมายของการเจริญเติบโตของคริสเตียนทุกคน พระเจ้าทรงประทานของประทานในคนที่จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างคนของพระเจ้าให้มีความสามารถในการรัก เอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
ในพระคัมภีร์ตอนนี้กำลังบอกเราถึงการเจริญเติบโตของคริสเตียนทุกคน มีเป้าหมายทิศทางเดียวกัน คือเป็นผู้ใหญ่ที่โตเต็มขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เป็นเรื่องเข้าใจยาก ว่าความไพบูลย์ของพระคริสต์นั้นมีขนาดไหน เราจะใช้อะไรวัดขนาดของความไพบูลย์ของพระคริสต์ คำตอบในข้อ 16 คือ การเติบโตขึ้นด้วยความรัก “ความรัก” เป็นดรรชนีบอกขนาดการเติบโต ในยอห์น 13:35 35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” “เติบโตขึ้นด้วยความรัก” คือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด และเป็นเครื่องมือวัดความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ความสามารถ แต่เป็นความรัก 1โครินธ์13:13 13 ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ความรักไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยสมอง หรือคำอธิบายใดๆ ความรักต้องปฏิบัติจึงจะเข้าใจ นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์เอเฟซัสใช้คำว่า เต็มขนาด ซึ่งต้องมีมาตรวัดถึงการเติบโตขึ้นด้วยความรัก และวัดได้ด้วยการกระทำเท่านั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีช่องทางของการแสดงความรัก พระคัมภีร์เอเฟซัสจึงกล่าวถึง การเชื่อมต่อกัน 16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว พระคัมภีร์กล่าวถึงช่องทางการเติบโตขึ้นด้วยความรัก
1.การเชื่อมต่อกัน (Joined together) เอเฟซัส 4:16ก
16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิท…
ลักษณะหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ดี คืออยากอยู่ใกล้กัน อยากพัฒนาความสนิทสนม ความสัมพันธ์ที่ดีนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้มีการติดต่อกันสนิท เรามักจะได้ยินคำว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเกิดจากการไม่มีเวลาให้แก่กันและกัน เช่น ในครอบครัว พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูก เพราะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหาเงิน ทำมาหากิน สุดท้ายก็สูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีไป ครอบครัวแตกสลายก็เพราะความสัมพันธ์ไม่ดี ความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เกิดจากการไม่ให้เวลากันและกัน การสื่อสารมีช่องว่าง ไม่เข้าใจกันมากขึ้น เพราะไม่ได้เรียนรู้จักกันและกัน เราจะเห็นว่า พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเสด็จมายังโลกนี้ เพื่อจะนำการคืนดีกันให้เกิดขึ้นระหว่ามนุษย์กับพระเจ้า เพื่อจะขจัดช่องว่างในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระเจ้าทรงเสด็จมาอยู่ใกล้กับมนุษย์ ฟิลิปปี 4:5-7 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ คำว่าจิตใจที่อ่อนสุภาพ มาจากรากศัพท์คำว่า จงเป็นเหมือน ซึ่งใช้อธิบายว่าถึงการอยู่ใกล้อะไรก็เหมือนสิ่งนั้น พระคัมภีร์ตอนนี้อธิบายว่า การอยู่ใกล้พระเจ้าทำให้เราเป็นเหมือนพระองค์ คือ มีจิตใจที่เหมือนพระเจ้า คำว่า อ่อนสุภาพ ถูกอธิบายลักษณะการแสดงออกด้วยคำว่า อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย ในข้อ 6 และจงเชื่อมต่อกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน การขอบพระคุณ การอธิษฐานคือช่องทางการสื่อสารและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ นั่นคือความไว้วางใจในพระเจ้าเกิดขึ้น นี่คือรูปแบบของการมาอยู่ร่วมกันของพระกายของพระคริสต์ เป้าหมายก็คือการทำให้เกิดความไว้วางใจกัน ที่เรียกว่า ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราจะไม่สามารถลดช่องว่างการสื่อสารได้ หากเราไม่ใช้เวลาด้วยกัน
ขออย่าให้เราสัมพันธ์กันแค่มีหน้าที่ต้องทำ หมดหน้าที่ก็แยกตัวออกไป โดยไม่ใช้เวลาด้วยกัน การใช้เวลาด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ทำให้เกิดการเติบโตขึ้นด้วยความรัก แต่การใช้เวลาอย่างขอไปที ไม่ทำให้เกิดการเติบโตขึ้นด้วยความรัก นั่นคือไม่มีความสนิทสนม ไม่ได้รู้จักกันมากขึ้น ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ไม่รู้ใจกัน การตอบสนองของคนที่ไม่รู้ใจกัน ทำให้ไม่สามารถรับการสื่อสารของอีกฝ่ายได้ คนที่ไม่รู้ใจกัน มีแต่จะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ มีแต่จะทำให้เกิดช่องว่างในความสัมพันธ์กัน และสร้างความแตกแยก สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเชื่อมต่อ มีแต่จะมีรอยแยก คนที่ไม่รู้ใจกันอยู่ด้วยกันยาก เพราะจะมีแต่สร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาเพื่อจะนำชีวิตมาให้ เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ นั่นคือ การเข้าสนิทกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์จึงทรงตรัสในหนังสือยอห์น15:4,9,17 4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น…9 พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา…17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน พระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ให้มองเห็นภาพของการเชื่อมต่อกันของพระเยซูกับพระเจ้าพระบิดา กับสาวกของพระองค์ และระหว่างสาวกกับสาวก คำว่า เกิดผล รากศัพท์คำนี้มาจากคำทีมีความหมายถึง สิ่งที่สามารถจับต้องได้ ฉวยไว้ได้ ไม่ใช่แค่เป็นแต่นามธรรม คำพูดลอยๆเท่านั้น และนี่แหล่ะคือการแสดงออกของความหมายของความรักที่แท้จริง การเชื่อมต่อที่แท้จริงต้องทำให้เกิดความรักที่สามารถจับต้องได้ ฉวยไว้ได้ ไม่ใช่ความรักที่เป็นแต่คำพูดหวานๆ 1เปโตร1:22 22 ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง ภาษาอังกฤษใช้สำนวนว่า Pure heart fervently แปลว่า มีความกระตือรือร้นที่ออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ นั่นคือต้องแสดงออก ความกระตือรือร้น สามารถแสดงออกและเห็นชัดด้วยการกระทำ ขอให้เราเชื่อมต่อกันด้วยความกระตือรือร้น ด้วยความรัก เราจึงจะเติบโตไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ได้
2.การประสานกัน (Joint Supplied) เอเฟซัส 4:16ข
และประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน…
คำว่า ประสานกัน ภาษาอังกฤษจะชัดเจนกว่า ก็คือ การสนับสนุนกันและกัน ข้าพเจ้าเคยได้ยินคำอธิบายถึงการผ่าตัดเอาอวัยวะของคนอีกคนมาให้กับอีกคน จะต้องมีการทดสอบ ตรวจสอบอย่างดี ว่าเนื้อเยื่อของอวัยวะของคนๆนั้นเข้ากันได้กับอีกคนที่รับการต่อกันหรือไม่ หากไม่ได้ ก็จะทำให้คนที่รับอวัยวะถึงตายได้เลย โดยเฉพาะอวัยวะนั้นมีส่วนสำคัญต่อร่างกาย เช่น การเปลี่ยนถ่ายไต พระคัมภีร์เอเฟซัสตอนนี้กำลังบอกกับเราเช่นเดียวกันว่า ถ้าการเชื่อมต่อระหว่างพี่น้องคริสเตียนต้องมีเนื้อเยื่อฝ่ายวิญญาณที่สามารถรับและเข้ากันได้ ถ้าเข้ากันไม่ได้ นอกจากจะไม่เติบโตแล้ว ยังทำให้ตายกันไปข้างหนึ่ง คำว่า ตายคือ กลายเป็นอวัยวะที่แยกขาดจากกัน กาลาเทีย 6:8 8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น ดังนั้น การประสานกันจะต้องประสานกันด้วยพระวิญญาณองค์เดียวกัน จึงจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ คือความสัมพันธ์ที่ไม่ตาย และนำไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ได้ การประสานงานกันของผู้เชื่อทุกคนจึงต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์มีส่วนร่วมด้วยเสมอ การอธิษฐานด้วยกัน การอธิษฐานรุ่งอรุณ การอธิษฐานในชีวิตประจำวัน เฝ้าเดี่ยวส่วนตัว เป็นองค์ประกอบสำคัญในการที่เราจะประสานกับคนอื่น พระวิญญาณบริสุทธิ์มักจะทรงนำเราให้สลายตัวตนของเราเองจึงจะเข้ากับคนอื่นได้ นี่เป็นคุณลักษณะของความเป็นเกลือ พระเยซูทรงตรัสว่า มัทธิว 5:13 13 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ เกลือมีคุณลักษณะของการประสานเข้ากับทุกอย่าง ด้วยการละลายตัวเอง มิใช่ไปละลายคนอื่น ความเค็มที่พระเยซูทรงใช้บ่งบอกลักษณะของความเป็นเกลือ คือความสามารถในการละลายตนเอง ทำให้เกิดรสเค็มกับสิ่งที่ตนเองละลายเข้าไปผสมผสานด้วย นี่คือความหมายที่แท้จริง ก่อให้เกิดประโยชน์ ตรงกับความคาดหวัง ความต้องการรสชาติความเค็ม ถ้าไม่มีรสเค็ม ก็ทำให้ผิดหวัง ดังนั้น การเติบโตขึ้นด้วยความรัก ต้องทำให้เกิดความรัก ไม่ใช่ยิ่งรับใช้ยิ่งเกิดเป็นความเกลียด ความอคติ ขมขื่น และหมดความสามารถที่จะรัก ความสามารถที่จะรัก ทำให้สามารถรักได้แม้กระทั่งคนที่ไม่น่ารัก รับได้กับคนที่สังคมรังเกียจ จนถึงระดับสูงสุดของความสามารถในการรัก คือรักศัตรู มัทธิว 5:43-48 43 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู 44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ47 ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ ให้เราสำรวจตัวเราว่า เรากำลังประสานกัน คือสนับสนุนให้กันและกันเติบโตขึ้นด้วยความรักหรือไม่ ถ้ายิ่งประสานกัน ไม่ได้ทำให้เติบโตขึ้นด้วยความรัก เราต้องกลับใจใหม่
3. การทำงานตามความเหมาะสม (Effectual Working) เอเฟซัส 4:16ค
เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว….
ภาษาอังกฤษมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า Put the right man on the right job คือการวางคนให้ถูกตำแหน่งหน้าที่การงาน เขาก็จะทำงานได้ตามความเหมาะสม ในพระคัมภีร์ตามรากศัพท์คำนี้ แปลว่า ทำงานอย่างมีประสิทธิภพ เกิดผล ตามความเข้าใจของคนทั่วไปคือสามารถสร้างผลงานเป็นที่พอใจของความคาดหวังของคน แต่หากเรามาดูคำอธิบายเรื่องความรัก เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่ พระคัมภีร์กำลังบอกเราว่า การมีประสิทธิภาพที่สุด การเกิดผลที่ดีที่สุดในงานทุกอย่างที่ทำล้วนต้องมีความรักเป็นองค์ประกอบสำคัญ หากปราศจากความรัก งานทุกอย่างที่ทำ การรับใช้ กิจกรรมต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความน่ารำคาญ ไม่มีค่าอะไรเลย และไม่มีประโยชน์แก่คนที่เสียสละขนาดยอมเสียชีวิตในงานนั้นๆ และนี่คือความเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ อวัยวะทุกอย่างเชื่อมต่อกัน และทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ความรักทำให้การทำหน้าที่ต่างๆดำเนินไปด้วยความใส่ใจ ด้วยความสนใจ และนำไปสู่ประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อ สมัยข้าพเจ้าเรียนพระคริสตธรรมที่เกาหลี จะมีทีมแม่ครัวที่เราเรียกพวกเขาว่า มัคนายก เพราะเป็นพวกอาสาสมัครมาทำอาหารให้เราทานทุกมื้อ แม่ครัวจะสลับกันทำอาหารให้เราทาน บางวันก็อร่อย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอร่อย ทั้งๆที่วัตถุดิบในการปรุงอาหารก็เหมือนกัน อาจารย์ที่สอนก็นั่งทานกับเรา และก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งพูดว่า รู้ไม๊ว่าทำไมอาหารมื้อนี้อร่อย เพราะคนทำอาหารใส่ความรักลงไปในการทำอาหาร นั่นคือ ความใส่ใจและสนใจคนกินอาหาร เป็นความพยายามสนใจว่าคนกินชอบอะไร ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับอาจารย์ท่านนั้น เพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์กับแม่ครัวสองคนที่ปฏิบัติข้าพเจ้าต่างกัน วันหนึ่ง ข้าพเจ้าถูกรุ่นพี่ชวนให้ไปเด็ดยอดฝักทอง ซึ่งพวกแม่ครัวปลูกเอาไว้ ออกดอกเยอะมาก ขณะกำลังเด็ด ก็มีแม่ครัวคนหนึ่ง มาร้องโวยวาย ห้ามเด็ด ส่วนแม่ครัวที่ทำอาหารอร่อย ก็เข้ามาห้าม บอกว่า อย่าไปต่อว่าเขาเลย เพราะพวกเขาอยากกินอาหารที่แตกต่างไปบ้าง เขาพูดกันเป็นภาษาเกาหลี ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แม่ครัวที่โวยวายก็เงียบ แล้ววันหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าครัวไปทำอะไรสักอย่าง เนื่องจากอากาศหนาวมาก เลยหั่นเอานิ้วตัวเองไม่รู้ตัว แม่ครัวที่โวยวายรีบดึงข้าพเจ้าไปทำแผลที่ห้องของเขาทันที ด้วยความใส่ใจ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แม่ครัวที่ทำอาหารอร่อย ได้ถ่ายทอดความรักห่วงใยของเขาให้กับแม่ครัวที่โวยวาย เปลี่ยนไปคนละคนเลย นี่คือ ภาพที่ข้าพเจ้าอยากให้พี่น้องได้เห็นว่า งานทุกอย่างหากมีความรักผสมผสานเข้าไปแล้ว ผลงานจะออกมาอย่างน่าประทับใจทั้งสิ้น แม้จะเป็นงานที่ดูเล็กน้อย และข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งที่นำพาให้การงานของเราทั้งหลายผ่านการพิสูจน์ด้วยไฟ ก็คือความรักนั่นเอง 1โครินธ์ 3:9-15 9 เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์ 10 โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำ นาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์12 บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง13 การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร14 ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ