คนทุกรุ่นเป็นความหวัง

วันนี้คริสตจักรกำหนดเป็นวัน NGM วันคนรุ่นใหม่  ปีนี้ตรงกับวันวาเลนไทน์เป๊ะ  คริสตจักรไม่ได้จัดวันวาเลนไทน์ ไม่ได้หมายความว่ามีความรักไม่ได้  มีได้แต่ต้องเป็นความรักในค่านิยมของพระเจ้าที่เสริมสร้างเรา   ไม่ใช่ค่านิยมของโลกที่ต้องการทำลายเรา ข้าพเจ้าคาดหวังว่าคนรุ่นใหม่ในคริสตจักรของเราจะดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง งดงามในเรื่องนี้ และมีความกล้าหาญที่จะสวนกระแสกับคนอื่น ๆ และถ้าเรามีจุดยืนในทางของพระเจ้า คริสตจักรมีความหวัง มีอนาคต

เราอาจจะพูดหลายครั้งว่า เด็กเป็นความหวัง คนรุ่นใหม่เป็นอนาคต ถูกต้องแต่ก็ยังไม่ถูกครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมด แท้จริงแล้ว คนทุกรุ่นเป็นความหวัง เป็นอนาคต  คนรุ่นปู่ย่าตายายในที่ประชุมนี้ป็นความหวังเป็นอนาคต  คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่นี่ทุกคนเป็นความหวังเป็นอนาคต วัยรุ่นหนุ่มสาวเด็ก ๆ ทั้งหมดนี้เป็นความหวังและอนาคต  (ฉายภาพดินสอสี ทุก ๆ สี )  ภาพ ๆ หนึ่งจะสวยงาม สมบูรณ์ ก็เมื่อภาพนั้นประกอบไปด้วยสีต่าง ๆ กัน เราแต่ละคนมีความสำคัญ เราแต่ละคน คนแต่ละรุ่นเป็นเหมือนสีแต่ละแท่งที่จะทำให้ภาพที่เกิดขึ้นมีความงดงาม เป็นภาพที่สมบูรณ์

หัวข้อเทศนาในวัน NGM ปีนี้คือ “คนทุกรุ่นเป็นความหวัง”

เรานิยามคำว่าคนรุ่นหนึ่งอย่างไร ……..บ้างอาจนิยามว่าจากช่วงเกิดของคนรุ่นหนึ่งที่ห่างจากคนอีกรุ่นประมาณ 30 ปี หรือวัดเอาจากวัฒนธรรมของคนแต่ละรุ่นเป็นตัวแบ่ง รุ่นเบบี้บูม หรือคนเจน X   เจน Y  เจน Z ไม่ว่าจะมีการนิยามกันอย่างไร ประเด็นที่สำคัญสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนแต่ละรุ่นได้รับข่าวประเสริฐ ได้ยินข่าวประเสริฐหรือไม่ มีการส่งต่อพระกิตติคุณแห่งความเชื่อไปในคนแต่ละรุ่น  และคนรุ่นต่อไปหรือไม่    จนถึงวันนี้ในชีวิตของเรา เราได้รับการส่งต่อความเชื่อจากผู้เชื่อรุ่นก่อน มีการสืบทอดส่งต่อความเชื่อต่อ ๆ กันมาจากอดีตถึงปัจจุบัน พระกิตติคุณข่าวประเสริฐจึงมาถึงเรา และยังคงต้องดำเนินอยู่กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป

การส่งต่อความเชื่อจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งคือสิ่งที่เป็นไปตามพระมหาบัญชาของพระเจ้าที่จะต้องเป็นจุดประสงค์หลักของคริสตจักร   และขับเคลื่อนไปโดยฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือหัวใจ คือความสำคัญที่คนแต่ละรุ่นจะต้องตระหนัก   คนทุกรุ่นเป็นความหวัง  เมื่อเราหันไปมองกันและกัน เรากำลังมองดูอะไรเห็นอะไร   สายตาของโลกนี้เมื่อมองคนสูงอายุอาจรู้สึกสิ้นหวัง มองดูเด็ก ๆ อาจบอกยังไม่เห็นอนาคต มองดูวัยรุ่นก็บอกหมดอนาคต แต่เราต้องมองเห็นอนาคต  มองเห็นความหวังในคน ๆ นั้น ในคนทุกวัยคนทุกรุ่น  พี่น้องช่วยส่งสายตาหน่อย  ให้เราหันไปมองกันและกันอย่างมีความหวัง คนทุกรุ่นเป็นความหวัง มีบทเรียนในเรื่องนี้ 2 ประการ

 

  1. เราเป็นคนแห่งความหวัง

ถ้ามีคนถามเราว่า who are you? คุณเป็นใคร ตอบไปเลยว่า เราเป็นคนแห่งความหวัง เราไม่ใช่คนหมดหวัง สิ้นหวัง เราเป็นหญิงเป็นชาย เป็นเด็ก วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ คนสูงอายุที่มีความหวัง เป็นความหวังที่ไม่ใช่หวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือหวังในทรัพย์สิ่งของของโลกนี้ หรือหวังในสิ่งใด  แต่ความหวังของเรามาจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

สดุดี 39:5-7  5ดูเถิด  พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น    ชั่วชีวิตของข้าพระองค์   ไม่เท่าไรเลย   เฉพาะพระพักตร์พระองค์  
 มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว  
 6มนุษย์ไปๆมาๆอย่างเงาแน่ทีเดียว    เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆแน่ทีเดียว  
 มนุษย์โกยกองไว้  และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป”  
 7“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร
ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์
  

คนของพระเจ้ารุ่นแล้วรุ่นเล่าดำรงอยู่มาได้เพราะมีพระเจ้าเป็นความหวัง ต่อให้สถานการณ์แย่และเลวร้ายที่สุด พระเจ้าก็ยังสามารถนำความหวังกลับมาให้เพื่อให้อยู่ต่อไปได้ด้วยความหวัง

ในสมัยผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ มีการเผาลูกตัวเองบูชายัญ  เยเรมีย์โกรธเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อิสราเอลอยู่ในสภาพที่ไม่มีความหวังในเวลานั้น เยเรมีย์ทนทุกข์กับสภาพที่สลดหดหู่น่าอดสู  ซ้ำยังต้องตกเป็นเชลยเป็นเมืองขึ้น    พี่น้องเราอยู่ในประเทศที่ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร เราอาจไม่เข้าใจสภาพความรู้สึก แต่อิสราเอลต้องการความหวังอย่างที่สุดที่จะได้รับการช่วยกู้และการปลดปล่อย    แล้วก็มีถ้อยคำแห่งความหวังมาจากพระเจ้า ในเยเรมีย์ 29:11 11พระเจ้าตรัสว่า   เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า   เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ  ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ   เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า พี่น้องอยากให้เราฟังพระคำตอนนี้แบบใช้จินตนาการว่าเรากำลังเป็นเชลย เป็นทาสที่ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกทารุณ มีคนถือแส้คอยใช้งานโบยตีเราตลอดเวลา

เยเรมีย์ 31:1-13 1พระเจ้าตรัสว่า   “ในวาระนั้น   เราจะเป็นพระเจ้าของบรรดาตระกูลแห่ง อิสราเอลและเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา”  
 2พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า     “ชนชาติที่รอดตายจากดาบ   
 ได้ประสบพระกรุณาคุณที่ในถิ่นทุรกันดาร     เมื่ออิสราเอลแสวงหาการหยุดพัก  
 3พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล  ตรัสว่า     ‘เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์  
  เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป  
 4เราจะสร้างเจ้าอีก   และเจ้าจะถูกสร้างใหม่    นะ  อิสราเอลพรหมจารี  
  เจ้าจะตกแต่งตัวเจ้าด้วยรำมะนาอีก    และจะออกไปเต้นรำกับผู้ที่สนุกสนานกัน  
 5เจ้าจะปลูกสวนองุ่นที่บนภูเขาสะมาเรียอีก     ผู้ปลูกก็จะปลูก    และใช้ผลนั้น’  
 6เพราะว่าจะมีวันเมื่อคนเฝ้ายามจะร้องเรียก    อยู่ในเขตแดนเทือกเขาเอฟราอิมว่า  
  ‘จงลุกขึ้น  ให้เราไปยังศิโยนเถิด    ไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา’ ”  
 7เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า     “จงร้องเพลงด้วยความยินดีเพราะยาโคบ  
 และเปล่งเสียงโห่ร้องเพราะประมุขของบรรดาประชาชาติ   จงป่าวร้อง  สรรเสริญ  และกล่าวว่า  
 ‘พระเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด    คือคนที่เหลืออยู่ของอิสราเอล’  
 8ดูเถิด  เราจะนำเขามาจากแดนเหนือ    และรวบรวมเขาจากส่วนที่ไกลที่สุดของพิภพ  
  มีคนตาบอดคนขาเขยกอยู่ท่ามกลางเขา    ผู้หญิงที่มีครรภ์และผู้หญิงที่คลอดบุตรจะมด้วยกัน  
 เขาจะกลับมาที่นี่เป็นหมู่ใหญ่  
 9เขาจะมาด้วยการร้องไห้    และเราจะนำเขากลับด้วยการเล้าโลมใจ  
เราจะให้เขาเดินข้ามลำธารน้ำ    ในทางตรงซึ่งเขาจะไม่สะดุด   เพราะเราเป็นบิดาแก่อิสราเอล  
 และเอฟราอิมเป็นบุตรหัวปีของเรา  
 10“บรรดาประชาชาติเอ๋ย   จงฟังพระวจนะของพระเจ้า  
 และจงประกาศพระวจนะนั้น   ในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป  
  จงกล่าวว่า   ‘ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา  
 และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา’  
 11เพราะพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว  
 และได้ไถ่มาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา  
 12เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน  
 และเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดีของพระเจ้า    เพราะเมล็ดข้าว  เหล้าองุ่น  และน้ำมัน  
 และเพราะลูกของแกะและโค    ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด  
 และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป  
 13แล้วพวกพรหมจารีจะเปรมปรีดิ์ในการเต้นรำ    และคนหนุ่มกับคนแก่จะรื่นเริง  
  เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน  
 เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์      

ในสิ่งที่แย่ที่สุดอิสราเอลก็ยังกลับมีความหวังขึ้นใหม่ได้    นี่เป็นถ้อยคำแห่งความหวังที่มาจากพระเจ้าถึงคนของพระองค์ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เราแย่ที่สุดเท่ากับอิสราเอลตอนนี้หรือไม่  ถ้าไม่ก็จงเชื่อว่าพระเจ้าจะให้ความหวังแก่เรา  หรือต่อให้เรื่องในชีวิตเราใหญ่กว่าอิสราเอลตอนนี้พระเจ้าก็ยังให้ความหวังแก่เราได้    เราต้องเชื่อในพระกิตติคุณสำหรับชีวิตของเรา  เชื่อในข่าวประเสริฐที่มาถึงเรา เชื่อในพระคำแห่งความหวัง เชื่อในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา

พระเจ้ารักเราแม้ว่าเราล้มเหลว รักเราทั้ง ๆ ที่เราผิดพลาด รักเราถึงเราจะไม่น่ารัก รักเราด้วยความรักที่เป็นนิรันดร ไม่หมด ไม่จบ ไม่มีวันสูญสิ้น  พระเจ้ายังคงมีความหวังในชีวิตของเรา แล้วทำไมเราต้องหมดหวังกับตัวเอง ความล้มเหลวความอ่อนแอความผิดพลาดมักผูกมัดชีวิตเรา กล่าวโทษเรา ตำหนิเรา ทำให้เราสิ้นหวัง  มารซาตานทำให้เราหมดหวังกับตัวเอง  ทำไมจึงมีคนที่ฆ่าตัวตาย นั่นเพราะเขาไม่มีความหวังในชีวิต มารทำให้เขาหดหู่สิ้นหวัง เราเองก็มีจุดที่หดหู่และสิ้นหวังแต่เราจะไม่ฆ่าตัวตาย ไม่จบชีวิตอย่างที่คนอื่นทำ เพราะเรามีพระเจ้าเป็นความหวังในชีวิตของเรา เรายังอยู่ได้ มีชีวิตดำเนินต่อไปได้อย่างมีความหวังโดยพระเจ้า   เราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร

ผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน เด็ก ยุวชน อนุชน คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ข้าพเจ้าขอพูดกับผู้หญิงทุกคนทุกวัยในห้องประชุมนี้ คุณเป็นคนที่งดงาม ฉลาด มีเมตตา  คุณเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือนคุณ  คุณให้คุณค่ากับความรัก  คุณเป็นคนล้ำค่า เป็นดั่งเพชร ดั่งไข่มุก เป็นการทรงสร้างที่สวยงาม  สายพระเนตรพระเจ้ามองดูคุณอยู่ด้วยความรัก คุณมีกำลัง คุณแข็งแรง คุณมีความสามารถ ผู้หญิงของพระเจ้าทั้งเอสเธอร์ นางรูธ มารีย์ ปริสคา ผู้หญิงเหล่านี้ได้เปลี่ยนโลกมาแล้ว  และผู้หญิงทุกคนในที่นี้ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น คนหนุ่มสาว คนสูงอายุ เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ด้วย  คุณเป็นลูกสาวของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  ทั้งหมดนนี้คือสิ่งที่บอกว่า คุณเป็นใคร

ผู้ชายทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน เด็ก ยุวชน อนุชน คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ  ข้าพเจ้าขอพูดกับผู้ชายทุกคนทุกวัยในห้องประชุมนี้ คุณเป็นใคร คุณเป็นคนที่แข็งแกร่ง กล้าหาญ มีศักยภาพ  คุณเป็นส่วนที่มีคุณค่าในการทรงสร้าง  คุณมีความสามารถ มีพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้   คุณมีของประทานที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน คุณมีความชื่นชมยินดี ตลกทำให้คนรอบข้างมีความสุข  คุณมีสติปัญญา  คุณมีคุณภาพเกินกว่าที่ใครจะคิดได้  และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเจ้ารักพวกคุณแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร จะมีตำแหน่งมีชื่อเสียงในสังคมหรือไม่มี คุณจะสอบได้ที่ 1 หรือได้ที่เท่าไหร่  ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไรพระเจ้ารักคุณ  คุณมีความรับผิดชอบที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ด้วยความรัก ด้วยการหนุนใจ ด้วยการแบ่งปัน ด้วยการสอน ด้วยเสียงหัวเราะของคุณ  คุณเป็นคนที่จะนำการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกที่แตกสลาย คุณเป็นคนที่จะคว่ำโลกเหมือนที่สาวกของพระเยซูเคยทำมาแล้ว  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บอกว่าคุณเป็นใคร

(อ่านด้วยกัน) สดุดี 8:3-5 3เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์   อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์  
 ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้  
 4มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา    และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า   ซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา    5เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่า   พระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา  

ความหวังในพระเจ้าจะนำเราสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหนทางที่ทำให้เรารู้ว่ามีอนาคต ความหวังจะช่วยให้เรามีกำลังที่จะก้าวเดินต่อไป  เราทุกคนเป็นคนแห่งความหวัง แม้กระเด็กที่เล็กที่สุดอย่างน้องโฮปก็เป็นความหวัง (ยืนข้างครูหนึ่ง ดุอิคคิว ตาม อาทิตย์ที่แล้ว บอกให้เด็กลูกภาษามือหยุดร้องไห้  “ชู่วส์  ….. ไม่เอาไม่ร้อง ๆ เงียบ”   วันหนึ่งเราจะมีครูสอนในคริสตจักรเด็กชื่อครูโฮป  เอเมนนะพี่น้อง  วันหนึ่งเค้าจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเพราะเค้าคือโฮปเค้าคือความหวัง

สดุดี 146:5

 5คนที่ผู้อุปถัมภ์ของเขาคือพระเจ้าของยาโคบ  ก็เป็นสุข  
 คือผู้ที่ความหวังของเขาอยู่ในพระเจ้าของเขา  

เมื่อเราเป็นคนแห่งความหวังแล้ว เราต้องทำสิ่งต่อไป

  1. เราต้องส่งต่อความหวัง

เราเป็นใครพี่น้อง  เราเป็นคนแห่งความหวัง และเราต้องเป็นคนที่ส่งต่อความหวัง

ในพระธรรมสดุดี 78  อาสาฟได้ส่งสารถึงคนรุ่นหนึ่งด้วยการหนุนใจให้มีการส่งต่อความหวังแบ่งปันความเชื่อในพระเจ้าให้กับคนในรุ่นที่กำลังจะมาถึง

เวลานี้เราแต่ละคนเป็นคนรุ่นไหน รุ่นปู่ย่าตายาย   รุ่นพ่อแม่  รุ่นลูก  รุ่นหลาน รุ่นเหลน ไม่ว่าเราอยู่ในรุ่นใด เราจำเป็นที่สุดต้องมีชีวิตที่จะต้องสร้างผลกระทบในพระคริสต์ให้กับคนในรุ่นของเราและรุ่นต่อไปจากเรา (อ่านด้วยกัน)

สดุดี 78:1-8 มัสคิลบทหนึ่งของอาสาฟ  

ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย  จงเงี่ยหูฟังคำสอนของข้าพเจ้า  
 เอียงหูของท่านทั้งหลายฟังถ้อยคำจากปากข้าพเจ้า  
 2ข้าพเจ้าจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา    ข้าพเจ้าจะกล่าวคำลับลึกของโบราณกาล  
 3ถึงสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยินได้ทราบ    ที่บรรพบุรุษของเราได้บอกเรา  
 4เราจะไม่ซ่อนไว้จากลูกหลานของเขา    แต่จะบอกแก่ชาติพันธุ์ที่กำลังเกิดมา  
 ถึงพระราชกิจอันควรสรรเสริญของพระเจ้า   และฤทธานุภาพของพระองค์  
 และการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ  
 5เพราะพระองค์ทรงสถาปนากฎเกณฑ์ไว้ในยาโคบ    และทรงแต่งตั้งกฎหมายไว้ในอิสราเอล  
 ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาแก่บรรพบุรุษของเรา    ว่าให้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นแก่ลูกหลานของเขา  
 6เพื่อชาติพันธุ์รุ่นต่อไปจะทราบเรื่อง    คือลูกหลานที่จะเกิดมา  
 และที่จะลุกขึ้นบอกลูกหลานของเขา  
 7เพื่อเขาจะตั้งความหวังของเขาไว้ในพระเจ้า    และไม่ลืมพระราชกิจของพระเจ้า  
 แต่รักษาพระบัญญัติของพระองค์  
 8และเพื่อเขาจะมิได้เหมือนบรรพบุรุษของเขา    คือชาติพันธุ์ที่ดื้อดึงและมักกบฏ  
 ชาติพันธุ์ที่จิตใจไม่มั่นคง    ผู้ซึ่งจิตวิญญาณของเขาไม่มั่นคงต่อพระเจ้า  

                พระธรรมตอนนี้เขียนโดยอาสาฟ ปุโรหิตในเผ่าเลวี อาสาฟได้เห็นความเความเชื่อในพระเจ้าของคนอิสราเอลเสื่อมถอย เห็นความตกต่ำฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้น และอาสาฟเขียนสดุดีบทนี้ด้วยความหวังที่จะเห็นผู้คนกลับมายืนหยัดในความเชื่อที่มีต่อพระเจ้า หัวใจสำคัญคือการส่งต่อ  พระธรรมตอนนี้ บอกให้เราเอียงหูและฟัง ถ้อยคำที่จะพูดออกมา  อาสาฟต้องการที่จะส่งต่อสติปัญญาให้กับอิสราเอล  และสติปัญญาที่ว่านั้นก็คือสิ่งที่เขาเองเคยได้ยินมา ได้รับการบอกกล่าวมาจากคนรุ่นก่อนถึงพระราชกิจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  และให้คนที่ได้ยินนั้นบอกต่อไปอีก

หากเราเงียบ ไม่พูด ไม่บอกกล่าว ไม่เล่าถึง เท่ากับเรากำลังซ่อนพระเจ้าเรากำลังปกปิด

พระเจ้าไว้ไม่ให้คนรุ่นต่อไปได้รับรู้  ความเงียบการไม่พูดไม่บอกไม่กล่าวคือการตั้งใจทำผิดอย่างหนึ่ง เราจะต้องบอกเรื่องราวของพระเจ้ากับคนรุ่นต่อไป ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก ยุวชนอนุชนคนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ คนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราต้องพูด ต้องบอกเรื่องพระเจ้ากับคนอื่น  เราทุกคนต่างมีความรับผิดชอบนี้เหมือนกัน ไม่เพียงแต่เรารู้จักพระเจ้า  มีความหวังในพระเจ้าเท่านั้น  เราต้องให้คนอื่นได้รู้จักและมีความหวังในพระเจ้าด้วย

พระเจ้ามีพระประสงค์ ที่จะให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักถึง 4 ชั่วอายุ  ซึ่ง 4 ชั่วอายุมีความหมายถึงคนทุกรุ่นที่จะมีพระเจ้าเป็นความหวังในชีวิต และติดตามพระองค์    อิสราเอลมีช่วงเวลาที่คนชั่วอายุหนึ่งล้มเหลวไม่สัตย์ซื่อในการติดตามพระเจ้า  แต่พระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อ ที่จะประทานความหวัง ความรอดกับคนรุ่นต่อไป   พระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาที่มีไว้ต่ออับราฮัมอย่างมั่นคง พระเจ้าไม่เคยลืมอิสราเอล และพระเจ้าไม่เคยลืมเรา ความหวังในพระเจ้าจึงมาถึงเราในวันนี้ เพื่อที่เราจะต้องส่งต่อความเชื่อในพระเจ้าไปยังคนรุ่นต่อไป  เรา คือคนทุกรุ่นในที่นี้จำเป็นต้องเชื่อร่วมกัน ทำร่วมกันที่จะส่งต่อความเชื่อความหวังให้กับคนรุ่นต่อไป  โดยการเรียนรู้ด้วยชีวิตของเรา และส่งต่อสิ่งที่พระเจ้าสำแดงต่อเรา   เราต้องรู้จักพระเจ้า และให้การรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตของเรา  ให้พระคำเป็นศูนย์กลางในบ้านของเราเรา ในชีวิตส่วนตัวของเรา

เราต้องบริหารความเชื่อบริหารพระคำในพระเจ้าด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ  ให้พระคำเป็นสิ่งที่เราเอามาปฎิบัติได้จริง และตั้งใจจริง ยากอบ 2:17 17ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน   ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล  

จากนั้นก็ส่งต่อความเชื่อให้กับคนรุ่นต่อไป เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-7 4“โอ   คนอิสราเอล   จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว 5พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของ ท่าน 6และจงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้า บัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน7และพวกท่านจงอุตส่าห์ สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน   เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน   เดินอยู่ตามทาง  และนอนลงหรือลุกขึ้น   จงพูดถึงถ้อยคำนั้น

ในการส่งต่อความเชื่อ แน่นอนที่เราไม่ใช่คนที่ดีพร้อม ทำถูกต้องตลอดเวลา และเราในฐานะที่เป็นคนส่งต่อ เราต้องยอมรับในความล้มเหลว ความผิดพลาดของตัวเอง มันเป็นการคิดแบบrealistic คิดตามความจริง  อย่าคิดแบบหนังไทยว่าเราเป็นนางเอกดีตลอดเวลา และเราต้องกล้าที่จะเปิดเผย กล้าที่จะยอมรับ กล้าที่จะบอกกับคนรุ่นต่อไป คนที่เราส่งต่อ  เพราะแม้ว่าเราล้มเหลว ผิดพลาด ไม่ดี แต่พระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อ ไม่เปลี่ยนแปลง และพระเจ้าทรงช่วยกู้เราอย่างไร ในการส่งต่อความเชื่อความหวังประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรา          แต่อยู่ที่พระเจ้า ที่คน ๆ นั้นจะต้องเห็น รับรู้ ถึงความยิ่งใหญ่ ความรัก ความเมตตา ความสัตย์ซื่อของพระเจ้า  ข้าพเจ้ามีสิ่งที่ไม่ดี มีความผิดพลาด ล้มเหลว มีความบาป   แต่ยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ โดยพระเจ้า เพราะพระเจ้าที่ยังคงสัตย์ซื่อไม่ใช่เพราะตัวเองเลย    เราต้องมองหาคนในรุ่นต่อไปที่เราจะส่งต่อสิ่งที่เราเรียนรู้จากพระเจ้าถ่ายทอดปลูกฝังความเชื่อที่เราได้รับมาแล้วให้กับคนเหล่านั้น  ไม่ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ที่พระเจ้ากำหนดให้เข้ามาในชีวิตเรา อาจเป็นคนในรุ่นเดียวกับเรา หรือคนรุ่นต่อไปจากเรา เราจะไม่ละเลย ละทิ้งใคร

เมื่อเดือนที่แล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปทำพันธกิจเด็กที่ชุมชนโกบอล์ท  เมื่อจอดรถกำลังเดินเข้าไปในชุมชน มีวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักข้าพเจ้า “ครูหนึ่ง จำหนูได้มั้ย” ข้าพเจ้าเงยหน้ามองเค้า “จำไม่ได้ค่ะ  โทษทีหนูชื่ออะไรคะ”    “ชื่อโอ๋ค่ะ  หนูเคยไปโบสถ์ตอนเด็ก ตอนนี้หนู 20 แล้ว”  แล้วตอนนี้หนูทำอะไรอยู่   หนูไปทำงานที่ออสเตรเลีย อยู่ที่โน่นหนูไปเข้าโบสถ์ฮิลล์ซอง   ตอนเด็ก ๆ หนูไม่ค่อยสนใจพระเยซู แต่หนูก็ยังเชื่อพระเจ้านะ”   นี่คือเด็กคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสอนเค้า ได้ส่งต่อความเชื่อ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเด็กที่มาโบสถ์สม่ำเสมอนัก แต่การส่งต่อได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าอยู่ในหัวใจของเขาแล้ว พระเจ้าเป็นความหวังในชีวิตของเขา

เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เข้ามาในชีวิตเรานั้น เราจะเจอเค้านานแค่ไหน จำน้องมิวน้องแมคเด็กชุมชนวัดใหญ่ได้มั้ยคะ  ที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่าแม่จะเอาไปอยู่พัทยา  และเวลานี้เค้าอยู่ที่พิษณุโลกกับยายแล้ว พวกเค้ามาโบสถ์เพียง 4 ครั้ง แต่เป็น 4 ครั้งที่พวกเค้าได้รับการส่งต่อความเชื่อแล้ว เป็น 4 ครั้งที่เชื่อว่าพวกเค้ามีความทรงจำที่ดี มีความสุขที่ได้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ ในคริสตจักร เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังในพระเจ้าได้ถูกหว่านลงไปในหัวใจของพวกเค้า

ใครที่เข้ามาในชีวิตเรา ใครที่อยู่กับเรา อยู่ใกล้เรา อยู่ในชีวิตเรา เราได้ส่งต่อความหวังถึงเค้าอย่างไร   ครอบครัวข้าพเจ้ายังไม่มีใครเป็นคริสเตียน ข้าพเจ้ามีหลานชาย ตอนนี้อายุ 7 ขวบ ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องพระเจ้าให้หลานฟังบ่อย ๆ  เมื่อช่วงวันหยุดคริสต์มาสที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาส มีเวลาที่จะอยู่กับเค้ามากหน่อย วันหนึ่งเปิดหนังการ์ตูนวันคริสต์มาสให้หลานดู เป็นเรื่องราวของพระเยซูมาบังเกิด จนกระทั่งพระเยซูถูกตรึงที่กางเขน  ข้าพเจ้าอธิบายให้หลานฟังว่าทำไมพระเยซูจึงถูกตรึงบนไม้กางเขน  เพราะว่าพระเยซูรักเรา รักมากและไม่อยากให้เราตกนรกเพราะความผิดบาปที่เราทำไป พระเยซูจึงมารับโทษแทน ถ้าเราเชื่อพระเยซูเราจะได้ไปอยู่สวรรค์ ไม่ต้องถูกลงโทษในนรก  น้องโอห์มตั้งใจฟังมาก ฟังเสร็จดูหนังเสร็จ หลานพูดกับข้าพเจ้าว่า “พระเยซูท่านใจดีจริง ๆ”  ข้าพเจ้าฟังแล้ว รุ้สึกว่าพระเยซูกำลังยิ้ม กับคำพูดของเค้า ไม่ใช่เพราะว่าเค้าเป็นหลานเรา  แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เป็นครูเด็ก และประโยคที่พูดตามมาที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความหวังก็คือ “ป้าหนึ่ง น้องโอห์มขอพ่อกับแม่ว่าให้พระเยซูมาอยู่ในใจโอห์มนะ แต่พ่อแม่ไม่ให้”  ข้าพเจ้าบอกหลานว่า แค่โอห์มคิดอย่างนี้ พระเยซูก็มาอยู่ในใจโอห์มแล้ว พ่อแม่มาเอาพระเยซูออกไปจากใจโอห์มไม่ได้…….  ความเชื่อความหวังได้ถูกส่งต่อไปแล้ว

ใครอยู่กับเรา เราเจอะเจอใคร ใครที่เข้ามาในชีวิตของเรา เราต้องมีความรับผิดชอบต่อคนเหล่านั้น ที่จะส่งต่อความหวังของพระเยซูไปให้เค้า

อยากให้เราได้ดู vdo เรื่องหนึ่ง  THE POWER OF THE WORDS

เราทุกคนมีถ้อยคำแห่งความหวัง เรามีเรื่องราวแห่งความหวังที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรา มากมาย ส่งต่อถ้อยคำเหล่านั้น เรื่องราวเหล่านั้น ให้คนรุ่นต่อไป ให้คนทุกรุ่น

คนในสังคมของเรามากมายขาดความหวัง เด็กที่อยู่ในวัย 4/14  วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่คนสูงอายุ ขาดความหวัง แต่เรามีหนทางความหวังของพระเจ้า   ไปหาคนเหล่านั้น เอาความหวังของพระเจ้าในเราไปให้เค้า เราทุกคนทำได้ เพราะคนทุกรุ่นเป็นความหวัง

โรม 15:13 12และอิสยาห์กล่าวอีกว่า   รากแห่งเจสซีจะมา  
  คือผู้จะทรงบังเกิดมาครอบครองบรรดาประชาชาติ  
  ประชาชาติทั้งหลายจะมีความหวังในพระองค์  
 13ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี   และสันติสุขในความเชื่อ   เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

By admin