“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ด้วยการช่วยชีวิตคน”
ในชีวิตของข้าพเจ้า มีสามเหตุการณ์ที่ทำให้มีคำพูดมาถึงตัวข้าพเจ้าว่า “เธอช่วยชีวิตชั้น” ครั้งแรก ตอนวัยรุ่น ไปเที่ยวล่องแพกับเพื่อน ตกกลางคืนก็จอดแพ นอนริมหาด เพื่อนคนหนึ่งว่ายน้ำไม่เป็น ยืนอยู่ในน้ำระดับเอว ขยับไม่ได้ จะขึ้นมาเองก็ไม่ได้ ข้าพเจ้าเดินไปพบเขาในความมืด ก็เลยดึงเขาเข้ามา เขาพูดกับข้าพเจ้าว่า “ไก่ เธอช่วยชีวิตชั้นเอาไว้” ครั้งที่สอง ที่เกาหลี ไปเดินห้างกับเพื่อนสนิท เพื่อนคนนี้ชอบหยอกล้อเป็นระยะ เดินไปก็หันมาทักเล่น พอขึ้นบันไดเลื่อน เขาก็หันมาแล้วชะโงกออกมานอกบันไดเลื่อนหยอกล้อ บันไดเลื่อนก็เลื่อนขึ้นไปจนจะถึงขอบบันไดของอีกชั้นหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นรีบดึงเขากลับเข้ามา มิฉันนั้น คอก็จะขาด เขาพูดกับข้าพเจ้าว่า “Gai you save my life” เธอช่วยชีวิตชั้น ครั้งที่สาม แม้ไม่มีใครพูด แต่ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองว่า ข้าพเจ้าได้ช่วยชีวิตเพื่อนสองคนและตัวของข้าพเจ้าเองจากการถูกทำร้ายในประเทศอิสราเอล ขณะที่เรานอนในโรงแรมแห่งหนึ่ง และมีคนร้ายเปิดประตูได้ แต่ข้าพเจ้าตื่นก่อน และชี้หน้าคนร้ายและถามว่า แกจะทำอะไร คนร้ายก็เลยวิ่งหนีออกไป ข้าพเจ้าวิ่งตาม ไปเจอคนร้ายอีกสิบคน ไม่สวมเสื้อเลย ข้าพเจ้าตะโกนบอกเพื่อนว่า อย่าออกจากห้อง ข้าพเจ้าจะไปแจ้งรปภ.ให้มาจัดการ ตอนนั้นสวมตีนสุนัขวิ่งสุดชีวิต จนถึงวันนี้ เมื่อนึกถึงคำว่า “เธอช่วยชีวิตชั้น” มันเป็นความรู้สึกดีจริงๆ และรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าได้ทำบทบาทในวาระต่างๆนั้นไว้ พี่น้องท่านรู้หรือไม่ว่า วันหนึ่งในแผ่นดินสวรรค์ จะมีคนมากมายพูดประโยคนี้กับเราว่า “เธอช่วยชีวิตชั้น” “คุณช่วยชีวิตผม” ยากอบ 5:19-20 19 พี่น้องของข้าพเจ้า ถ้าใครในพวกท่านถูกหลอกให้หลงผิดไปจากความจริงและมีคนนำเขากลับมา20 ให้คนนั้นรู้เถิดว่าผู้ที่นำคนบาปกลับจากทางผิดของเขา จะช่วยวิญญาณจิตของคนบาปนั้นให้รอดจากความตาย และจะทำให้บาปมากมายได้รับการอภัย มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เราทุกคนต้องการการให้อภัย เพราะมนุษย์เราผิดพลาดได้ตลอดเวลา เราผิดต่อคน และผิดต่อตัวเอง และผิดต่อพระเจ้าด้วย พระคัมภีร์ได้กล่าวตอนหนึ่งไว้น่าสนใจในหนังสือ 1ยอห์น 1:10 10 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย เป็นข้อพระคัมภีร์ที่สอดคล้องกับหนังสือโรม 3:23,24 ,25 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้นความหมายของคำว่า “บาป” แปลว่า พลาดไปจากเป้าหมาย คือพลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้า นิยามคำว่า บาปของพระคัมภีร์จึงแตกต่างจากคำว่า “บาป” ของศาสนาอื่นๆ
พระเจ้าทรงเกลียดชังบาปในมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าต้องช่วยกู้มนุษย์จากความบาป โดยการไถ่ของพระเยซูคริสต์ เพื่อมิให้มนุษย์ต้องตายเพราะความบาป โรม 6:23 23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา นี่คือเป็นความจริงที่มนุษย์มากมายไม่รู้ว่า ทำไมมนุษย์จึงต้องตาย ความจริงพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีชีวิตไม่ตาย แต่มนุษย์คู่แรกได้กินผลไม้ต้องห้าม คือต้นไม้รู้ดีรู้ชั่ว มนุษย์ได้เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า มนุษย์มีเค้าความคิดที่ถดถอยทางศีลธรรม พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า เค้าความคิดของมนุษย์มีแนวโน้มชั่วร้าย คือตกระดับลงไปเรื่อย ปฐมกาล 6:5-6 5 พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป6 พระเจ้าจึงเสียพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัส คำว่า เรื่องร้าย ภาษาฮีบรูตอนนี้ใช้คำว่า bad moral ไม่มีศีลธรรมเลย มนุษย์ตกอันดับจากการมีพระฉายาของพระเจ้า กลายเป็นมนุษย์สิ้นสง่าราศีของพระเจ้า แทนที่จะครอบครองเหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และนมัสการพระเจ้าพระผู้สร้างแต่ผู้เดียว มนุษย์กลับหันไปนมัสการสิ่งทรงสร้าง ท้องฟ้า ก้อนหิน ต้นไม้ และสร้างสิ่งต่างๆเพื่อนมัสการเป็นรูปเคารพของตนเอง มนุษย์ได้ห่างไกลจากพระผู้สร้าง ด้วยการหลอกตนเองว่า เขาไม่ต้องการพระเจ้าก็ได้ และมนุษย์สร้างศาสนาต่างๆขึ้นมาเพื่อให้คำจำกัดความของคำว่า บาปใหม่ เพื่อมนุษย์จะสบายใจว่า เขาสามารถลบล้างบาปได้ด้วยวิธีของตนเอง สามารถบริสุทธิ์ได้ และสามารถไปสวรรค์ได้ สิ่งที่สับสนในตัวมนุษย์เอง คือการกลัวตกนรก และอยากขึ้นสวรรค์ ข้าพเจ้ามักจะเรียกความรู้สึกนี้ว่า เป็นความรู้สึกที่หลงเหลือไว้สุดท้ายหลังจากอะไรมากมายที่เป็นของสวรรค์ได้เสียหายไปจากมนุษย์ เหลือไว้แต่สันชาตญาณสวรรค์ คืออยากขึ้นสวรรค์ ไม่อยากตกนรก การหลงไปจากความจริงนี้ คือสิ่งที่ยากอบได้กล่าวว่า ยากอบ 5:19-20 19 พี่น้องของข้าพเจ้า ถ้าใครในพวกท่านถูกหลอกให้หลงผิดไปจากความจริงและมีคนนำเขากลับมา20 ให้คนนั้นรู้เถิดว่าผู้ที่นำคนบาปกลับจากทางผิดของเขา จะช่วยวิญญาณจิตของคนบาปนั้นให้รอดจากความตาย และจะทำให้บาปมากมายได้รับการอภัย ใครคือคนที่จะนำคนบาปกลับจากทางผิดของเขา ใครจะช่วยวิญญาณจิตของคนบาปใหรอดจากความตายนิรันดร์ได้ และใครจะทำให้บาปมากมายได้รับการอภัย นี่คือสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสกับสาวกของพระองค์ในมาระโก16:15-18 15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า “เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน16 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ18 เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”
นี่คือคำตอบว่า ทำไมคริสเตียนต้องประกาศให้คนมาเชื่อพระเยซู เพราะสาระของการประกาศคือความจริงว่า มนุษย์ต้องการการให้อภัยจากบาป มนุษย์ต้องการ การให้อภัยกันและกัน มนุษย์ต้องการการให้อภัยตนเอง นี่คือการช่วยชีวิตคน
บ่ายวันนี้ เราจะออกไปแจกใบปลิว เราจะออกไปทำพันธกิจอย่างในมาระโก ไปเป็นพยาน นำความจริงของพระเจ้าไปบอกแก่คนมากมาย ให้คนได้รับการช่วยกู้ชีวิต การอธิษฐานเผื่อ การวางมือคนป่วย และบางทีก็จะต้องขับผีออกจากคน คนบางคนอาจจะกำลังยืนอยู่ที่ปากเหวลึก คนบางคนอาจอยู่ในเหวแล้วก็ได้ การช่วยกู้ชีวิต คือสภาพที่นำคนเหล่านั้นออกจากอันตราย ไปสู่ความปลอดภัย และหายดี
วันที่ข้าพเจ้าขาหัก รถปอเต็กตึ้ง ได้นำข้าพเจ้าไปส่งรพ. นำข้าพเจ้าออกจากที่ที่ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุ ข้าพเจ้าขยับขาซ้ายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนหนึ่งก็บอกหัวเข่าหลุด อีกคนหนึ่งก็บอกว่า แค่กล้ามเนื้ออักเสบ เจ้าหน้าที่ปอเต็กตึ้งมาขยับขาข้าพเจ้าขึ้นลง แล้วบอกว่า ไม่มีอะไรหัก ข้าพเจ้าสบายใจ บอกกับเพื่อนที่ไปด้วย ไม่หนัก ไม่เป็นไร เมื่อได้ขึ้นรถกู้ชีพ สิ่งหนึ่งคือความสบายใจ เพราะเขามาเพื่อช่วยกู้ชีพจริง และนำส่งรพ. เพื่อจะตรวจสอบว่า ข้าพเจ้าเป็นอะไร เมื่อถึงมือหมอ หมอสั่งให้ยกขาเอง ปรากฏว่า ยกไม่ได้ หมอวินิจฉัยเลย ว่าต้องมีอะไรหักแน่ๆ ไปเอ็กซเลย์เลย ปรากฏว่า สะบ้าหัวเข่าหัก สองท่อน หมอบอกต้องผ่าตัด ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธว่าข้าพเจ้าต้องรับการรักษา แต่จะรักษาแบบไหนที่จ่ายราคาไม่แพงเกินเหตุ เช่นเดียวกัน App. ชีวิตของเราทุกคนต้องรับการตรวจสอบว่า ทำไมเราจึงอยู่ในสภาพที่แย่ขนาดนี้ เราไม่รู้ คนที่ไม่ใช่หมอก็จะเดาโน่นนี่นั่น ศาสนาต่างๆก็เหมือนกับหน่วยกู้ชีพที่พยายามจะให้เราสบายใจ และพาเราไปหาหมอ แต่ว่าจะเป็นหมอเฉพาะทาง คือรู้จักธรรมชาติความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเราหรือเปล่า นั่นคือคำถามที่เราต้องหาคำตอบที่แท้จริงให้ได้ มิฉะนั้น เราก็จะหลงผิดไปจากความจริง และแก้ไม่ถูกโรคที่เราเป็น
ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้พระเยซูทรงตอบในความหมายเดียวกันนี้คือ คนเจ็บต้องการหมอ….และต้องเป็นหมอเฉพาะทางด้วย มัทธิว 9:9-13 9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10 เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารอยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวกสาวกของพระองค์11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า”12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” บทเรียนสำหรับเราในวันนี้ ก็คือ มีคนเจ็บมากมายที่กำลังต้องการการช่วยชีวิต ต้องการหน่วยกู้ชีพที่จะพาไปถูกโรงพยาบาล พบกับหมอที่สามารถวินิจฉัย และรักษาได้ถูกโรคจริงๆและพระเยซูได้ทำบทบาททั้งเป็นหน่วยกู้ชีพและเป็นหมอในคราวเดียวกัน วันนี้ พระเจ้าทรงเรียกเราทั้งหลายที่จะเป็นหน่วยกู้ชีพ ออกไปหาคนเจ็บที่กำลังต้องการหมอ เราไม่ได้ออกไปนอกสถานที่แล้วแจกแต่ใบปลิว เรากำลังปฏิบัติการกู้ชีพคน ขอให้เรามีสายตาอย่างพระเยซู กับคนรอบข้างดังนี้
1.เป็นหน่วยกู้ชีพอย่างพระเยซู มัทธิว 9:9
9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป คนเก็บภาษีสำหรับสังคมยิวในยุคสองพันปีที่แล้ว คือคนบาป ที่สังคมยิวรังเกียจ เพราะเป็นทาสรับใช้ของอาณาจักรโรม ในเวลานั้น อิสราเอลเป็นเมืองอาณานิคมของโรม ต้องถูกเก็บภาษี ส่งส่วยให้โรม และแม้กระทั่งกฎหมายโรมก็บังคับคนยิวให้รับใช้ทหารโรม เช่น ทหารโรมมีสิทธิ์เกณฑ์คนยิวให้ทำงานแทน เช่นแบกโล่ หรือจะเอาเสื้อผ้า ก็ต้องถอดให้ พระเยซูได้สอนคนยิวตอนหนึ่งว่า ถ้าท่านถูกเกณฑ์ให้เดินไปเป็นระยะกิโลเมตรหนึ่ง ก็จงเดินไปให้อีกหนึ่งกิโล ช่างเป็นคำสอนที่คนยิวไม่เคยคิดว่าจะทำ แค่ระยะทางที่กำหนดก็รู้สึกอึดอัดและอยากจะให้จบๆไปเร็วๆเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น คนที่เก็บภาษีอย่างมัทธิว จึงเป็นคนที่คนยิวตัดขาดออกไปจากสังคม นอกจากจะรับใช้ของศัตรูแล้ว ยังไม่สัตย์ซื่อในการเก็บภาษี คือมีการโก่งราคา เพื่อเข้ากระเป๋าตนเองก็มี ซึ่งถือว่าเป็นคนบาปในสายตาของสังคม แต่พระเยซูทรงมองมัทธิวแตกต่าง พระองค์ทรงมองเห็นความป่วยในจิตวิญญาณของมัทธิว ที่ทำให้มัทธิวตกในสถานะเป็นคนบาปของสังคม พระเยซูทรงเรียกมัทธิวว่า “จงตามเรามาเถิด” พระเยซูทรงมองมัทธิวที่ภายใน มิใช่ภายนอก หรือมองตามสังคมมอง พระองค์มองที่ความรู้สึกของมัทธิว พระเยซูเรียกมัทธิว และมัทธิวตอบสนองทันที นั่นคือความรู้สึกที่มัทธิวอยากมีใครสักคนที่จะเรียกเขาให้ลุกจากที่นั่งแห่งความบาปนี้ที่เขาติดอยู่กับมันมานาน สดุดี1:11 ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย มีคนบาปไม่น้อยที่ไม่มีความสุขกับการทำบาป เขากำลังต่อสู้และอยากจะหลุดจากบาปที่เกาะแน่นเหล่านั้น เขาต้องการใครจะสักทีจะเอาเขาออกไปจากที่ตรงนั้น แต่เขาออกมาเองไม่ได้
ข้าพเจ้าเคยฟังจิตแพทย์ท่านหนึ่งพูดถึงผู้ป่วยจิตเวชว่า คนเหล่านี้แตกต่างจากคนปกติที่ เมื่อพวกเขามีอารมณ์ซึมเศร้า หรือตกอยู่แรงกดดันบางอย่าง เหมือนคนปกติ แต่คนปกติ จะพาตัวเองออกมาได้ แต่สำหรับพวกเขา ไม่สามารถ เขาต้องการใครบางคนมาช่วยพาเขาออกมา นี่ความป่วยของคนที่ป่วยทางจิตเวช แต่สำหรับมนุษย์ทุกคน พระเยซูผู้เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงมองเห็นความป่วยของคนบาป ที่ไม่สามารถไม่ช่วยตัวเองได้
โรม 5:6 6 ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม มนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป ต้องการการช่วยชีวิตจากพระเยซู และมัทธิวรู้ตัว่าตนเองต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงตอบสนองพระเยซูทันที พระเยซูมีคำสอนเป็นคำอุปมาเกี่ยวกับคำอธิษฐานระหว่างคนเก็บภาษีกับฟาริสีอย่างนี้ ลูกา 18:10-14 10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น” คำอุปมาของพระเยซูตอนนี้ อาจมาจากเรื่องจริงที่เกิดแก่มัทธิว ซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่า มัทธิวตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาป และกำลังรอการช่วยเหลือจากพระเยซู เมื่อพระเยซูเสด็จมาเหมือนรถปอเต็กตึ่ง เห็นสภาพมัทธิว พระเยซูรับมัทธิวไปโรงพยาบาบฝ่ายจิตวิญญาณทันที หน่วยกู้ชีพฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่มองภายนอก แต่มองภายใน เราต้องสวมหัวใจ สายตาอย่างพระเยซู แล้วเราจะมองเห็นคนมากมายรอบข้างเราต้องการความช่วยเหลือ
ในทางตรงกันข้าม เรื่องราวของชาวสะมาเรียใจดี เป็นเรื่องที่พระเยซูทรงยกตัวอย่างเรื่องการเพิกเฉยของคนที่ควรจะต้องให้การช่วยเหลือ ลูกา 10:30-32 30 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว31 เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง พระเยซูทรงยกตัวอย่างของปุโรหิตและคนเลวี คนสองคนนี้มีบทบาทในสังคมที่มีสายตาที่มองออกว่าคนป่วย ชนิดไหน ระดับไหน มองอย่างปอเต็กตึ้งเลย คือมองออกว่า คนๆนี้ตายแน่นอน แต่กลับไม่ทำอะไรและหลีกเลี่ยงที่จะทำ ปกเต็กตึ้งยังเก็บศพ พวกนี้ไม่เอา เพราะกลัวตัวเองเดือดร้อน การช่วยชีวิตคนจะไม่สำเร็จ หากเรากลัวเดือดร้อน กลัวเสียเวลา กลัวโน่นนี่นั่น
2.มีหัวใจอย่างหมอ มัทธิว 9:10-12
10 เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารอยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวกสาวกของพระองค์11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า”12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
พระเยซูไม่เพียงเรียกมัทธิวให้ลุกจากที่ที่ทำให้มัทธิวป่วย ที่นั่งของคนเก็บภาษีมีการยั่วยวนเรื่องเงินทอง การไม่สัตย์ซื่อ การทำบาปอื่นๆที่ตามมา ทำให้ใจแข็งกระด้างไปเรื่อยๆ พระเยซูเรียกให้มัทธิวลุกออกจากตรงนั้น ขอบคุณพระเจ้าที่มัทธิวเชื่อฟัง และลุกขึ้น ตามพระองค์ไป ในการติดตามพระเยซู มัทธิวเชิญพระเยซูเข้าบ้านของตน ต้อนรับพระเยซู และร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ และยังพาคนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมสำรับกับพระเยซู คนยิวในยุคนั้น การทานอาหารด้วยกันคือการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี และคือจุดที่หวงแหนมากที่สุดของคนยิว เป็นพื้นที่ส่วนตัว ที่สงวนไว้สำหรับตนเอง และครอบครัว คนใกล้ชิด มิตรสหาย แต่มัทธิวเมื่อติดตามพระเยซู มัทธิวเปิดชีวิตส่วนที่หวงแหนของตนเองให้กับพระเยซู มัทธิวได้ทำหน้าที่ของการเป็นผู้ติดตามพระเยซู ด้วยการให้ชีวิตของตนเองส่งต่อสิ่งดีๆที่ได้รับจากพระเยซูไปสู่เพื่อนที่ป่วยฝ่ายจิตวิญญาณอีกหลายคน คือคนเก็บภาษี คนบาป ให้มารับการเยียวยา การรักษา จากพระเยซู มัทธิวหายป่วย และได้แบ่งปันเป็นพยานกับเพื่อนของเขา นี่คือชีวิตที่พบกับหมอจริงๆ รับหัวใจอย่างหมอคืออยากให้ทุกคนที่ป่วยหายดี 12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ เราทุกคนที่มาที่นี่ เราได้พบกับพระเยซู ที่ทรงเรียกเรา ช่วยเราให้หายดี เพราะความมีหัวใจอย่างหมอของพระเยซู เราต้องรับหัวใจอย่างหมอ แบบมัทธิว เพื่อนของเราอีกหลายคนที่ป่วย ต้องการการเยียวยาจากพระเยซู เช่นเดียวกัน
3.มีความเมตตา มัทธิว 9:13
13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” ความเมตตา เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้พิพากษา พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่จะทรงนั่งบัลลังค์การพิพากษามนุษย์ทั้งหลาย แม้พระองค์จะเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์ และเครื่องสัตวบูชาคือสัญลักษณ์ของการรักษาความบริสุทธิ์ของมนุษย์ ต่อหน้าพระเจ้า ในยุคของโมเสส อาโรน พระเจ้าทรงเข้มงวดเรื่องความบริสุทธิ์ปราศจากตำหนิของคนอิสราเอลที่เป็นประชากรของพระเจ้า ต้องถวายเครื่องบูชา รักษาการทรงสถิตของพระเจ้า เพื่ออิสราเอลจะรับพระพร มีชัยชนะ มีสวัสดิภาพที่ดี ปลอดภัย แข็งแรง ทั้งหมดเพื่อคนอิสราเอลจะได้รับสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง แต่ปุโรหิตในยุคต่อๆมาโดยเฉพาะในยุคของพระเยซู ปุโรหิตกลับเพี้ยนไปจากพระประสงค์ของพระเจ้า กลายเป็นการวางภาระหนักไว้บนบ่าของคนอิสราเอลในยุคนั้น ไม่เป็นพระพร ไม่มีความสุข ไม่ได้รับสิ่งดีจากการถวายเครื่องบูชาเลย คนบาปไม่มีสิทธิ์ได้รับการให้อภัยเลย แท้จริง พระประสงค์ของพระเจ้า คือความเมตตา หมอจะมีความเมตตา มีจิตใจต้องการช่วยเหลือคน และไม่มีเงื่อนไขในการช่วยเหลือคน พระเยซูผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ พระองค์มีความเมตตา และความเมตตาของพระองค์มีไม่จำกัด
สดุดี 147:3 3 พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ และทรงพันผูกบาดแผลของเขา
เยเรมีย์ 30:17 17 เพราะเราจะเรียกเนื้อขึ้นมาให้แก่เจ้า และเราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หาย พระเจ้าตรัส...
โฮเชยา 6:1-3 1 “มาเถิด ให้เรากลับไปหาพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้แก่เรา 2 อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น พอถึงวันที่สามจะทรงยกเราขึ้น เพื่อเราจะดำรงอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ 3 ให้เรารู้จักให้เราพยายามรู้จักพระเจ้า การที่พระองค์เสด็จออกก็แน่นอนเหมือนอรุณ พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน”
ขอให้เราเป็นผู้สื่อสารความเมตตาของพระเจ้า อย่างพระเยซู อย่างบุคคลในพระคัมภีร์เดิม กษัตริย์ดาวิด เยเรมีย์ และโอเชยา
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ด้วยการช่วยชีวิตคน”
1.เป็นหน่วยกู้ชีพอย่างพระเยซู
2.มีหัวใจอย่างหมอ
3.มีความเมตตา