“เส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….ต้องมีกำลังและฤทธิ์เดช”
เมื่อวานข้าพเจ้ามีจังหวะเข้าไปในห้องนอนของน้า เลยได้ดูทีวีการสัมภาษณ์โค้ชของน้องเมย์ รัชนก นักแบดมินตัน มือหนึ่งของโลก ที่กำลังดังในเวลานี้ โค้ชได้กล่าวถึงพื้นฐานที่ดีของน้องเมย์ก็คือ กำลังที่ดี กำลังที่ดีเหมาะสำหรับการแข่งขันหรือต่อสู้กับคู่แข่งได้นาน อึด และการมีกำลังสำหรับการฝึกซ้อมที่หนักได้ และเป็นที่มาของการได้ชัยชนะ เป็นบทเรียนที่สามารถนำมาประยุกต์กับเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดถึง เรื่องกำลังร่างกาย กำลังของจิตใจ และกำลังของจิตวิญญาณ ซึ่งหากเราไม่มีกำลัง เราจะไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้ เส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…ต้องมีกำลังที่จะเดินไปให้ถึงสุดทาง ทั้งกำลังใจ กำลังกาย กำลังฝ่ายวิญญาณ และยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญ ก็คือ ฤทธิ์เดชที่มาจากพระเจ้า เพื่อต่อสู้ขับไล่ศัตรูคือมารซาตานให้ออกไปจากชีวิตของเรา เพราะว่า โลกนี้มีมาร มารแปลว่า ผู้ขัดขวาง ปฏิปักษ์ เป้าหมายของมารคือมารต้องการให้มนุษย์ไปถึงปลายทางอย่างเดียวกันกับมาร ก็คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับความดี อยู่ตรงกันข้ามกับความสว่าง มารต้องการให้มนุษย์อยู่ในความมืด มารต้องการทำลายมนุษย์ มารเป็นเจ้าโลก มันมีอานุภาพเหนือคนที่อาศัยอยู่ในโลก 1ยอห์น 5:19-20 19 เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย 20 และเราทั้งหลายรู้ว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และได้ทรงประทานสติปัญญาให้เรา เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้าแท้ และเราอยู่ในพระเจ้าแท้นั้นโดยอยู่ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้และเป็นชีวิตนิรันดร์ คำว่า อยู่ภายใต้อานุภาพของมารร้าย หมายถึงการถูกปิดบังมิให้รู้จักพระเจ้าแท้ มิให้พบกับแสงสว่างแท้ ในพระคัมภีร์ตอนนี้ได้กล่าวว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าเท่านั้นจึงจะรู้จักพระเจ้าได้ ในหนังสือโครินธ์ก็ได้กล่าวถึงปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถจะรู้จักพระเจ้าได้ คนที่เกิดจากพระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณจึงจะสามารถวินิจฉัยสิ่งสารพัดที่มาจากพระเจ้าได้ เมื่อก่อนเราไม่รู้จักพระเจ้า แต่เมื่อเราได้บังเกิดใหม่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่บังเกิดใหม่โดยฤทธิ์เดชของกางเขนได้ทำลายอิทธิพลของมารที่อยู่เหนือเรา พระเยซูทรงใช้คำว่า ผู้มีกำลังมากกว่า ได้จับผู้มีกำลังมัดไว้ คือภาพของการต่อสู้ในมิติฝ่ายวิญญาณ ที่มารซาตานได้ควบคุมมนุษย์ในโลกนี้ไว้ ที่เห็นชัดก็คือคนที่ถูกผีเข้า
ลูกา 11:20-22 20 แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว21 เมื่อคนที่มีกำลังถืออาวุธเฝ้าตึกของตนอยู่ สิ่งของของเขาก็ปลอดภัย22 แต่เมื่อคนที่มีกำลังมากกว่ามาต่อสู้เอาชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาวางใจนั้นไปเสีย แล้วเอาสิ่งของที่ริบมาได้นั้นมาแบ่งสรรปันส่วน
โลกนี้มีมาร บ่อยครั้งที่เราดำเนินชีวิตในโลกนี้จนลืมว่า โลกนี้มีมาร คริสเตียนควรตระหนักรู้ว่าโลกนี้มีมาร และควรรู้ว่ามารซาตานมีอำนาจจำกัด และการปรากฏตัวของมาร ทำได้ในแต่ละสถานที่เป็นครั้งๆ เป็นแห่งๆ มารไม่สามารถปรากฏตัวได้ทีเดียวหลายสถานที่ นั่นหมายความว่า ถ้ามารมันอยู่ที่นี่ มันจะไม่สามารถอยู่ที่โน่นในเวลาเดียวกัน ถ้ามารมันมาอยู่ที่นี่ แสดงว่า มันต้องทิ้งงานอื่นของมันมาง่วนอยู่กับเรา แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พระเยซูทรงอยู่กับคริสตจักรในทุกแห่งได้ในเวลาเดียวกัน ทั่วโลก
เอเฟซัส 1:22-23 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน
ซึ่งมารทำไม่ได้ และมารทำได้คือวางสมุนมากมายไว้ตามที่ต่างๆและกำหนดงานให้สมุนของมันทำหน้าที่แทนในพื้นที่เหล่านั้น นี่คือคำว่า อานุภาพของมารร้ายผ่านสมุนของมาร ที่จำกัด และการต่อสู้นี้เราคิดว่า เราสามารถชนะมารได้ไม่ยาก
มาระโก 1:23-28 23 ในทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาของเขามีผีโสโครกเข้าสิง24 มันร้องอึงว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาทำลายพวกเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”25 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า “จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ”26 และเมื่อผีโสโครกทำให้คนนั้นชักและร้องเสียงดัง แล้วมันก็ออกมาจากเขา27 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกันว่า “การนี้เป็นอย่างไรหนอเป็นคำสั่งสอนใหม่แน่ ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันจำต้องฟัง”28 ในขณะนั้นกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วแคว้นกาลิลี
ผีที่อยู่ในคนมันรู้ว่า พระเยซูเป็นใคร และพระเยซูทรงรู้ด้วยว่า พระองค์มีอำนาจขนาดไหน และพระเยซูได้สัญญาว่าพระองค์จะอยู่กับผู้เชื่อ ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็อยู่กับผู้เชื่อด้วย
มัทธิว 28:18-20 18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
นี่คือที่มาของคำหนุนใจคริสเตียนที่เอเฟซัส เมืองที่เต็มไปด้วยรูปเคารพ และการเล่นไสยศาสตร์มากมาย สงครามฝ่ายวิญญาณนี้ไม่ได้ต่อสู้กับระดับผีที่อยู่ในคนเท่านั้น แต่ยังต่อสู้กับระดับนคร เมืองด้วย
เอเฟซัส 6:11-13 10 สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้
เราจะเห็นการวางลำดับชั้นของบริวารของมารตั้งแต่ระดับภาคพื้นดิน คือวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ จนถึงระดับอาณาจักร เราอยู่ในกรุงเทพที่มีการเรียกชื่อลำดับชั้นต่างๆของสิ่งที่คนกราบไหว้บูชา นี่คือการวางลำดับชั้นการควบคุมความเชื่อของคนในเมือง ในประเทศของเรา เราไม่ได้อยู่ในบ้านนี้ เมืองนี้อย่างสงบ เพราะมารมีสมุนของมันเต็มไปหมด ดังนั้น เส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ ไม่ใช่เส้นทางที่โลกสวยอย่างที่เราคิด และจินตนาการ เพราะว่า มารจะขัดขวาง ต่อต้าน ไม่ให้คริสเตียนไปถึงพระเจ้า มารต้องการขยายอาณาเขตการครอบครองของมันเข้ามาในชีวิตคริสเตียน แน่นอน มารโกรธที่มันสูญเสียอาณาเขตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของมันไป เมื่อคนๆหนี่งกลับใจใหม่ เลิกทำบาป เลิกเป็นทาสของมาร มารต้องการจะยึดพื้นที่ของมันคืน นี่คือสงครามที่พระคัมภีร์เอเฟซัสได้พูดถึง เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดและเนื้ออีกต่อไป แต่เรากำลังต่อสู้เหล่าสมุนของมารในพื้นที่ที่เราอยู่ แม้เราจะไม่ต่อสู้ แต่ศัตรูคือมารซาตานกำลังต่อสู้กับเรา และวนเวียนอยู่รอบๆเรา
1ปต. 5:8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้
นี่คืออีกภาพที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงว่า มารต้องการเอาคืน และมันจะวนเวียนรอคอยว่าคริสเตียน (ฟังดีๆ เฉพาะคริสเตียน) เมื่อไรจะอ่อนแอ คนที่อ่อนแอคือคนที่มารจะกัดกินได้ ข้าพเจ้าเคยให้พี่น้องมองเห็นภาพของฝูงกระทิงผู้ใหญ่ที่คอยห้อมล้อมกระทิงเด็ก ที่อ่อนแอ ให้ปลอดภัยจากการโจมตีทำร้ายของสิงโต หรือสัตว์นักล่าอื่นๆ นี่คือภาพที่บอกกับเรา ในบางครั้งที่เราอ่อนแอ และเรายังปลอดภัยอยู่ก็เพราะเราอยู่ในวงล้อมของคริสเตียนที่ทำหน้าที่ทหารฝ่ายวิญญาณ ข้าพเจ้าเขียนในสาส์นศิษยาภิบาลวันนี้ ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงคริสเตียนทำหน้าที่ทหารของพระคริสต์ด้วยการประจำการในการอธิษฐาน การอธิษฐานคืออาวุธอันทรงอานุภาพ และมารกลัวคริสเตียนที่อธิษฐาน โดยเฉพาะคริสเตียนที่อธิษฐานประจำ ในชีวิตที่มีการอธิษฐานตลอดเวลา การอธิษฐานทำให้เรามีกำลัง มีฤทธิ์เดช พระเยซูทรงอธิษฐานทุกเวลา เมื่อพระองค์มีโอกาส และว่างเว้นจากการทำพันธกิจ พระเยซูอธิษฐาน ทั้งเช้า ทั้งในเวลากลางคืน นี่คือแหล่งกำเนิดแห่งกำลังและฤทธิ์เดช และอ.เปาโลผู้เขียนหนังสือเอเฟซัสได้ปิดท้ายด้วยการบ่งชี้ที่สำคัญคือ คริสเตียนทุกคนที่กำลังเดินในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….ต้องมีกำลังและฤทธิ์เดช มิฉะนั้น ไปไม่ถึงเป้าหมายแน่นอน เพราะว่า มารจะขัดขวาง ด้วยการเข้ายึดครองพื้นที่ในชีวิตของคนๆนั้น ซึ่งจุดเปราะบางของคริสตจักร ก็คือ บาป ความวิตกกังวล และป้อมค่ายความคิดจอมปลอม เราจะมาดูว่า เราจะป้องกันจุดอ่อนแอนี้ได้อย่างไร จากคำแนะนำของหนังสือเอเฟซัสเรื่องยุทธภัณฑ์ทั้งชุด
เอเฟซัส 6:14-16 14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า
ดูเหมือนว่า ผู้เขียนหนังเอเฟซัสกำลังให้เรามองเห็นการมาคู่กันของการมีกำลังและฤทธิ์เดช สำหรับคนที่สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุด มิใช่สวมยุทธภัณฑ์แต่ขาดกำลังขาดฤทธิ์เดช หรือมีกำลังฤทธิ์เดชในขณะที่ไม่มีเครื่องป้องกัน หรืออาจให้เราได้มองเห็นภาพว่า ยุทธภัณท์ทั้งชุดนี้ ทำให้กำลังและฤทธิ์เดชสามารถทำงานในผู้ที่สวมยุทธภัณฑ์นี้ กำลังและฤทธิ์เดชนี้มาจากพระเจ้า แต่กำลังและฤทธิ์เดชนี้จะทำงานในเราได้อย่างไร คำตอบน่าจะอยู่ที่การสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุด ซึ่งทำหน้าที่ป้องกัน…..
1.ป้องกันการกระทำ เอเฟซัส 6:14-15
14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า
มีสำนวนที่เรามักได้ยินการตัดสินคนที่การกระทำ ด้วยคำว่า กรรมส่อเจตนา แปลว่า การกระทำใดๆก็ตาม คือการสื่อสารสิ่งที่ออกมาจากใจ น่าสนใจที่ผู้เขียนเอเฟซัสได้ยกการเปรียบเทียบสามอย่างในที่นี้ คือ
1.1 ความจริง เป็นเหมือนเข็มขัดคาดเอว สิ่งที่ทำให้นักยกน้ำหนัก ยืนได้อย่างมั่นคง คือเข็มขัด ความจริงทำให้เราสามารถรับน้ำหนักของชีวิต น้ำหนักคือแรงกดดันของชีวิต มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า แรงกดดันทำให้เราเติบโต ความจริงช่วยให้สามารถแบกรับแรงกดดันของชีวิตได้อย่างไร อยากให้เราดูตรงกันข้าม หากเราดำเนินชีวิตในการโกหก หลอกลวง เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันมาก เราจะหลุด เราจะไม่สามารถเป็นคนที่ไม่ใช่เราอีกต่อไปได้ อย่างเช่น เราพยายามที่จะเป็นคนดีเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เราควบคุมอารมณ์ของตนเองในระดับหนึ่ง แต่เมื่อแรงกดดันมากๆ เราจะหลุด กลายเป็นตัวจริงที่ไม่น่ารัก ไม่มีการรักษามารยาทกันอีกต่อไป
ทุกวันนี้ สังคมของเราเป็นสังคมที่สวมหน้ากากเข้าหากัน แรงกดดันต่างๆของชีวิต คือแรงกระชากหน้ากากออกเพื่อเผยให้เห็นตัวจริง และมารซาตานมันจะดีใจที่คนสวมหน้ากากให้แก่กันและกัน เพราะวันหนึ่งมารจะจัดฉากให้เกิดแรงกดดัน เพื่อให้คนแต่ละคนกระชากหน้ากากออกมา และนั่นคือการทำลายกันและกัน มารต้องการให้มนุษย์เป็นศัตรูกัน ต่อสู้กัน ทำร้ายกัน ไม่ยอมรับตัวจริงของกันและกัน ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในการโกหกหลอกลวงต่อกันและกัน การสวมยุทธภัณฑ์ส่วนนี้ คือการป้องกันการกระทำของเราจากการโกหกหลอกลวง การโกหกหลอกลวง คือวิถีที่ไม่มั่นคง ไม่ยั่นยืน ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า พระองค์เป็นความจริง เพราะพระองค์ทรงเป็นอย่างไร พระองค์ก็ทรงสามารถเผชิญกับแรงกดดันด้วยพระองค์ทรงเป็นอย่างนั้น แรงกดดันที่แรงสุดสำหรับมนุษย์คือการถูกทรมาน และถูกพิพากษาตัดสินให้ถึงตายบนไม้กางเขนโดยไม่ได้ทำผิดบาปเลย แต่มนุษย์ไม่น้อยที่ยังไม่ทันจะต้องเสียโลหิต ถึงตาย หรือแม้กระทั่งเกิดแรงกดดันในชีวิต เพราะความผิด ความบาปของตนเอง ก็จะเป็นจะตาย รับไม่ได้กับการถูกตักเตือนเพื่อให้แก้ไขปรับปรุง มีคริสเตียนเจ้าเล่ห์บางคนที่หาข้ออ้างว่าตนเองป่วย บาดเจ็บทางจิตใจ ถูกตักเตือนไม่ได้ก็มี นั่นคือการโกหกหลอกลวงตนเอง และหลอกลวงคนอื่น
กาลาเทีย 6:7-8 7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
จงกลับใจเสียใหม่ จงให้ความจริงป้องกันการกระทำ อย่าใช้การโกหกหลอกลวงป้องกันการกระทำของตนเอง เพราะวันหนึ่ง เราจะเสียใจ การโกหกหลอกลวงทำให้เราไม่สามารถที่จะต่อกรกับมารซาตานที่วนเวียนอยู่รอบๆเราได้ เราอาจปลอดภัยในเวลานี้ เพราะมีใครบางคนปกป้องเราอยู่ด้วยคำอธิษฐาน แต่ก็มีกระทิงอ่อนแอไม่น้อยที่เป็นเหยื่อของนักล่า อย่างสิงโต เพราะกระทิงอ่อนแอเหล่านั้นได้หลุดไปจากฝูงกระทิงผู้ใหญ่ เพราะความอ่อนแอของมัน ทำให้มันวิ่งตามฝูงไม่ทัน หรือมีช่องโหว่ในจังหวะการก้าวเดินทำให้สิงโตลากกระทิงที่อ่อนแอออกจากฝูงไปได้ คริสเตียนที่อ่อนแอ ขาดกำลังและฤทธิ์เดช ท่านต้องแข็งแรงและมีกำลัง มิใช่อ่อนแอตลอดเวลา เพราะใครจะรู้ได้ว่า จังหวะการก้าวเดินของตัวเองอย่างคนอ่อนแอที่ขาดฤทธิ์เดช จะนำภัยเข้ามาสู่ตัวเอง ด้วยช่องโหว่ที่ในชีวิต คือความบาป ความวิตกกังวล และป้อมค่ายความคิดจอมปลอมที่ทำให้ตัวเองปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระคริสต์
1.2 ความชอบธรรม เป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก เราจะเห็นเสื้อเกราะกันกระสุนในยุคของเรา ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่กู้ระเบิดใส่ เพื่อป้องกันส่วนสำคัญที่อันตรายถึงชีวิต ความชอบธรรมที่กล่าวถึงนี้คือ ความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ มิใช่ของตัวเราเอง หากเราดำเนินชีวิตเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง เราจะหลงตัวเอง และคิดว่า เราดีกว่าคนอื่น เราสูงกว่าคนอื่น ความชอบธรรมที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาเอง อุปโลกน์เองไม่สามารถป้องกันชีวิตของเราได้ มารซาตานหัวเราะ ลองนึกภาพที่เราเอาของเด็กเล่นที่เลียนแบบของจริงมาใช้เพื่อป้องกันอันตราย หรือเอาเสื้อเกราะของเด็กเล่นมาใส่ พวกผู้ก่อการร้ายจะหัวเราะเยาะ มองดูเจ้าหน้าที่ทหารอีเดียต มารซาตานก็จะมองคริสเตียนที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง โดยมองข้ามความชอบธรรมของจริงที่พระเยซูได้มอบให้กับเราเพื่อป้องกันเรา
การสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ทำให้เราคิดว่า เราไม่ต้องการพระเจ้า เราสามารถพึ่งพาตัวเราเองได้ การกระทำของเรากำลังเข้าสู่สภาวะของความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เราจะกลับไปสู่วิถีชีวิตเดิม ดังนั้นจำเป็นที่เราจะต้องป้องกัน (ระวัง) พฤติกรรมของเรา การดำเนินชีวิตโดยพึ่งพาความชอบธรรมของพระคริสต์ทำให้เราตระหนักเสมอว่า เราเป็นคนบาป ที่ได้รับการช่วยกู้ เราได้รับการไถ่จากพระเจ้า จากสำนึกนี้ ทำให้การแสดงออกของเราออกมาในทางถ่อมตน ไม่ยกตนเองเหนือคนอื่น ไม่รังเกียจคนบาป แต่เกลียดบาป ต้อนรับคนบาปทุกคน ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่ดูถูกคนอื่น นี่คือการป้องกันการกระทำของตนเอง ด้วยความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์เจ้า และมารจะไม่สามารถทำอะไรเราได้
ครั้งหนึ่งมารพยายามฟ้องพระเจ้าเรื่องโยบ มารกล่าวหาโยบ ที่โยบสัตย์ซื่อกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าอวยพรโยบ ถ้าพระเจ้าเอาพระพรทั้งหลายออกจากชีวิตของโยบ ดูสิ โยบจะเลิกนับถือพระเจ้าแน่ๆ แต่โยบก็ได้ลบคำสบประมาทของมาร โยบได้ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยในการสามารถลบคำสบประมาทของมาร
วันนี้ เรากำลังให้มารสบประมาท และทำให้พระเจ้าเสียพระทัยกับชีวิตของเราที่หวังพระพรจากพระเจ้าอย่างเดียว และถ้าไม่มีพระพร เราจะเลิกติดตามพระองค์ และกำลังหันหลังให้กับพระเจ้าหรือไม่ จงระมัดระวังป้องกันการกระทำของตนเองให้ดี เพื่อจะไม่เป็นไปอย่างที่มารต้องการจะกล่าวหา
1.3 ข่าวประเสริฐ มาเป็นรองเท้า คือไปที่ไหน ก็มีข่าวประเสริฐติดตัวไปด้วย ข่าวประเสริฐ แปลว่า ข่าวดี จะย่ำจะเดิน ใช้รองเท้าพาไป นั่นคือ ไปด้วยข่าวดี มีข่าวดีสวมไว้ตลอดเวลา มารซาตานต้องการให้ชีวิตของมนุษย์มีแต่ข่าวร้าย ไปไหนก็มีแต่ข่าวร้าย มีเรื่องทำให้เสียกำลังใจ สิ้นหวัง ด้วยคำพูดและการกระทำที่ติดลบ แทนที่จะเป็นบวก ขอให้เราป้องกันการกระทำคำพูดของเราด้วยข่าวดี พระเยซูคริสต์ได้อ่านหนังสืออิสยาห์ในธรรมศาลา และพระองค์ตรัสว่า พระธรรมตอนนี้สำเร็จแล้วในวันนี้ เนื้อหาสาระในหนังสือที่พระเยซูอ่านคือ
ลูกา 4:18-19 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า
การกระทำและคำพูดของเรากำลังทำให้คนที่ตกอยู่ในความมืดจนปัญญามืดแปดด้านได้พบกับแสงสว่างหรือยิ่งทำให้มืดกว่าเดิม การกระทำและคำพูดของเรากำลังนำการปลดปล่อยหรือยิ่งทำให้คนติดกับดัก ถูกพันธนาการ การกระทำและคำพูดของเรากำลังทำให้คนได้รับอิสรภาพหรือเป็นเชลย ทำให้คนตาบอดมองเห็น และนำการยกโทษให้อภัยของพระเจ้ามาสู่คนหรือไม่ หรือกำลังกล่าวโทษ ให้ร้ายคนอื่นอยู่ ขอให้เราสำรวจการกระทำของเรา ว่าเราได้ป้องกันการกระทำของเราอย่างไร
สดุดี141:3 3 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอรักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์
สดุดี 1:1 1 ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย
การป้องการกระทำจะทำให้เรามีกำลังและฤทธิ์เดชในการต่อสู้กับมารร้ายได้
1.2ป้องกันจิตใจ เอเฟซัส 6:16
16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย
จิตใจของเราคือเป้าหมายที่มารต้องการจะยิงลูกศรเพลิงของมัน มารเล็งเป้าว่า จิตใจของเรากำลังหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องอะไร และมันจะต้องยิงให้ถูกเป้า เมื่อถูกเป้าเมื่อไร ความเชื่อของเราก็จะตายไป เราก็จะมีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เรายึดติดนั้น แทนที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อในพระเจ้า พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความเชื่อที่อับปางลง เพราะจิตสำนึกที่เสียไป
1ทิโมธี 1:19 19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง ลูกศรเพลิงของพญามาร คือการทำลายชีวิตแห่งความเชื่อ
ขอให้เราระมัดระวังจิตใจของเรา กำลังถูกหล่อเลี้ยงด้วยอาหารแบบไหน
1ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
จิตใจของเรากำลังผูกพัน ยึดติดกับสิ่งใด เราได้ใส่เครื่องป้องกันจิตใจของเราไว้หรือยัง ความเชื่อเป็นโล่ ความเชื่อคือการเชื่อว่าเราอยู่ได้โดยพระเจ้า หากเรากำลังยึดติดอยู่กับสิ่งของหรือคนในโลกนี้ กำลังบอกว่า เราขาดสิ่งนั้นไม่ได้ เช่น ขาดมือถือไม่ได้ ขาดของกินที่ชอบไม่ได้ ขาดอบายมุขบางอย่างไม่ได้ ขาดเธอ (บางคน ) เหมือนขาดใจ ข้าพเจ้ามักจะพูดว่า เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ในยุคนี้อยู่ยาก เพราะมีสิ่งที่ล่อให้ยึดติดมากจริงๆ ทำให้ขาดนู่นนี่นั่นไม่ได้ ขาดแล้วเหมือนจะขาดใจ ระวังจิตใจของคุณให้ดี มิฉะนั้น คุณจะขาดกำลังและฤทธิ์เดชที่จะต่อสู้กับมาร คุณจะไปไม่ถึงความไพบูลย์ที่แท้จริง สุดท้าย…..
3.ป้องกันความคิด เอเฟซัส 6:17
17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า
ความคิดคือสนามรบที่ดุเดือดที่สุด และมารซาตานชอบที่จะทำให้ความคิดของเราเหมือนสนามรบ ในขณะที่พระเจ้าต้องการให้ความคิดของเราสงบ ร่มรื่น เหมือนสวนเอเดน ความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ ได้อย่างไร ความรอด แปลว่าการช่วยกู้จากพระเจ้า ผู้เขียนสดุดี คือกษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ในหนังสือสดุดีในบทที่ 18,20 บทเพลงขอการช่วยกู้และคำอธิษฐานเพื่อชัยชนะ
สดุดี 20:1-3 1 ขอพระเจ้าทรงตอบท่านในวันยากลำบาก พระนามของพระเจ้าแห่งยาโคบพิทักษ์รักษาท่าน 2 ขอพระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือมาจากสถานนมัสการ และให้ความสนับสนุนท่านมาจากเมืองศิโยน 3 ขอทรงระลึกถึงเครื่องถวายทั้งสิ้นของท่าน และโปรดปรานเครื่องเผาบูชาของท่าน
นี่คือวิธีคิดของนักรบ แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ รบทุกครั้งชนะทุกครั้ง เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของคนอิสรเอล ดาวิดป้องกันความคิดของท่านด้วยตระหนักเสมอว่า ความรอดของท่านมาจากพระเจ้า ในการรบทุกครั้งท่านได้มอบความไว้วางใจไว้ที่พระเจ้า ไม่ใช่ความสามารถของตนเอง อาวุธที่สำคัญมาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงรบแทนท่าน แม้คนจะมองเห็นว่าเป็นชัยชนะของท่าน แต่ชัยชนะนี้มาจากพระเจ้า วิธีอย่างนี้ ทำให้ถ่อมใจ และรับการช่วยกู้จากพระเจ้าเสมอ
วันนี้ เราซึ่งเป็นคริสเตียน เรามีอาวุธ คือพระวจนะของพระเจ้า เป็นดาบฝ่ายวิญญาณ เรากำลังใช้เพื่อป้องกันความคิดของเราอย่างไร พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างในการใช้พระแสงดาบของพระวิญญาณ ในการต่อสู้กับมารซาตานที่มาทดลองพระองค์ ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความคิดทั้งสิ้น มารมาทดลองพระเยซูทางด้านความคิด เรื่องอาหาร ให้สั่งก้อนหินให้กลายเป็นขนมปัง มารมันรู้ว่า พระเยซูอดอาหารสี่สิบวัน แน่นอน ตาลายได้แน่ๆ ถ้าความคิดคิดถึงแต่เรื่องของอาหาร ก้อนหินเป็นขนมปังได้เลย App. ถ้าเราไม่ป้องกันความคิดด้วยพระวจนะของพระเจ้า เราจะตาลาย และกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตามคำแนะนำของมารซาตาน Ex.มนุษย์คู่แรกสูญเสียการครอบครองโลกนี้ให้กับมาร ทำให้อานุภาพของมารอยู่เหนือโลกนี้ มาถึงเราทั้งหลายในวันนี้ด้วย ก็เพราะเรื่องกิน ยิ่งมอง ยิ่งน่ากิน การเชื่อฟังมารทำให้สูญเสีย แต่การเชื่อฟังพระเจ้าทำให้มีกำลังและฤทธิ์เดช Ex. เมื่อเปโตรหิว และคิดว่าตนเองตาลาย เพราะเปโตรมองเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจกินไม่ได้ ลอยมาอยู่ตรงหน้า และมีเสียงบอกกับเปโตรว่า จงกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า น่าสนใจมาตรงนี้
กิจการ 10:9-16,27-33 9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟา แล้วประมาณเวลาเที่ยงวัน เปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาตึกเพื่อจะอธิษฐาน
10 ก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีอะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก12 ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง คือสัตว์ที่เดิน ที่เลื้อยคลาน และที่บิน13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด”14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระเจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้าม หรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานเลย”15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้วอย่าว่าเป็นของต้องห้าม”16 เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปในนภากาศทันที
27 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไป แลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน
28 จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติ หรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่ห้าม แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน….
เปโตรเชื่อฟังพระเจ้าเรื่องนี้ เพราะพระเจ้าทรงเรียกให้โครเนลิอัส นายร้อยต่างชาติมาฟังข่าวดี เรื่องพระเยซู
29 เหตุฉะนั้นเมื่อท่านใช้คนไปเชิญข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าขอถามว่า ท่านเชิญข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”
30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้วข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในตึกของข้าพเจ้า ราวเวลานี้เอง คือบ่ายสามโมง มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ
31 ผู้นั้นได้กล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นพระเจ้าทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงระลึกถึง
32 เหตุฉะนั้นจงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ท่านอาศัยอยู่ในตึกของซีโมนช่างฟอกหนังที่ฝั่งทะเล’ 33 ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะฟังสิ่งสารพัด ซึ่งพระองค์ได้ตรัสสั่งท่านไว้”
ต่อมาพวกยิวคริสเตียนตำหนิเปโตรที่ไปพบกับโครเนลิอัส ในบทที่ 11 1 ฝ่ายพวกอัครทูตกับพี่น้องทั้งหลาย ที่อยู่ในแคว้นยูเดีย ได้ยินว่าคนต่างชาติได้รับพระวจนะของพระเจ้าเหมือนกัน2 เมื่อเปโตรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกที่เข้าสุหนัตจึงต่อว่าท่านว่า3 “ทำไมท่านไปหาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และรับประทานอาหารกับเขา” เปโตรจึงอธิบายให้ฟังว่า เขาต้องเชื่อฟังพระเจ้า
กิจการ 11:12 พระวิญญาณจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับเขาโดยไม่ลังเลใจเลย และพวกพี่น้องทั้งหกคนนี้ได้ไปกับข้าพเจ้าด้วย เราทั้งหลายจึงเข้าไปในตึกของผู้นั้น
ความคิดของเปโตรผูกติดอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธ์ แล้วในเวลานั้น เปโตรจึงไม่กลัวที่จะตอบสนองตรงกันข้ามกับพวกยิว คือการเสวนา สามัคคีธรรมกับคนต่างชาติอย่างโครเนลิอัส นี่คือกำลังและฤทธิ์เดชในการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของคนรุ่นก่อนหน้าเรา ที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
“เส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….ต้องมีกำลังและฤทธิ์เดช”
1.ป้องกันการกระทำ ด้วยความจริง ความชอบธรรมและข่าวประเสริฐ
2.ป้องกันจิตใจด้วยโล่แห่งความเชื่อ
3.ป้องกันความคิดด้วยหมวกเหล็กและต่อสู้กับความคิดของมารด้วยอาวุธฝ่ายวิญญาณ
เพลง เสียงของพระองค์