“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…อย่างนกอินทรี”
มีนิทานเรื่องเล่าว่า ลูกนกอินทรีถูกเลี้ยงกับลูกไก่ มันได้รับการป้อนอาหารอย่างลูกไก่ มันหาอาหารอย่างลูกไก่ มันกินอาหารแบบไก่ ที่ไม่มีชีวิต นานๆจะได้หนอนที่มีชีวิตสักตัว มันตื่นเต้นกับอาหารที่มีชีวิต ในขณะที่พวกลูกไก่ต่างเยาะเย้ยมันว่า มันไม่เป็นที่ชอบใจของแม่ไก่ เพราะมันทำตัวแตกต่างจากแม่ไก่ แม่ไก่สอนอะไรมันทำตาม แต่ก็ไม่เหมือนไก่ มันกลายเป็นแกะดำ หลงฝูง มันกลายเป็นลูกไก่ที่มีความคิดที่แตกต่าง จากลูกไก่ มันคิดว่ามันผิดปกติ เพราะมันคิดอย่างลูกนกอินทรี มันไม่ใช่ลูกไก่ จนมันโต มันจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ลูกไก่ แต่เป็นลูกนกอินทรี
บินสูง บินเร็ว สายตาแหลมคม ความคิดการตัดสินใจเร็ว มันหาอาหารได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการจับปลาที่กำลังว่ายน้ำ
มันมีนิสัยทำรังในที่สูง มีความอดทน มีความขยันและมีแรงต้านพายุฝน และมีภูมิต้านทานต่ออากาศที่ไม่ดี
ลูกของมันปลอดภัยมากๆ เพราะมันมีความรับผิดชอบในการปกป้องลูกให้อยู่ภายใต้ปีกของมัน และปีกของมันสามารถปกป้องลูกในยามที่มีพายุ และอากาศที่ไม่ดี
มันกระฉับกระเฉง แข็งแรง และมีพลัง
และขณะที่มันกำลังเติบโต โดยสันชาตญาณของนกอินทรี มันฝีกกระพือปีก มันออกกำลังกาย จนมันแข็งแรงที่จะบินออกจากรัง เป็นนกอินทรีที่ไม่ต้องรอแม่เอาหารมาป้อนมันอีกต่อไป มันรู้จักหาอาหารกินเอง
น่าสนใจที่ว่า ลูกนกอินทรีที่อยู่กับลูกไก่ จะไม่รู้ว่ามันเป็นนกอินทรี จนกว่ามันจะโตเต็มที่ ความโตเต็มที่ของมันทำให้มันแตกต่างจากลูกไก่ นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูคริสต์ต้องการให้คนของพระองค์โตเต็มที่ เพื่อจะได้รู้ว่า เราคือนกอินทรี
เอเฟซัส 4:13-14 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
แต่เป้าหมายของมารซาตาน คือ ลัก ฆ่าและทำลาย ถ้าเราไม่ตาย มารก็ต้องทำทุกวิถีทางที่คริสเตียนจะเลี้ยงไม่โต ดังนั้น การล่อลวงที่ร้ายกาจของมารซาตาน ก็คือการทำให้นกอินทรีกลายเป็นลูกไก่ แต่ตัวอย่างที่พระเยซูทรงยกไว้เมื่อสองพันปีที่แล้ว ไม่ใช่ลูกไก่ แต่คืออีแร้ง ลูกนกอินทรีอาจถูกเลี้ยงร่วมอยู่กับลูกอีแร้ง
มัทธิว 24:23-28 23 ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า ‘แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าได้เชื่อเลย24 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้ 25 ดูเถิด เราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว26 เหตุฉะนั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ ก็จงอย่าออกไป หรือจะว่า ‘อยู่ที่ห้องใน’ ก็จงอย่าเชื่อ27 ด้วยว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออก ส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น28 ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะตอมกันอยู่ที่นั่น
ความเหมือนมากที่แยกแทบไม่ออกเลย จะทำให้คนเป็นอันมาก หลงไป และคำว่า ในเวลานั้น ก็หมายถึงเวลาที่ใกล้ที่พระเยซูกำลังจะเสด็จกลับมา เวลาที่จะมีภัยพิบัติมากมายเกิดขึ้น เวลาที่ความทุกข์ของคนในโลกจะมีมากขึ้น (ความสุขน้อยลงไปเรื่อยๆ) เวลาที่พระเยซูพูดถึง คือเวลาในยุคของเรานี่เอง เราได้เห็นทุกอย่างที่พระคัมภีร์ทำนาย เป็นจริงในยุคของเรา รวมถึงสิ่งเทียมเท็จมากมาย อาหารเทียม แม้กระทั่งคนเทียม (หุ่นยนต์)หญิงเทียม ชายเทียม ของเทียมมากมายจนหาของแท้ยากเหลือเกิน ธรรมชาติเทียม น้ำตกเทียม ไดโนเสาเทียม อวัยวะเทียม สิ่งเทียมเหล่านี้ เราสามารถแยกแยะออกได้ไม่ยาก แต่ที่แยกยาก ดูยากที่สุด นั่นคือ พระคริสต์เทียม ผู้เผยพระวจนะเทียม พระเยซูตรัสว่า คนที่อ้างตัวว่าเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ เป็นผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเหล่านี้ จะมีสิ่งที่เหมือนมาก นั่นคือการ ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงถ้าเป็นได้25 ดูเถิด เราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว และความเหมือนมากนี้ จะมีคนของพระเจ้า (คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้) ติดตาม คำที่พระคัมภีร์ใช้คือคำว่า หลง รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า ถูกทำให้ออกจากทาง ถูกนำให้ออกจากทางที่ปลอดภัย ออกจากทางของความจริง ออกจากวิถีชีวิตที่เที่ยงตรงทางศีลธรรม (นัยยะก็คือ ถูกหลอก ถูกนำไปอย่างผิดทิศทาง) พระเยซูทรงย้ำว่า พระองค์ได้เตือนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
และในยุคของเรามีมากขึ้นเรื่อยๆ ยังคงย้ำ “อย่าเชื่อ” หากมีคนอ้างว่าพระเยซูจะเสด็จมาเมื่อนั้นเมื่อนี้ นั่นคือคำสอนเท็จ พระองค์ยกตัวอย่างเรื่องฟ้าแลบ เพื่อเป็นตัวอย่างว่าไม่มีใครรู้ล่วงว่าฟ้าจะแลบจากทิศไหน การเสด็จของพระองค์ก็เป็นเช่นนั้น
28 ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะตอมกันอยู่ที่นั่น คือคำปิดท้ายการเตือนเรื่องพระคริสต์เทียม ผู้เผยพระวจนะเทียม
แร้ง หรือ อีแร้ง[1] (อังกฤษ: Vulture) เป็นนกขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง อยู่ในกลุ่มนกล่าเหยื่อเช่นเดียวกับเหยี่ยว, อินทรี หรือนกเค้าแมว โดยที่แร้งถือว่าเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ แร้ง จะแตกต่างจากไปนกในกลุ่มนี้คือ จะไม่ล่าเหยื่อหรือกินสัตว์เป็น ๆ เป็นอาหาร แต่จะกินเฉพาะซากสัตว์ที่ตายแล้ว อันเนื่องจากอุ้งตีนของแร้งนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะขย้ำเหยื่อได้ เพราะได้วิวัฒนาการให้มีอุ้งตีนที่แบนและกรงเล็บที่เล็กสั้นเหมาะกับการอยู่บนพื้นดินมากกว่านกล่าเหยื่อจำพวกอื่น อีแร้งเป็นนกชนิดหนึ่ง พวกมันกินซากศพเพื่อยังชีพ พวกมันจะบินวนๆ อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง และกำลังจะตาย ว่ากันว่าอีแร้งไม่แข็งแรงมากพอที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้อาหาร มันจึงต้องกินซากศพ
พวกกลุ่มเก่ามีสายตาเป็นเลิศ มองปร๊าดเดียวก็รู้แล้ว ว่าเหยื่ออยู่ที่ไหน ส่วนกลุ่มอีแร้งใหม่ จะหาซากอาหารโดยการใช้จมูกดมกลิ่นเอาที่ไหนเหม็นเน่า (ไม่มีความสดของชีวิต) พวกนี้จะไว
ความแตกต่างระหว่างอีแร้ง กับนกอินทรี ในการหาอาหาร นกอินทรีจะล่าเหยื่อด้วยตัวเอง เดี่ยวๆ แต่อีแร้งจะไปเป็นฝูง เพราะมันไม่ล่าเหยื่อ มันใช้วิธี รุมกินโต๊ะ กินเหยื่อที่ตายแล้ว นกอินทรีที่โตเต็มวัย จะมีความสามารถในการหาอาหารได้ด้วยตัวมันเอง ลูกนกอินทรีจะต้องรอพ่อแม่ของมันป้อนให้ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความเป็นทารกของคริสเตียน เป็นลูกนกที่ยังกินอาหารแข็งไม่ได้ เพราะยังดำเนินชีวิตอย่างเนื้อหนัง
1โครินธ์3:1-3 1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนม มิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ และถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ3 ด้วยว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะว่าเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือ และไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์สามัญดอกหรือ
คำวา ประพฤติตามมนุษย์สามัญ มีความหมายถึง ยังดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วไป คนทั่วไป คนส่วนใหญ่ทำอะไร คนเหล่านั้น ทั้งกินอาหารที่ตายแล้ว อ.เปาโลได้เปรียบเทียบคริสเตียนตรงกันข้ามกับคนทั่วไปอย่างนี้
2โครินธ์ 2:16-17 16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้17 เพราะว่าเราไม่เหมือนคนเป็นอันมาก ที่เอาพระวจนะของพระเจ้าไปขายกิน แต่ว่าเราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนสัตย์ซื่อ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
นี่เป็นภาพเปรียบเทียบระหว่างนกอินทรีกับอีแร้ง วิถีสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ …ต้องอย่างนกอินทรี มิใช่อีแร้ง นกอินทรีดำรงชีพด้วยอาหารที่มีชีวิต แต่อีแร้งดำรงชีพด้วยซากศพ ไม่มีชีวิต ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวถึงวิถีของผู้ที่นมัสการพระเจ้า
สดุดี 103:1-5 1 จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์2 จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ 3 ผู้ทรงอภัยความบาปผิดทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน 4 ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้ท่าน 5 ผู้ทรงให้ท่านอิ่มด้วยของดี ตลอดชีวิตของท่าน วัยหนุ่มของท่านจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี
ภาพที่เราเคยได้รับคือ นกอินทรีแก่หมดแรง ต้องลอกจงอยปาก ต้องถอนกรงเล็บ ถอนขนเก่า เป็นภาพผิดๆมาตลอด พระคัมภีร์สดุดีตอนนี้กำลังบอกเราว่า นกอินทรีแม้จะอยู่ในวัยแก่ มันก็ยังแข็งแรงยังกับวัยหนุ่ม และมันสามารถมีอาหารดีๆกินได้ตลอดชีวิตของมัน เปรียบกับมนุษย์ผู้ซึ่งรอคอยพระเจ้าตลอดชีวิต คือชีวิตที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า เขาจะได้รับอาหารที่มีชีวิตตลอดเวลา ความแข็งแรงของคนๆนั้น จะแข็งแรงและอิ่มด้วยของดี (สดใหม่) เสมอ อาเมน นกอินทรีคือแบบอย่างที่พระเจ้าต้องการให้คนของพระองค์เป็นในด้านใดบ้าง
1.มีเรี่ยวแรง สายตา และปัญญา (สดใหม่)
อิสยาห์40:31 31แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย
นกอินทรีหาเหยื่อด้วยความเร็ว เกิดจากพลังการขับเคลื่อน ที่แข็งแรงของปีก นกอินทรีอยู่รอดได้ด้วยอาหารที่สดใหม่ ดังนั้น นกอินทรีจะต้องมีกำลังปีกที่แข็งแรง ข้าพเจ้าได้ดูสารคดีเกี่ยวกับลูกนกอินทรี กว่ามันจะบินออกจากรัง มันจะกระพือปีกในรังของมันหลายสัปดาห์ นี่คือการออกกำลังกาย และข้าพเจ้าเชื่อแน่ เมื่อมันโต มันก็ยังไม่หยุดออกกำลังกาย เพราะมันรู้ว่า ปีกของมันคือกำลังที่จะพามันไปได้เร็ว เร็วจนปลาหนีไม่ทัน ข้าพเจ้าทึ่งกับภาพที่นกอินทรีจับปลาบนผิวน้ำได้ แสดงว่า นกอินทรีนอกจากจะมีปีกที่แข็งแรงแล้ว มันยังมีสายตาที่แหลมคมชัด ที่จะมองเห็นตำแหน่งของปลาที่จะรู้ว่า เงาของมันจะไม่ทำให้ปลารู้ตัวเสียก่อน ที่จะเข้าใกล้และจับปลาได้ การวัดองศา การหักเหของแสง โดยธรรมชาติ ปลาจะหนีเงาและเสียงที่ใกล้มันอย่างรวดเร็ว แต่นกอินทรีสามารถจับปลาได้ และเป็นปลาตัวใหญ่เสียด้วย และที่สำคัญ การจับปลาทะเล ย่อมเป็นที่ที่ไม่มีที่เกาะ ปีกต้องทำหน้าที่บินและเหินเวหาบนฟ้าตลอดเวลาขณะอยู่ที่สูง เพื่อจะโฉบ จากที่สูง ลงตำแหน่งที่แม่นยำ นั่นคือไม่เหนื่อยง่ายๆ ไม่ล้าง่าย นี่คือภาพนกอินทรีที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนเป็น และพระเจ้าคาดหวังเราเป็นได้ กุญแจสำคัญ เราต้องอยู่ใกล้พระเจ้า ผู้ทรงเสริมกำลังแก่เรา อ.เปาโลได้กล่าวว่า
ฟิลิปปี 4:13 13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
คริสตจักรของเราเป็นชุมชนอัครทูต คำว่า อัครทูต แปลว่า ถูกส่งออกไป เพื่อทำหน้าที่สามอย่าง 1. ปุโรหิต 2. ผู้เผยพระวจนะ 3. กษัตริย์ บทบาทปุโรหิต คือบทบาทของคนที่อยู่ใกล้พระเจ้า อยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า ทำหน้าที่อธิษฐานเพื่อคนมากมาย และแนะนำให้คนดำเนินชีวิตอย่างถูกสุขอนามัยทั้งร่างกายและฝ่ายวิญญาณ ปุโรหิตเป็นแบบอย่างชีวิตที่ปราศจากตำหนิ ส่วนบทบาทผู้เผยพระวจนะ ซึ่งสัญลักษณ์ของเขาก็คือนกอินทรี เขาจะแข็งแรงทางความคิด คิดอย่างพระเจ้าคิด เพราะเขาได้รับการสื่อสารจากพระเจ้าเพื่อพูดกับคน ผู้เผยพระวจนะได้รับเรี่ยวแรง การมอง และสติปัญญาอย่างจากพระเจ้า ที่สดใหม่ ดังนั้น คริสเตียนทุกคนคือผู้ที่พระเยซูส่งออกไป เพื่อจะจับคนเหมือนอย่างจับปลา และบทบาทสุดท้าย คือกษัตริย์ คือลักษณะที่สอง
2.พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัย
ศัตรูคือมารซาตาน ถูกเปรียบเทียบเป็นเหมือนงู (พญานาค) ที่จ้องจะลัก ฆ่าและทำลาย ทุกสิ่งที่อ่อนแอ โดยเฉพาะคริสเตียนที่บาดเจ็บ อ่อนแอ คริสเตียนจะรอดพ้นจากการถูกโจมตีของศัตรู คือมารซาตาน คริสเตียนต้อง บินสูง และอยู่รังที่สูง เป็นเหมือนกษัตริย์ที่อยู่ในราชวังที่ปลอดภัย
วิวรณ์ 12:13-17 13 เมื่อพญานาคนั้นเห็นว่ามันถูกผลักทิ้งลงไปในแผ่นดินโลกแล้ว มันก็ไล่ตามหญิงที่คลอดบุตรชายนั้น14 แต่พระเจ้าทรงประทานปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงนั้น เพื่อให้นางบินหนีพญานาคเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ15 งูนั้นก็พ่นน้ำออกจากปากเหมือนแม่น้ำไหลตามหญิงนั้น เพื่อจะให้พัดหญิงนั้นไป16 แต่แผ่นดินก็ได้ช่วยหญิงนั้นไว้ได้ โดยแยกออกเป็นช่องแล้วสูบน้ำที่พ่นออกจากปากพญานาคนั้นลงไป17 พญานาคโกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ของนางที่เหลืออยู่นั้น คือผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และยึดถือคำพยานของพระเยซู และมันก็ได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล
หนังสือวิวรณ์ได้กล่าวถึงการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูในตอนที่เป็นทารก และขณะที่พระองค์อยู่ในครรภ์ของนางมารีย์ กษัตริย์เฮโรด ได้ออกบัญชาให้ประหารเด็กที่คลอดออกมาใหม่จนถึงอายุสองปี เพราะคำทำนายว่า การมาเกิดของเด็กคนหนึ่งในเวลานั้น คือการบังเกิดของกษัตริย์ ที่จะมาปกครอง หนังสือวิวรณ์ได้กล่าวถึงพระเจ้าประทานปีกของนกอินทรีใหญ่ให้กับหญิงนั้น ก็คือนางมารีย์รอดพ้นจากการถูกทำลาย เพื่อการปกป้องแก่กษัตริย์ที่มาประสูติ และเติบโตขึ้นด้วยปีกของนกอินทรีที่ทำให้รอดพ้นจากการทำลายของซาตาน ปีกของนกอินทรีใหญ่ให้ไปถึงรังที่อยู่สูง และเป็นที่ลี้ภัย ปลอดภัย จากการทำร้ายของศัตรูได้ จำเป็นที่เราจะต้องมีที่ลี้ภัย ที่ปลอดภัย คนมากมายมีเซฟตี้โซน ซึ่งคิดว่า จะทำให้ตนเองปลอดภัย แต่ความจริงแล้ว เซฟตี้โซนที่เราสร้างขึ้นมาเป็นกับดักขังตัวเรานั่นเอง พระคัมภีร์ได้กล่าว การเข้าลี้ภัยในพระเจ้าคือการออกจากกับดักนั่นเอง เซฟตี้โซนของเรา มีอะไรบ้าง…….อะไรที่ยังเป็นมุมมืด มุมที่ไม่สามารถเปิดเผย ไม่สามารถให้การเยียวยาเข้าไปถึง มุมที่ไม่ยอมให้แตะ ไม่เปิดประตู บางคนปิดตาย
สดุดี 31:1-4 1 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์ได้อายเลย ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ในความชอบธรรมของพระองค์2 ขอทรงเงี่ยพระกรรณให้แก่ข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดอย่างรวดเร็วเถิด ขอพระองค์ทรงเป็นพระศิลาลี้ภัยของข้าพระองค์ เป็นป้อมปราการเข้มแข็งที่จะช่วยข้าพระองค์ให้รอด 3 พระเจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นพระศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ ขอทรงพาและนำข้าพระองค์ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 ขอทรงปลดข้าพระองค์ออกจากข่ายที่ดักข้าพระองค์อยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
หากเราต้องการความรวดเร็วในคำตอบที่มาจากพระเจ้า การช่วยกู้ที่มาจากพระองค์ เราต้องหาที่ลี้ภัยอย่างนกอินทรี อย่าหนีปัญหาด้วยวิธีอย่างนกกระจอกเทศ โดยเอาหัวมุดรู มองไม่เห็นศัตรูที่ไล่ล่า ก็เข้าใจว่าตนเองปลอดภัย นั่นเป็นวิธีโง่ๆ แต่สำหรับนกอินทรี อยู่ที่สูง เห็นศัตรูชัด และถ้าจะสู้ ก็สู้กลางอากาศ เพราะศัตรูจะสิ้นเรี่ยวแรงเมื่อต่อสู้กับนกอินทรีกลางอากาศ นกอินทรีมีปีกที่แข็งแรง เช่นเดียวกัน คริสเตียนมีปีกที่แข็งcรง คือปีกของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำให้เราเข้าสู่การต่อสู้อย่างนกอินทรี
อพยพ 19:3-4 3 โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าตรัสจากภูเขานั้นว่า “บอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า4 พวกเจ้าได้เห็นกิจการซึ่งเรากระทำกับชาวอียิปต์แล้ว และที่เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา
กองทัพของฟาโรห์ที่ยกมาเพื่อจับอิสราเอลกลับไปเป็นทาส ไล่กระชั้นชิด แต่พระเจ้าทรงประทานปีกอย่างนกอินทรีช่วยกู้ให้คนอิสราเอลรอดพ้นได้ ปีกอย่างนกอินทรีได้นำ ได้พาคนอิสราเอลข้ามทะเลแดง และพัดเอาน้ำที่แหวกออกท่วมกองทัพของฟาโรห์ตายสิ้น อิสราเอลปลอดภัย
เราจะไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งในมิติฝ่ายวิญญาณ เหนือแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ เหนือที่ทำงาน เหนือครอบครัว เหนือทุกสถานการณ์ เราต้องเป็นอย่างนกอินทรี กินอย่างนกอินทรี อยู่อย่างนกอินทรี ปลอดภัยอย่างนกอินทรี และรับการเลี้ยงดูอย่างลูกนกอินทรี ต่อสู้อย่างนกอินทรี และลี้ภัยอย่างนกอินทรี อยู่ที่สูง
สดุดี 24:3-10 3 ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า และผู้ใดจะยืนอยู่ในวิสุทธิสถานของพระองค์ 4 คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้ปลงใจในสิ่งเท็จ และมิได้สาบานอย่างหลอกลวง 5 เขาจะรับพระพรจากพระเจ้า และความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความรอดของเขา 6 อย่างนี้แหละเป็นพวกที่เสาะพระองค์ หน้าของท่านนะ ยาโคบเอ๋ย 7 ประตูเมืองเอ๋ย จงยกหัวของเจ้าขึ้น บานประตูนิรันดร์เอ๋ย จงยกขึ้นเถิด เพื่อกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะได้เสด็จเข้ามา 8 กษัตริย์ผู้ทรงพระสิรินั้นคือผู้ใด คือพระเจ้า ผู้เข้มแข็งและทรงอานุภาพ พระเจ้าผู้ทรงอานุภาพในสงคราม 9 ประตูเมืองเอ๋ย จงยกหัวของเจ้าขึ้นเถิด บานประตูนิรันดร์เอ๋ย จงยกขึ้นเถิด เพื่อกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะเสด็จเข้ามา 10 กษัตริย์ผู้ทรงพระสิรินั้นคือผู้ใด คือพระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ
นกอินทรี มีฉายาที่เรียกว่า ราชาแห่งนก คริสเตียนผู้ที่เป็นชุมชนอัครทูต เป็นปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ และเป็นกษัตริย์ ที่อยู่ของกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริอยู่ที่ใด ที่นั้นเป็นที่ลี้ภัยของเรา
สุภาษิต 31:18-19 18 มีสามสิ่งที่ประหลาดเหลือสำหรับข้า เออ สี่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ 19 คือท่าทีของนกอินทรีในฟ้า….
คือการบอกว่า วิถีของการบินของนกอินทรีนั้น เกินจากที่จะคาดเดาได้ บินสูง ไปสูง สง่างาม และนี่คือวิถีที่พระเจ้าจะนำคนของพระองค์ไปด้วยปีกของนกอินทรี ขอให้เราไว้วางใจในพระเจ้า และเป็นนกอินทรีที่สนใจเรื่องอาหารที่มีชีวิตเท่านั้น
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…อย่างนกอินทรี”
1.มีเรี่ยวแรง สายตา และปัญญา (สดใหม่)
2. พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัย