“ลูกตัวจริง แม่ตัวจริง”
มีแม่บางคนสงสัยว่า คนที่เธอเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออด ใช่ลูกของเธอหรือเปล่า ทำไม เปลี่ยนไปในทางที่เลวลง พูดจามะนาวไม่มีน้ำ ก้าวร้าวมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเรียนสูง ยิ่งดูถูกแม่ต่ำลง ใช้เงินเก่งขึ้น หัวสูงขึ้น นับวัน ยิ่งส่องกระจก ก็ยิ่งไม่ชอบหน้าตาของตนเองที่เอาส่วนของพ่อ ส่วนของแม่มา ร่ำร้องอยากจะไปทำหน้าใหม่ อยากจะเหมือนไอดอลคนนั้น ซุปตาคนนี้ ดูเหมือนว่า ลูกของแม่ที่เคยน่ารัก น่าภูมิใจของแม่กำลังจะหายไปจากชีวิตของแม่ มีแต่คำถามว่า นี่ลูกฉันหรือเปล่า เดินเข้าบ้านไม่ทัก ไม่ทาย หรือมีแต่คำห้วนๆ เรียกพ่อ เรียกแม่อย่างกับคนใช้ ไม่ใส่ใจ กลับบ้านก็เข้าห้องนอนเล่นโทรศัพท์ แชทกับเพื่อนที่เพิ่งจะจากกันเมื่อชั่วโมงที่แล้ว “ลูกตัวจริง? แม่ตัวจริง?”
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ หลานชายคนเดียวของตระกูล ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนในเวลาเที่ยงคืน ให้ออกไปถ่ายรูปอุบัติเหตุที่เกิดบนถนน ก็รีบออกไป โดยไม่ใส่ใจว่าพ่อแม่จะเป็นห่วง หรือใส่ใจต่อความปลอดภัยของตนเอง สุดท้ายเสียชีวิต เพราะถูกรถชนตายบนถนนนั้น แม่เป็นลม คุณตาอายุมาก ให้รู้ไม่ได้ เดี๋ยวไปอีกคน เป็นการสูญเสียที่ไม่ได้ลูกกลับคืนมา วิธีคิดของลูกประเภทที่ไม่ใส่ใจพ่อแม่ และคนในครอบครัวของตนเอง เป็นวิธีคิดของคนที่ตายไปแล้ว เพียงแต่ว่าจะตายจริงเมื่อไร วิธีคิดแบบนี้ ทำให้คนเป็นแม่ นอนไม่ค่อยหลับ และหลับไม่สนิทใจ ตื่นก็เป็นห่วง ไม่รู้ว่าลูกจะปลอดภัยดีไม๊ นี่คือตัวจริงของลูกหรือเปล่า
มีแม่คนหนึ่งพยายามจะเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยการทำทุกอย่าง ตื่นแต่เช้า ทำอาหาร เก่งทุกอย่าง เก่งรอบด้าน รู้ทันสามี รู้ทันลูกทุกอย่าง แกร่งไปหมด จนลูกและสามีไม่ต้องทำอะไรเลย แม่จัดการได้อย่างดี แม่เป็น Super Mom แล้วแม่ก็เก็บความเครียดเองอยู่คนเดียว สุดท้ายเบรกแตก อารมณ์หงุดหงิด เป็นผบ.ทบ.ของบ้านที่ใครขัดใจไม่ได้ เพราะแกเก่งไปทุกเรื่อง คนอื่นเลยเสียเซลฟ์ ทำอะไรไม่ถูกไปหมด นี่คือตัวจริงของคุณแม่หรือเปล่า
“ลูกตัวจริง แม่ตัวจริง”เป็นอย่างไร คำตอบคือ เป็นลูกของแม่ เป็นแม่ของลูก ไม่ใช่เป็นใครบางคนอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น หรือสังคมอยากให้เป็นจนความเป็นลูก ความเป็นแม่ต่อกันและกันถูกเงื่อนไขของสังคมมากมายมากั้นขวางความสัมพันธ์แม่ลูก ลูกแม่
ในพระคัมภีร์มีเรื่องราวของคนเป็นแม่สองคน คนหนึ่งทุำลูกตาย ส่วนอีกคน ทำลูกหาย เราจะมาเรียนรู้บทเรียนของความแตกต่างระหว่างแม่ที่ลูกตายไป กับแม่ที่ลูกหายไป และพระปัญญาของพระเจ้าได้ทำให้แม่ที่เป็นรูปแบบของความเป็นแม่ต้นแบบได้แสดงออกมาอย่างไร
1พงศ์กษัตริย์ 3:16-28 16 แล้วหญิงโสเภณีสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์17 หญิงคนหนึ่งทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ในบ้าน18 เมื่อข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครอยู่กับพวกข้าพระบาทในบ้านนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น19 แล้วบุตรของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับ20 พอเที่ยงคืนนางลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปจากข้างกายข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทนอนหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของนาง และนางเอาบุตรของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท21 เมื่อข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม นี่แน่ะ เขาตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูสิ เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดออกมา”
ในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอนยังไม่มีการคิดค้นเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ ถ้าเป็นยุคของเรา ปัญหาแค่นี้ก็จบ พระคัมภีร์ที่เราจะรับฟังในวันนี้ จะมีความทันสมัยตามทันปัญหาที่ซับซ้อนเปลี่ยนไปของสังคมหรือไม่ เรามาดูที่สติปัญญาของพระเจ้าว่า พระองค์จะเจาะเข้าสู่ความซับซ้อนของสังคมเราด้วยพระคำที่เขียนขึ้นเมื่อหลายพันปีที่แล้วอย่างไร
1.เด็กของข้า หรือลูกของแม่ 1พงศ์กษัตริย์ 3:22-23
22 แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นลูกของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นของข้า” เขาทั้งสองพูดเถียงกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา 23 แล้วพระราชาตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นลูกของข้า ส่วนลูกของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ ลูกของเจ้าตายเสียแล้ว และลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่’ ”
เราจะเห็นการใช้คำที่เรียกของหญิงสองคนต่างกัน คนหนึ่งเรียกทารกที่มีชีวิตอยู่ว่า เด็ก ส่วนหญิงอีกคนเรียกว่า ลูก กษัตริย์ซาโลมอนสังเกตการใช้คำที่เรียกทารกน้อยของหญิงสองคนแตกต่างกัน แต่เมื่อหญิงคนที่สองใช้คำเรียกลูกว่า เด็กที่ตาย กับเด็กที่เป็น หญิงคนที่หนึ่งก็ติดกับเข้าไปในหลุมพรางนั้น เรียกลูกตัวเองว่า เด็กที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้เรียกลูกว่าลูกอีกต่อไป เราต้องระวังโรคติดต่อทางอารมณ์ที่ส่งต่อให้แก่กันและกันได้ นั่นคือความรู้สึกแย่งชิงและการเป็นเจ้าของ ความกลัวที่จะสูญเสียจะทำให้ต้องสวมวิญญาณแห่งการแย่งชิง และอาจทำให้คนเป็นแม่สูญเสียความเป็นตัวตนของเขาไป อย่างแม่ที่ลูกตายได้ส่งต่อความรู้สึกแย่งชิงมายังแม่ที่แค่ลูกหายไปเท่านั้น แต่แม่ที่ลูกหายไปกำลังรู้สึกสูญเสียและต้องแย่งชิงกลับมา วิธีเรียกลูกจากลูกกลายเป็นเด็กคนหนึ่ง
พระเยซูได้ใช้คำนี้อธิบายคำว่าลูก ในหนังสือยอห์น
ยอห์น16:21 21 เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตรนางก็มีแต่ความทุกข์ เพราะถึงกำหนดแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดี ที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก
คำที่พระเยซูใช้ในตอนนี้ คือ คนหนึ่ง A man หมายถึงความเป็นคนของคนๆหนึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว กฏหมายไทยรับรองความเป็นบุคคลของเด็กเกิดขึ้นเมื่อเขาคลอดออกมา มีชีวิตมีลมหายใจครั้งแรกก็ได้รับสิทธิการเป็นบุคคลทันที กฏหมายคุ้มครอง และเด็กนั้นมีสิทธิสมบูรณ์เทียบเท่าบุคคล
1.การเริ่มสภาพบุคคล
จากบทกฎหมายข้างต้นได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลจะเริ่มขึ้นได้นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ
1).การคลอด ในทางการแพทย์นั้นการคลอดจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทารกออกมาทั้งตัว มีการตัดสายรกเรียบร้อยแล้วและมีการรอให้มดลูกหดตัวประมาณ 15 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหลังเด็กคลอด แต่ในทางกฎหมายนี้จะถือว่าเป็นการคลอดได้ก็ต่อเมื่อทารกพ้นออกจากช่องคลอดทั้งตัวแล้วเท่านั้นพอ การตัดสายรกหรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
2).อยู่รอดเป็นทารก แม้มีการหายใจเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าสภาพบุคคลเกิดแล้วถึงแม้ทารกนั้นอาจเสียชีวิตในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งเมื่อมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นก็มีผลทำให้ทารกนั้นมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ เช่น มีสิทธิรับมรดกได้ มีสิทธิที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา และรวมไปถึงได้รับความคุ้มครองในด้านร่างกายหรือเสรีภาพ ฯลฯ ตามกฎหมายด้วย
การจะเริ่มสภาพบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วยการคลอดและการอยู่รอดเป็นทารกด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ถือว่าไม่ครบหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย สภาพบุคคลย่อมไม่เกิด เราลองมาดูตัวอย่างกันเพื่อศึกษาถึงผลทางกฎหมายระหว่างการมีสภาพบุคคลและไม่มีสภาพบุคคลกัน
3.การสิ้นสภาพบุคคล
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 ได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกได้ และจะสิ้นสุดลงเมื่อบุคคลนั้นตาย
การใช้คำว่า เด็กที่มีชีวิต กับคำว่า เด็กที่ตาย แสดงให้เห็นว่า หญิงที่ลูกตายไป ไม่นับความเป็นบุคคลของลูกตนเอง นางเอาลูกของตนที่ตายไปแลกกับเด็กที่เป็นของคนอื่น เธอถือว่า ลูกของเธอที่ตายไปหมดสภาพของความเป็นลูก เธอไปเอาเด็กคนอื่นมาเป็นลูกของตนเอง
ข้าพเจ้ามักจะให้คำแนะนำต่อหน้าพ่อแม่ โดยเฉพาะแม่ ในพิธีถวายบุตรเสมอว่า เด็กที่นำมาถวายพระเจ้านี้ เป็นของพระเจ้านะ นับจากวันที่คุณถวายแด่พระเจ้า เขาเป็นของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงฝากเด็กนี้ให้คุณเลี้ยง คุณต้องเลี้ยงเขาเหมือนอย่างเขาเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่เขาเป็นของคุณ ฟังดีๆ คำว่า “เป็นของ” นี่คือคำที่คุณแม่หลายท่านมักจะใช้กับลูกของตนเอง ความเป็นเจ้าของ มักทำให้แม่ละเมิดความเป็นบุคคลของลูก ด้วยความรักที่มีต่อลูก (มาก) ทำให้คุณแม่อาจไม่ได้เคารพความเป็นส่วนตัวของลูก ด้วยมีคุณแม่ไม่น้อยเข้าใจว่า ฉันตั้งท้อง ฉันเลี้ยงดู ฉันให้เขาเกิด ฉันมีสิทธิ์ในตัวของเขาทุกอย่าง ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า คุณแม่ค่ะ คนที่คุณแม่มีสิทธิ์ทุกอย่าง คือสามีของคุณแม่ค่ะ ไม่ใช่ลูก “ลูกตัวจริง แม่ตัวจริง” ต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ ต้องเคารพความเป็นบุคคลของลูก
ในยุคของเรา มีคนคิดอย่างนี้ว่า ฉันเป็นเจ้าของเงิน ฉันมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ และกำหนด ว่า ฉันจะกิน ร้านไหน ฉันจะใช้วิธีไหน กับคนที่อยู่ภายใต้เงินของฉัน นั่นคือความเข้าใจผิด อย่าให้ความเป็นปัจเจกบุคคล ความเป็นคน ความสุขของความเป็นบุคคลถูกเงินกำหนด จงมีความชัดเจนในความเป็นคนของตัวเรา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรี หรือการทะนงตน ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง เราต้องแยกแยะให้ออก จงฝึกที่จะให้เกียรติผู้เล็กน้อย โดยเฉพาะเด็ก พระเยซูทรงยกตัวอย่างเรื่องแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนกับเด็กเล็กๆ (ซึ่งสังคมถือว่าคือผู้เล็กน้อย)
มัทธิว 19:14 14 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น”
มัทธิว 18:5-6,10 5 “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย6 แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า…. 10 “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์
“ลูกตัวจริง แม่ตัวจริง” จะไม่เรียกกันและกันอย่างคนไร้ชีวิต จะไม่ปฏิบัติต่อกันและกันอย่างไม่เคารพความเป็นบุคคลของกันและกัน แม้ความตายจะทำให้ความเป็นบุคคลจบลง แต่ความเป็นลูก ความเป็นแม่ตัวจริงยังอยู่ จงเคารพแม่ และยอมรับกันและกันในความเป็นคน ลูกอย่าใช้แม่ราวกับทาส และแม่อย่าใช้ลูกราวกับไร้ชีวิตจิตใจ
เอเฟซัส 6:1-3 1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก2 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย3 เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก
2.สงสาร และรักษาชีวิตกันและกัน 1พงศ์กษัตริย์ 3:24-28
24 และพระราชาตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงเอาดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา25 และพระราชาตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง”26 แล้วหญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของนางสงสารบุตรของนาง นางจึงกราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เธอไป อย่าฆ่าเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่งว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ”27 แล้วพระราชาตรัสตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น”28 เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา เพราะเขาเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม
เราจะพบว่า มีการแย่งชิงสิทธิ์ของการครอบครองในตัวลูก ซาโลมอนสังเกตเห็นการใช้ภาษาของแม่สองคนนี้ ซึ่งคนเป็นแม่ที่แท้จริง ไม่สามารถสู้กับแม่ตัวปลอมได้ แม่ปลอมสุดโหด จะเป็นเจ้าของครอบครองตัวเด็กอย่างเดียว แม้จะไร้ชีวิต จิตวิญญาณก็ยอม คือให้เด็กตายไป เพียงเพราะต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ ซาโลมอนได้รับสติปัญญาจากพระเจ้า ในการใช้กุโศลบายค้นหาใครคือแม่จริง แม่จริงจะไม่ยอมให้ลูกต้องตาย ยอมเจ็บปวด ยอมสูญเสีย “สงสารลูก รักษาชีวิตลูก” ลูกคือผู้ได้รับประโยชน์ ไม่ใช่ตนเองได้รับประโยชน์ หัวใจของแม่ตัวจริง กับลูกตัวจริง จะไปในทางของการรักษาชีวิต มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่แม่ตัวปลอม กับลูกตัวปลอม (ต้องตายอย่างเดียว)
พระปัญญาของพระเจ้า มีหลักคือสงสารและรักษาชีวิต คุณจะรู้ว่า นี่คือสิ่งที่มาจากพระเจ้า และโดยหลักการนี้ จะนำปัญญาที่เฉียบคมมาให้ แม้ว่าดูเหมือนจะใช้ความโหดด้วยการ เอาดาบมาผ่าเด็กเป็นสองท่อน คือวิธีการทดสอบความสงสารและการรักษาชีวิต ว่าแม่คนไหนจะยอมเสียสละ แม่คนไหนจะโหด นี่คือบทพิสูจน์ความเป็น “แม่ตัวจริง ลูกตัวจริง”
ประยุกต์กับเราในวันนี้ จงเป็นลูกตัวจริง และแม่ตัวจริงที่มีความสงสาร และรักษาชีวิต ของกันและกันไว้ จงสงสารกันและกัน และถนอมกันและกันไว้
สำหรับเราทั้งหลาย เราทุกคนจงเรียนรู้ความสัมพันธ์ ลูกตัวจริง แม่ตัวจริง และเอามาใช้ในชีวิตส่วนตัวของเรา ตอบสนองต่อพระบิดาบนฟ้าสวรรค์ผู้ให้กำเนิดเรา จงใส่ใจต่อความเป็นบุคคลของพระเจ้า ดังเช่นพระองค์ทรงใส่ใจในความเป็นบุคคลของเราทุกคน
ความจริง เราได้สูญเสียความเป็นบุคคล เป็นลูกพระเจ้า และเราได้รับกลับมาโดยทางพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว โดยความเชื่อ อย่าให้สิ่งใดมาทำลาย และหลอกเราให้เป็นลูกที่ตายไปแล้ว หรือหลอกเราว่า พระเจ้าของเราตายไปแล้ว ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้ายังคงอยู่ เหมือนแม่กับลูก พระบิดากับเรา
ยอห์น 6:40 40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย”
พระเจ้าทรงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับมนุษย์ได้ฟื้นกลับคืนมา เป็นลูกตัวจริงของพระเจ้าเที่ยงแท้ ซึ่งไม่ง่าย ไม่ธรรมดา ดังนั้น หากวันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ลูกแม่ เหมือนตายไป การเป็นแม่ลูก เหมือน เป็นลูกตัวปลอม แม่ตัวปลอม พระเจ้าทรงสามารถฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ให้กลับคืนมาเป็นลูกตัวจริง แม่ตัวจริง กันอีกครั้งได้ ให้เราจงมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ให้พระองค์ทำกิจในชีวิตของเราทั้งหลาย อาเมน
“ลูกตัวจริง แม่ตัวจริง”
1.เด็กของข้า หรือลูกของแม่
2.สงสาร และรักษาชีวิตกันและกัน