“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….เพื่อรู้จักตนเอง”
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีคำถามที่ชอบใช้ในท่ามกลางคนที่ชอบกร่าง ชอบเบ่ง ทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มักจะใช้คำถามกับคนที่ตนเองรู้สึกว่าเขาด้อยกว่า คำถามนั้นคือ ….รู้ไม๊ กูเป็นใคร? หรือลูกนักการเมือง ลูกผู้มีหน้าที่ตำแหน่งใหญ่ มักใช้ ก็คือ รู้ไม๊ กูลูกใคร? แต่ถ้าไปเจอคนที่คิดว่าตนเองก็ใหญ่ไม่เบา ก็จะตอบว่า มึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วกูจะไปรู้ได้ยังไง ว่ามึงเป็นใคร แล้วมึงรู้ไม๊ว่ากูเป็นใคร นี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์บางเรื่องเอามาสร้างเป็นหนังตลก ต่างคนต่างถามอีกฝ่าย หากพิจารณาคำถามดี ไม่ต้องดูเจตนาอวดร่ำอวดรวย หรืออวดความมีอำนาจของตนเอง เราอาจวิเคราะห์ว่า การเที่ยวถามคนอื่นว่าตัวเองเป็นใคร เป็นพวกที่ไม่รู้จักตัวเองจริงๆ
มีกลอนบทหนึ่งแต่งโดยคนที่ใช้นามปากกาว่า รัตนาวดี
คนนั้นงาม ที่ใจ ใช่รูปสวย
คนรวย ด้วยน้ำใจ ใช่เงินหนา
คนเจ๋ง เก่งขึ้นด้วย รวยวิชา
คนดั่งนี้ มีค่า อย่าลืมตัว
รูปสวย เงินหนา รวยวิชา เป็นสิ่งที่คนมากมายต่างก็แสวงหา และยกย่องคนที่มีสามสิ่งนี้ และสามสิ่งนี้ก็มักจะทำให้คนลืมตัวมากมาย
นักปราชญ์จีนชื่อ-เล่าจื๊อ “ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด ผู้ที่รู้จักตนเองเป็นคนมีสติ”
สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้นยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท
สติ คือ ฉุกคิดได้
ภาษาไทยได้มีการใช้คำเพื่ออธิบายคำว่า สติ ตามอาการต่างๆ เช่น
สติแตก แปลว่า คลุ้มคลั่ง
ขาดสติ หมายถึง ลืมตัว
เสียสติ แปลว่า บ้า กลับไม่ได้
สิ้นสติ คือ อาการขาดความรู้สึกตัว (มีชีวิต แต่เหมือนผัก)
อะไรที่คนเราเป็นมาก เป็นบ่อยที่สุด สติแตก ขาดสติ เสียสติ คนที่ขาดความรู้สึกตัว คือคนสิ้นสติ (หรือจะเรียกว่า สิ้นคิด) น่าสนใจที่คำไทยใช้คำว่า ไม่รู้สึกกับความหมายของคำว่า สำนึก ไม่สำนึก มีความหมายถึงมองไม่เห็นว่าตนเองผิด
นักปราชญ์จีนชื่อ-เล่าจื๊อ “ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด ผู้ที่รู้จักตนเองเป็นคนมีสติ” คนที่เป็นนักปราชญ์ ถือว่าเป็นคนฉลาด และเป็นคนที่ใช้ความคิด ในยุคของเรา นักวิทยาศาสตร์ถือว่า เป็นพวกที่ฉลาดที่สุด เป็นพวกที่ใช้ความคิด คิดค้น หาคำตอบด้วยหลักเหตุและผลตลอดเวลา ข้าพเจ้าได้อ่านบทความหนึ่ง
ความอัศจรรย์ที่ประเสริฐของคณิตศาสตร์
….กระนั้นนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ตระหนักในคุณค่าของคณิตศาสตร์มาเป็นเวลานานแล้ว ตามความเชื่อของ Galileo Galilei ที่ว่า คณิตศาสตร์เป็นภาษาที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการสื่อสาร และพระเจ้าทรงเป็นนักคณิตศาสตร์ เพราะพระองค์ทรงสร้างเอกภพโดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์เพื่อควบคุมปรากฏการณ์ต่างๆ หรือสามารถใช้พยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ได้ด้วย… (การทดลองเครื่องเร่องอนุภาค LHC ของ CERN พูดให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด ก็คือ การนำอนุภาคชนิดเดียวกันสองตัว มาวิ่งด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง แล้วให้มันชนกัน แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็จะคอยเก็บข้อมูลที่ได้จากการชนกัน ว่าเป็นไปตามทฤษฏีที่ตั้งไว้หรือเปล่า ถ้าใช่ ก็แสดงว่าทฤษฏีนั้นถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่ ก็แสดงว่าทฤษฏีดังกล่าว ยังไม่มีความสมบูรณ์ นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องปรับปรุงทฤษฏีให้ถูกต้องต่อไป
สำหรับคำถามที่ว่า มีประโยชน์อย่างไร, เอาไปใช้อะไรต่อ คงยังไม่สามารถตอบได้ในเร็วๆ นี้ เพราะการทดลองของ CERN เป็นการทดลองของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ซึ่งคงใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์) สมมตินักประดิษฐ์คนหนึ่งได้สร้างหลอดไฟฟ้าขึ้นมา ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นโลกยังไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้เลย ดังนั้นผลงานของเขาจึงต้องคอยเป็นเวลานานมาก กว่าชาวโลกจะตระหนักในประโยชน์ และคุณค่าของสิ่งที่เขาสรรค์สร้าง
ความคิดเห็นของ Lyn Evans, LHC project leader
> “มันเป็นช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์, เราสามารถมองไปยังอนาคต ซึ่งจะเป็นยุคใหม่ ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ”
คนฉลาดของโลกพยายามจะหาว่า มนุษย์เป็นใคร เกิดมาจากไหน และมีวิวัฒนาการมาอย่างไร แต่เป็นการแสวงหาที่เริ่มจากที่ไกล ในขณะที่ความจริงแล้ว เราสามารถรู้จักตนเองจากพระเจ้าผู้ขณะนี้อยู่ใกล้เราแล้ว
กจ. 17:24-26 24 พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้25 พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
โฮเชยา 4:6 6 ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย
ยากอบได้กล่าวว่า ธรรมบัญญัติเป็นเหมือนกระจกส่องให้คนของพระเจ้ารู้จักตัวเอง
ยากอบ 1:23-24 23 เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา24 เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร
อ.เปาโลได้กล่าวว่า ธรรมบัญญัติของพระเจ้าทำให้เราได้รู้จักบาปในตัวเรา รู้ว่า อะไรคือบาปที่แท้จริง
โรม 3:20 20 เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้
โรม7:7,11-15,24-25 7 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ว่าธรรมบัญญัติคือบาปหรือ หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะธรรมบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติมิได้ห้ามว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ…
11 เพราะว่าบาปได้ถือเอาพระบัญญัตินั้นเป็นช่องทางล่อลวงข้าพเจ้า และประหารข้าพเจ้าให้ตายด้วยพระบัญญัตินั้น12 เหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงาม13 ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือ หามิได้ บาปต่างหาก คือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพื่อจะให้ปรากฏว่าบาปนั้นเป็นบาปจริง และโดยอาศัยธรรมบัญญัตินั้น บาปก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก14 เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นมาโดยฝ่ายพระวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น…
24 โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้25 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป.
สิ่งที่เปาโลกล่าวในพระคัมภีร์เหล่านี้ คือการบอกกับเราว่า จำเป็นที่เราจะต้องรู้จักตัวเรา ในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในโลกสวย แต่ในโลกของความเป็นจริงที่ว่า สิ่งที่เรารู้ว่าดี แต่ไม่ทำ และก็ทำไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป บาปแปลว่า พลาดไปจากเป้า หรือน้ำพระทัยของพระเจ้า มนุษย์พยายามให้นิยามคำว่าบาป ตามที่มนุษย์จะแสวงหาพบคำตอบตามที่ความจำกัดของมนุษย์จะทำได้ เพื่อบรรเทาความรู้สึกผิด ของมโนธรรม แต่ความจริง บาปคือการพลาดไปจากสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้เราเป็น พลาดไปจากสิ่งที่เราควรจะทำ เราจึงติดอยู่กับคำว่า ขาวกับดำ ถูกกับผิด เท่านั้น การแยกแยะของมนุษย์จึงหยาบๆ ศีลธรรมของเราจึงเป็นข้อห้ามทำ ให้ทำ และก่อให้เกิดความกลัว แต่ไม่ได้ทำเพราะเกิดจากธรรมชาติ
ตัวอย่างเ่ช่น เราหายใจ ต้องพยายามหายใจไม๊ เมื่อใดที่เราพยายามหายใจ เพื่อจะเอาอากาศเข้าปอด แสดงว่า เราป่วย เช่นเดียวกัน คำว่า ทำดี กลายเป็นสิ่งที่ต้องพยายาม เพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติของเรา แต่การทำชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว ไม่ต้องพยายามมันเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ เพราะเรามีธรรมชาติบาปนั่นเอง และนี่คือที่มาของคำว่า สติ วันนี้ เราต้องกลับมาสำรวจชีวิตของเราว่า เรากำลังดำเนินชีวิตแบบไหนสิ้นนสติ ขาดสติ สติแตก หรืออย่างคนมีสติ
1.สิ้นสติ (ไม่มีความรู้สึก)ภาวะที่ฟื้นยาก โรม 7:15
15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น…
อ.เปาโลได้รับคำตอบ เมื่อท่านได้สติกลับมา เมื่อท่านได้พบกับพระเยซูในระหว่างทางที่ไปเมืองดามัสกัสเพื่อจะจับคริสเตียนขังคุก เพื่อทำลาย และทำลายคนที่คิดตรงกันข้ามกับท่าน หลังจากพบว่าตนเองอยู่ในทางที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ท่านกลับใจใหม่ ท่านสำรวจตนเอง และพบความจริงที่ว่า คนเราอาจตกอยู่ในสภาพสิ้นสติ คือไม่มีความรู้สึกไวต่อบาป (ตายฝ่ายวิญญาณ) เพราะเราคิดแต่เรื่องของเนื้อหนัง (โกรธ และรู้สึกต้องต่อต้านสิ่งที่ไม่ได้เป็นตามใจของตัวท่าน) แม้จะดูเหมือนกำลังประนนิบัติพระเจ้า แต่นี่ก็คืออาการหนี่งของการปักใจกับเนื้อหนัง และกำลังเก็บเกี่ยวเรื่องของเนื้อหนัง
โรม 8:5-6 5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ ก็คือชีวิตและสันติสุข
สิ้นสติคือ ตายนั่นเอง สิ้นสติ ไม่มีสันติสุข เพราะปักใจกับเรื่องของความพอใจของตนเอง การไม่มีสันติสุข คือสิ่งยืนยันว่า เป็นเรื่องของเนื้อหนัง สันติสุขสร้างเองไม่ได้ ต้องปักใจกับพระวิญญาณ จึงจะได้สันติสุข การปักใจกับเนื้อหนัง ทำให้ตาย เหมือนคนที่ไม่รู้สึกไวต่อบาป การงานของเนื้อหนังเห็นได้ชัด
กาลาเทีย 5:19-21 19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
ไม่ยากที่เราจะสำรวจตนเอง และรู้จักตนเองว่ากำลังปักใจอยู่กับเนื้อหนังอยู่หรือไม่ ข้อพระคัมภีร์บอกชัด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่คนไทยเรารู้สึกเบาและไม่รู้สึกเป็นบาป และรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องเนื้อหนัง นั่นก็คือการโกหก การไม่ใส่ใจต่อรายละเอียดว่าจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือการทำลายความไวต่อบาป (ไม่รู้สึก หรืออยู่ในสภาพอย่างคนสิ้นสติได้) นั่นคือการโกหก คนที่ไม่รู้สึกไวต่อบาป จะโกหกไว บิดเบือนไปจากความจริงโดยไม่รู้สึกรู้สามันคือบาป การโกหกมีน้ำหนักเท่ากับบาปของการล่วงประเวณี บาปของการฆ่าคน
วิวรณ์ 21:8 8 แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
คนสิ้นสติ หรือคนที่ไม่รู้สึกในเรื่องการโกหก จะคิดว่าการโกหกเล็กน้อย การตั้งข้อสมมุติฐานที่ไม่ใช่ความจริง เป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยกันได้ ทำได้ ไม่ไม่ผิด อันตรายมาก พระคัมภีร์วิวรณ์ได้ย้ำว่า คนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
2.อย่าปล่อยให้สติแตกบ่อย 1เปโตร 4:7-10
7 อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน8 ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้9 ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น10 ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า
คำว่า สติสัปชัญญะ ในพระคัมภีร์ตอนนี้ รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า อย่าเป็นเหมือนคนเมา ที่ไร้สติ (ไร้การฉุกคิด) ใครที่ยังติดเหล้า อยากกินเหล้า ต้องเลิก เพราะนั่นคือ ทางตรงของการไร้สติแบบฉับพลัน แบบสติแตก แต่ในทางอ้อม ก็มีโอกาสที่คนเราจะไร้สติแบบคนเมา คือสติแตก นั่นคือทางของความโกรธ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความโกรธ เป็นของคู่กันกับอารมณ์ของความเป็นมนุษย์ แต่พระคัมภีร์ได้สอนเรื่องความโกรธอย่างนี้
สดุดี 4:4 4 โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่
เอเฟซัส 4:26-27 26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่27 และอย่าให้โอกาสแก่มาร
ทั้งพระคัมภีร์เก่าใหม่ได้กล่าวถึงอารมณ์โกรธเป็นธรรมชาติของอารมณ์ความเป็นมนุษย์ เป็นเหมือนคนยาม ในสดุดีแนะให้ใช้เวลาคิดให้นาน อย่าระเบิดอารมณ์โกรธ (อย่าสติแตก) หนังสือเอฟซัสแนะว่า อย่าปล่อยให้โกรธนาน รีบจัดการกับความโกรธ ถ้าไม่จัดการ มารจะมาฉวยโอกาสกับความโกรธของเรา หนังสือเปโตรได้กล่าวว่า ให้คิดถึงความรัก เพราะความรักสำคัญกว่าความโกรธ ถ้าไม่คิดถึงความรัก ความโกรธ จะทำให้กลายเป็นความเกลียด และทำให้ความผิดจากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ มีเรื่องใหญ่ที่ต้องใส่ใจ แต่ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องเล็ก เรียกว่า มักง่าย แต่ก็มีเรื่องเล็กที่ควรมองข้ามกลายเป็นเรื่องใหญ่ สาเหตุมาจากความโกรธ ที่กลายเป็นความเกลียด และทำให้เกิดภาวะสติแตก และแตกบ่อยๆ App. ขับรถยังต้องมีเบรก และเบรกแตกคืออันตราย อารมณ์ของคนเราต้องมีเบรก ถ้าสติแตกบ่อยๆ ก็อันตรายเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าวันใดจะชนเข้ากับคนที่สติแตกเหมือนกัน ทุกวันนี้ ยังไม่ถึงตาย เพราะสติแตกไปแสดงกับคนที่ยังมีพอมีสติ เลยไม่เป็นเรื่องใหญ่ ขอให้เส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…ทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้นทุกวัน
3.รู้จักตนเอง (ภาวะขาดสติ) โรม 7:24
24 โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้
นี่คือความใส่ใจของคริสเตียนที่กลับใจใหม่ อย่างอ.เปาโล ที่พบความจริงของตนเองว่า ต้องการความช่วยเหลือ รู้ความจำกัดของตนเอง และยอมรับความจริงว่าตนเองนั้นอยู่ในสภาพใด ภาวะที่ขาดสติ คือขาดการควบคุมความคิดที่ไปกับบาป และมีผลต่อการกระทำที่ไม่อยากทำ แต่ยังทำอยู่ รู้ว่าถูก รู้ว่าผิด แต่ยังทำผิด ทำบาป อ.เปาโลใช้ความคิด เรียกสติกลับคืนมา ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับภาวะขาดสติที่อาจเกิดขึ้นอีก และเมื่อใดที่เกิดภาวะขาดสติ คือทำบาป อ.เปาโลรู้ว่า ตนเองน่าสมเพช คือช่วยตัวเองไม่ได้ และไม่มีใครช่วยได้ คำตอบอยู่ในโรมบทที่ 8
โรม 8:10,13-15 10 และถ้าพระคริสต์อยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายของท่านจะตายไปเพราะบาป แต่วิญญาณจิตของท่านก็จะดำรงอยู่เพราะความชอบธรรม…13 เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสียท่านก็จะดำรงชีวิตได้14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา
อย่าให้มารซาตานฉวยโอกาสที่จะกล่าวโทษเรา เพราะเราผิดพลาด แต่จงรีบลุกขึ้นจากความผิดพลาดล้มลงนั้น และพยายามที่จะจัดการกับโอกาสที่จะทำให้ผิดพลาดได้อีก ทำลายวิธีคิด วิถีที่จะนำไปสู่ภาวะขาดสติ (ทำบาป) อย่างสิ้นเชิง คนที่คิดจะเลิกสูบบุหรี่ ก็จะเอาบุหรี่ไปทิ้ง ทำลายไฟแช็ก คนที่ต้องการเลิกการเสพติดอะไรบางอย่างก็จะทำลายเครื่องมือ อุปกรณ์ที่จะทำให้กลับเสพอีก เช๋น วีดีโอโป๊ ก็ต้องถูกหักทิ้ง ทำลาย หรือโพยหวย ก็ต้องเผาทิ้ง แม่ทัพบางคนใช้วิธี ทุบหม้อข้าวทิ้ง เพื่อจะเดินหน้าไม่หันกลับ ไปใช้หม้อใหม่ในเมืองที่กำลังจะต่อสู้ให้ชนะ
สุภาษิต 16:32 32 บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้
4. มีสติอย่างคริสเตียน โรม 7:25
25 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป.
อ.เปาโลได้กล่าวถึงการมีสติ คือการเชื่อฟังของจิตใจ ต่อกฎของพระเจ้า แม้ว่าร่างกายจะมีจุดอ่อนเพราะบาปก็ตาม
โรม 8:1-4 1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
นี่เป็นกระบวนการต่อสู้ในชีวิตคริสเตียนที่มีสติ อย่าปล่อยให้การกล่าวโทษของมารทำงาน อย่าปล่อยให้ความท้อแท้ใจในตัวเองทำงาน อย่านอนแอ้งแม้ง เมื่อล้มลง แต่จงลุกขึ้น และตั้งเป้าที่จะดำเนินตามพระวิญญาณ ไม่ดำเนินตามเนื้อหนัง พระเยซูทรงเรียกเราจากความไม่สมบูรณ์ จากความอ่อนแอ จากความล้มเหลว มุ่งหน้าสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพื่อจะรู้จักตัวเราเองมากขึ้นและมากขึ้นว่า เราไม่สมบูรณ์ ยิ่งใกล้ความไพบูลย์ของพระคริสต์มากเท่าใด เรายิ่งรู้ว่าเราไม่สมบูรณ์ และเราจะไปถึงความไพบูรณ์ของพระองค์ และรับเอาความไพบูลย์ของพระองค์ ที่เป็นของพระองค์ ไม่ใช่ของตัวเรา อย่าตำหนิ บ่น ต่อว่าคนอื่นว่า ทำไมเขาจึงมีข้อบกพร่องมากมาย เพราะเขาไม่สมบูรณ์ เหมือนกับตัวเรา เราทุกคนไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่า ใครจะมองเห็นตัวเอง รู้จักตัวเองในมุมที่น่าเกลียด และโง่เขลามากขึ้นขนาดไหน ในการเดินในทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…เพื่อรู้จักตนเอง
สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…เพื่อรู้จักตนเอง
1.สิ้นสติ (ไม่มีความรู้สึก)ภาวะที่ฟื้นยาก
2.อย่าปล่อยให้สติแตกบ่อย
3.รู้จักตนเอง (ภาวะขาดสติ)
4. มีสติอย่างคริสเตียน