“ศักดิ์ศรีของพระราชา”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าถึงการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหนังสือพระมหากษัตริย์นักพัฒนา เพื่อประโยชน์สุขสู่ปวงประชา” ความตอนหนึ่งว่า ทรงนำความรู้และวิชาการต่างๆ มาใช้ร่วมกัน หรือที่สมัยนี้เรียกว่า “บูรณาการ” ไม่ทิ้งแง่ใดแง่หนึ่ง อย่างเช่น เรื่องอย่างนี้ในแนววิศวกรรมศาสตร์ทำได้ แต่อาจจะไม่เหมาะสมในเชิงเศรษฐศาสตร์ หรือ เหมาะสมดีในเชิงเศรษฐศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แต่ไม่เหมาะสมกับความสุขหรือความเจริญก้าวหน้าของประชาชน ก็ไม่ได้
เมื่อพระองค์เสด็จฯ ไปพบประชาชน ที่ทุกข์ยาก ทรงช่วยได้ก็จะช่วยทันที พระองค์ไม่ได้ตั้งทฤษฎีไว้ก่อน แล้วทรงทำตามทฤษฎี อย่างทฤษฎีใหม่ หรือทฤษฎีอื่นๆ พระองค์ทรงเห็น อะไรที่กระทบหรือเห็นว่ามีปัญหา ก็ทรงหาทางแก้ไข และเมื่อทำไปมากๆ ก็ออกมาเป็นทฤษฎี
“ฉันเห็นว่า พระองค์ไม่ได้ตั้งทฤษฎีโดยที่คิดตามปรัชญาและทฤษฎีมาก่อน แล้วหาตัวอย่างเข้าไปปฏิบัติตาม แต่มีความรู้สึกว่าพระองค์ทรงมีตัวอย่างมากมายจากการเสด็จฯ ไปยังที่ต่างๆ เพื่อทอดพระเนตรสภาพปัญหาที่แท้จริง ทรงพัฒนาเพื่อมุ่งสู่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” เป้าหมายในการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ “การพัฒนาที่ยั่งยืน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศที่ดีรอบคอบ ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระเยซูคริสต์เจ้าที่ทรงสอนผู้เชื่อทุกคนให้ดีรอบคอบอย่างพระบิดาผู้ทรงดีรอบคอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงมีศักดิ์ศรีของพระราชาตามที่พระธรรมสุภาษิตได้กล่าวว่า
สุภาษิต 25:2 2 ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ศักดิ์ศรีของพระราชา คือการค้นสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ไม่เพียงทรงเป็นพระราชาโดยตำแหน่ง แต่ยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ได้รับศักดิ์ของพระราชาด้วยการค้นสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงซ่อนไว้ให้ปรากฏอย่างแท้จริง เราจะได้ยินถึงการดำเนินชีวิตของพระองค์ว่า ทรงเป็นกษัตริย์ที่อยู่อย่างติดดิน บ้านของพระองค์ท่านในวังสวนจิตรลดาฯเล็กกว่าบ้านของเศรษฐีไทยหลายพันคน เล็กกว่าแม้กระทั่งบ้านของอดีตรมต.หลายร้อยคน วังในสวนจิตลดาถึงแม้จะมีบริเวณใหญ่กว้างขวาง แต่ส่วนที่ประทับมีบริเวณเล็กมาก ที่ดินส่วนใหญ่เป็นโรงเรียน โรงงาน ทดลอง ทำปุ๋ย ที่เลี้ยงวัว ที่ทดลองปลูกข้าว บุคคลทั่วไปก็เขาไปที่รร. จิตรลดา ได้โดยขอแลกบัตร ได้ทุกคน จากบริเวณโรงเรียน ก็มองเห็นอาคารที่ประทับได้ห่างออกไปไม่ถึง 100 เมตร พระองค์กินอยู่อย่างคนไทยชั้นกลางทั่วไป ไม่ใช่แบบเศรษฐีไทยอย่างแน่นอน
คนซ่อมรองพระบาท (รองเท้า) ของพระองค์ได้เล่าให้พวกเราได้รับทราบว่า
ท่านจะส่งรองเท้าเก่าท่านมาซ่อมตลอด จนซ่อมไม่ไหว
รองพระบาทเก่าคู่นั้น
ช่างยังเก็บไว้ให้เราไปดูได้
สมาคมทันตแพทย์ไทย
ไปขอพระราชทานหลอดยาสีฟันเก่า ที่ทรงใช้ได้จนหยดสุดท้าย โดยรีดจนหลอดแบนเป็นกระดาษ ไปขอดูที่สมาคมได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ (ในหลวง รัชกาลที่ 9) พระองค์นี้ได้แสดงให้เราได้ประจักษ์ว่า ศักดิ์ศรีของพระราชา ไม่ได้อยู่ที่การมีวังโอ่อ่า ยิ่งใหญ่ ใช้ของแพง ใช้อย่างฟุ่มเฟือย ศักดิ์ศรีของพระราชาคือการค้นพบสิ่งที่พระเจ้าทรงซ่อนไว้ คือความงดงามของจิดใจอันดี สติปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างรู้คุณค่าของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
ผู้นำประเทศต่างๆ และผู้ที่ฉลาดระดับมีสติปัญญามากมายได้ประทับใจในพระองค์ และมีความชื่นชมกับพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
มีคนส่งไลน์มาให้อ่าน คือจดหมายจากพ่อ (ในหลวงเขียนให้พระเทพฯ) ความตอนหนึ่งในนั้นกล่าวถึงว่า มีลาภมียศ สุขทุกข์ปรากฎ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภเสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกา นึกว่า”ชั่งมัน”
พระราชาองค์นี้ไม่ยึดติดกับความเป็นพระราชา แต่มุ่งค้นหาความเดือดร้อนของประชาชน และตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน พระองค์ท่านจึงอยู่ในใจของประชาชนทั้งประเทศ สมดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า
สุภาษิต 14:28 ในมวลประชาชนก็มีศักดิ์ศรีของพระราชา แต่ไร้ประชาชนเจ้านายก็ไร้ค่า
สุภาษิต 14:28 ศักดิ์ศรีของพระราชาอยู่ในมวลชน หากไร้ประชาชน เจ้านายก็วิบัติ (ฉบับแปล 2011)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ไม่ต้องปลุกระดม หรือสร้างมวลชน แต่มวลชนต่างมีใจให้กับพระองค์ พระองค์ท่านอยู่ในใจของมวลชน นี่คือศักดิ์ศรีของพระราชาที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงค้นพบสิ่งที่พระเจ้าทรงซ่อนไว้จริงๆ
แม้วันนี้ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศจะจากไปด้วยความเสื่อมถอยของสังขาร แต่สิ่งที่ไม่เสื่อมถอยเลย นั่นคือ ศักดิ์ศรีของพระราชา ยังเปล่งประกายส่องแสงเจิดจรัส นี่เป็นกฎฝ่ายวิญญาณที่ทำงานกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ บทเรียนสำหรับเราในช่วงเวลาไว้ทุกข์ให้กับพระองค์ ไม่เพียงแต่เศร้าเสียใจ แต่ให้ปลาบปลื้มใจที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ขอบคุณพระเจ้า
ให้เราทั้งหลายเดินตามรอยของพ่อ ศักดิ์ศรีอย่างพระราชา ที่ได้มาไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เพียรแสวงหาสิ่งที่เป็นความเร้นลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเดือดร้อนของประชาชน จนสามารถทำนุบำรุงสุขให้แก่ประชาชนได้ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงมีความปรารถนาให้ประชาชนคนไทยของพระองค์ ได้มีประสบการณ์กับศักดิ์ศรีของพระราชาที่พระองค์ทรงมีเช่นกัน
พระเยซูคริสต์ทรงให้ภาพเปรียบเทียบศักดิ์ศรีของพระราชาไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่า
วิวรณ์ 3:21 21 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นนั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนกับที่เรามีชัยชนะแล้ว และได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์
ชัยชนะที่พระเยซูได้กล่าวถึงนี้เทียบเท่าศักดิ์ศรีของพระราชา (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด) คือได้นั่งบนบัลลังค์เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และเป็นบัลลังค์เดียวกันกับพระบิดาบนฟ้าสวรรค์
ชัยชนะที่พระเยซูกล่าวนี้ คือชัยชนะในการต่อสู้กับตนเองนั่นเอง พระเยซูได้ตรัสว่า
มัทธิว 16:24 24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา
ตามเรามา คือการดำเนินชีวิตในเส้นทางเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงดำเนินชีวิตอย่างเดียวกันกับที่พระเยซูทรงกล่าวถึง คือทรงเอาชนะตัวเอง แบกกางเขน คือชีวิตที่พร้อมเสียสละเพื่อผู้อื่นตลอดเวลา ทรงประกอบพระกรณียกิจ ในบทบาทที่ได้รับอย่างไม่บกพร่อง
คำอุปมาที่พระเยซูทรงยกเปรียบเทียบซึ่งมีประโยคทองคำ ประโยคหนึ่ง คือประโยคว่า …ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’
มัทธิว 25:31-40
31 “เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์32 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศจะไม่เป็นคริสเตียน แต่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อผู้เล็กน้อยคือคนไทยที่ยากจน คนไทยที่ต่ำต้อย คนไทยที่แร้นแค้น หิวโหย พระองค์ทรงทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์การกระทำของพระองค์ที่เป็นของแท้ และสมควรจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์
คนไทยมากมายกำลังพูดคำว่า จะเดินตามรอยของพ่อ เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนไทย เรากำลังพูดอย่างคนไทยในเวลานี้หรือไม่ จะเดินตามรอยของพ่อ เป็นสิ่งที่เราควรจะทำเพื่อตอบสนองต่อพระคุณความรักของพ่อแห่งแผ่นดินพระองค์นี้ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับแบบอย่างศักดิ์ศรีของพระราชาที่อยู่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9