“อาหารแห่งชีวิต…เติบโตไพบูลย์อย่างพระคริสต์”

You are what  you eat แปลว่า กินอะไรเข้าไปก็ทำให้มีสุขภาพอย่างที่ตนเองกิน  เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า บริโภคนิยม ข้าพเจ้าได้เข้าไปดูในบล็อกที่มีคนเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องคำว่า  บริโภคนิยม กับ วัตถุนิยม และมีที่น่าสนใจ จึงอยากจะหยิบยกมาอ่านให้พี่น้องฟัง

บริโภคแปลว่า กิน  วัตถุนิยม หมายถึงการกินอาหารเพราะติดในรสอร่อย ต้องการเครื่องปรับอากาศ เพราะมันให้ความเย็น หรือต้องการรถเบนซ์ เพราะไปไหนมาไหนสบาย ไม่เหนื่อย นี่เป็นความสุขอันเนื่องจากประสาททั้งห้า แต่บริโภคนิยมลึกกว่านั้น จุดหมายของการบริโภคมิใช่ความสุขทางประสาททั้งห้าเท่านั้น แต่ต้องการมากกว่านั้น คือ เมื่อได้บริโภคแล้ว คุณรู้สึกว่าคุณได้เป็นอะไรบางอย่าง

ความสุขจากการกินโค้กหรือสตาร์บั๊คส์ มิได้อยู่ที่รสอร่อยหรือกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนทันสมัย มีรสนิยม คนไม่ได้กินแมคโดนัลด์เพราะต้องการความอร่อยมากเท่ากับอยากเป็นคนภูมิฐาน หรือรู้สึกเท่ บริษัทแมคโดนัลด์เขายอมรับว่าผลิตแมคโดนัลด์ ไม่ใช่เพื่อขายสารอาหาร แต่เขาต้องการขายภาพลักษณ์ ถ้าคนไปกินแมคโดนัลด์แสดงว่าเป็นคนทันสมัย ยืดอกเวลาสมาคมกับผู้คนได้

ตรงนี้ที่มันสนองสิ่งที่ลึกซึ้ง คือสนองความต้องการมี “ภาวะชีวิตใหม่” ที่น่าปรารถนาคือ ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณได้เป็นอะไรบางอย่างที่พึงปรารถนา คุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีคุณค่า คุณใส่ไนกี้ไม่ใช่เพราะไนกี้มันนิ่มเท้า แต่เพราะมันทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นอะไรบางอย่างที่น่าปรารถนา เช่น เป็นผู้ชนะ คนจำนวนมากปรารถนาที่จะมีรถเบนซ์ขับ ไม่ใช่เพราะว่ารถเบนซ์ขับนิ่ม หรือปลอดภัย แต่เพราะมันทำให้คุณรู้สึกมีหน้ามีตา มีความภูมิฐาน ทำให้คุณภูมิใจและมั่นใจในตนเอง ตรงนี้เป็นเรื่องจิตใจ

ทุกวันนี้ คนป่วย มากขึ้น (แต่เดิมก็ป่วยอยู่แล้ว) นั่นคือการดำเนินชีวิตอยู่กับวัตถุนิยมและบริโภคนิยม

ฟิลิปปี 3:19 19 ปลายทาง​ของ​คน​เหล่า​นั้น​คือ​ความ​พินาศ ​พระ​ของ​เขา​คือ​กระเพาะ เขา​ยก​ความ​ที่​น่า​อับ​อาย​ของ​เขา​ขึ้น​มา​โอ้​อวด เขา​สนใจ​ใน​วัตถุ​ทาง​โลก​

เมื่อสองพันปีที่แล้ว หนังสือลูกาได้บันทึกพระกิตติคุณเรื่องราวของพระเยซูไว้ดังนี้ว่า  พระเยซูได้รับเชิญไปงานเลี้ยงอาหารในบ้านของฟาริสี ธรรมจารย์ และพระองค์ทรงสังเกตเห็นคนที่รับเชิญมาต่างก็เลือกที่นั่งที่มีเกียรติ พระเยซูได้สอนให้คนที่รับเชิญให้รอคอยเจ้าของบ้านเป็นคนเลือกที่นั่งให้ และพระองค์ก็สอนเจ้าของบ้านเกี่ยวกับการเชิญคนมางานเลี้ยง ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเชิญแต่คนที่สามารถตอบแทนตนเองได้ แต่พระเยซูทรงสอนเจ้าของบ้าน และคนที่อยู่ในงานเลี้ยงนี้ว่า จงเชิญคนที่ไม่มีทั้งเกียรติ และไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะตอบแทน เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จ ก็มีหนึ่งในคนที่ร่วมในวงอาหาร(น่าจะเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของพวกธรรมาจารย์ ก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้​ที่​จะ​รับประทาน​อาหาร​ใน​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​ก็​เป็น​สุข” สำนวนคำพูดนี้ กำลังบอกว่า พวกเขาเข้าใจสิ่งที่พระเยซูสอนเรื่องมารยาท และการมีจิตใจดี เพื่อแสดงว่า พวกเขาเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม และพร้อมสำหรับที่จะร่วมงานเลี้ยงของพระเจ้า

หากกล่าวถึงการจัดงานเลี้ยง สำหรับมนุษย์  นั่นหมายถึงความร่าเริงยินดี และมีข่าวดี เช่น งานแต่งงาน งานวันเกิด งานฉลองชัยชนะ  การได้รับการช่วยกู้….

แต่สำหรับพระเจ้า สิ่งที่เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับพระเจ้าก็คือ แผนการแห่งความรอดสำหรับมนุษย์สำเร็จ พระเยซูได้ตรัสคำว่า สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อสองพันปีที่แล้ว นั่นหมายความว่า งานเลี้ยงได้เริ่มต้นแล้ว

สำหรับมนุษย์มีคำหนึ่งกล่าวว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา แปลว่า เวลาของมนุษย์สำหรับงานเลี้ยงนั้นสั้น แต่สำหรับพระเจ้า งานเลี้ยงของพระเจ้านั้นยาวนาน แต่ก็มีเวลาที่จะเลิกราด้วยเช่นกัน เราจะมาดูว่าพระเยซูทรงเล่าคำอุปมาตอนนี้ ได้ซ่อนนัยยะในมิติฝ่ายวิญญาณไว้อย่างไร

ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า คำอุปมาเพื่อจะซ่อนความหมายที่แท้จริงจากคนที่ไม่ได้จริงจังในการติดตามพระองค์….แต่จะเปิดเผยสำหรับสาวกของพระองค์เท่านั้น สาวกแปลว่า นักเรียน แปลว่า คนที่มุ่งจะเรียนรู้จากพระเยซู จะได้รับการเปิดเผยมากกว่าคำอุปมา คนที่พูดว่า พวกเขาพร้อมจะเรียนรู้สิ่งดีๆจากพระเยซู คำอุปมาของพระเยซูตอนนี้กำลังถามกลับไปว่า จริงหรือ? ที่พวกคุณพร้อมจะเรียนรู้สิ่งดีๆอย่างที่เรียกตนเองว่าคนชอบธรรม  จริงหรือ? ที่พวกคุณพร้อมจะร่วมโต๊ะกับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูจึงได้สอนลึกในมิติฝ่ายวิญญาณ ด้วยคำอุปมาเรื่องงานเลี้ยงใหญ่ ในหนังสือลูกาตอนต่อไปนี้

ลูกา  14:15-24   .….“ผู้​ที่​จะ​รับประทาน​อาหาร​ใน​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​ก็​เป็น​สุข”

พระเยซูกำลังตอบคำพูดประโยคนี้ว่า คนที่จะมีความสุขที่แท้จริง  ไม่ต้องรอตายแล้วขึ้นสวรรค์ร่วมงานเลี้ยงของพระเจ้า แต่งานเลี้ยงของพระเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์มาสู่แผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าได้จัดโต๊ะจีนให้แล้ว และอาหารที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงนี้ก็สุดยอดที่สุด

 ยอห์น6:27,35,48 27 อย่า​ขวน​ขวาย​หา​อาหาร​ที่​เสื่อม​สิ้น​ไป แต่​จง​หา​อาหาร​ที่​ดำรง​อยู่​คือ​อาหาร​แห่ง​ชีวิต​นิรันดร์ ซึ่ง​บุตร​มนุษย์​จะ​ให้แก่​ท่าน เพราะ​พระ​เจ้า​คือ​พระ​บิดา​ได้​ทรง​ประทับตรา​มอบ​อำนาจ​แก่​พระ​บุตร​แล้ว”….35 ​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “เรา​เป็น​อาหาร​แห่ง​ชีวิต ผู้​ที่มา​หา​เรา​จะ​ไม่​หิว และ​ผู้​ที่​วางใจ​ใน​เรา จะ​ไม่​กระหาย​อีก​เลย​….48 เรา​เป็น​อาหาร​แห่ง​ชีวิต​

น่าสนใจมากว่า อาหารในงานเลี้ยงของพระเจ้า นอกจากจะอร่อยถูกใจ (ไม่ใช่แค่ถูกปาก) กินแล้วอิ่มตลอดกาล อิ่มใจจนอิ่มท้อง และไม่อยากอะไรอีกเลย นี่แหล่ะคืออาหารแห่งชีวิต…นำไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ คือนำไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตที่แท้จริง (ไม่ต้องกระเสือกกระสน ไม่ต้องดิ้นรนไปแสวงหาอะไรมาเติมเต็มชีวิตอีกต่อไป) ไม่ต้องพยายามด้วยวิธีอย่างมนุษย์ ทรมานตนเอง หรือเข้าป่าปลีกวิเวก พยายามจะหนีจากความเป็นคน แต่ยังให้เราเป็นคน และรู้จักตัวตน ในมุมที่อ่อนแอ และรับการเยียวยา ด้วยอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์นี้ พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ให้เป็นคนธรรมดาที่รู้ว่าตนเองป่วยก็ต้องการอาหารที่ดี เพื่อให้หายป่วย

มีคุณพ่อของคนท่านหนึ่งมีอายุ 100 กว่าปีแล้ว  ท่านกล่าวว่า ทานปลาเป็นอาหาร ทานพืชผักผลไม้เป็นยา  ลูกสาวคุณพ่อท่านนี้ เชิญข้าพเจ้าว่า อาจารย์ไก่  ช่วยไปร้องเพลงและเทศนาให้พ่อฟังที่บ้าน  เรานัดกันว่าหลังปีใหม่นี้จะไปเยี่ยมท่านที่บ้าน  นอกจากคุณพ่อจะรู้จักอาหารที่ดีแล้ว ยังรู้จักอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ด้วย อายุร้อยกว่าปี ก็ยังต้องการอาหารแห่งชีวิต วันนี้ พวกเราอายุเท่าไร เรากำลังรับอาหารแห่งชีวิตอย่างต่อเนื่องหรือไม่

พระเยซูได้ทรงตรัสคำอุปมาเรื่องงานเลี้ยงของพระเจ้าบนโลกนี้ว่า

 1.จะมีบางคนที่ปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต  ลูกา 14:16-19

16 ​พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ยัง​มี​คน​หนึ่ง​ได้​ทำ​การ​เลี้ยง​ใหญ่ และ​ได้​เชิญ​คน​เป็น​อัน​มาก​17 เมื่อ​ถึง​เวลา​เลี้ยง​แล้ว เขา​ก็​ใช้​บ่าว​ของ​ตน​ไป​บอก​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​ได้รับ​เชิญ​ไว้​แล้ว​ว่า ‘เชิญ​มา​เถิด เพราะ​สิ่ง​สารพัด​เตรียม​ไว้​พร้อม​แล้ว​’18 บรรดา​คน​เหล่า​นั้น​ก็​พา​กัน​ขอ​ตัว คน​แรก​ว่า ‘ข้าพเจ้า​ได้​ซื้อ​นา​ไว้ และ​จะต้อง​ไป​ดู​นา​นั้น ข้าพเจ้า​ขอ​ตัว​เถอะ’19 อีก​คน​หนึ่ง​ว่า ‘ข้าพเจ้า​ได้​ซื้อ​โค​ไว้​ห้า​คู่ และ​จะต้อง​ไป​ลอง​ดู​โค​นั้น ข้าพเจ้า​ขอ​ตัว​เถอะ’20 อีก​คน​หนึ่ง​ว่า ‘ข้าพเจ้า​พึ่ง​แต่งงาน​ใหม่ เหตุ​ฉะนั้น​ข้าพเจ้า​ไป​ไม่ได้’

คนที่ปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต ที่พระเจ้าทรงจัดงานเลี้ยงให้บนโลกนี้ คนเหล่านี้ต่างอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ยุ่งอยู่กับอาชีพการงาน (ซื้อนาไว้ ต้องไปดูนา) ยุ่งอยู่กับความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจ (วัวห้าคู่)  และบางคนก็ยุ่งอยู่กับครอบครัวขอตัวเอง( เพิ่งแต่งงาน กำลังสร้างครอบครัวให้มั่นคง) ต่างปฏิเสธอาหารแห่งชีวิตในงานเลี้ยงของพระเจ้าที่จัดไว้ให้ (คิดว่า รอตายก่อน แล้วค่อยร่วมโต๊ะกับพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ 1โครินธ์ 11 ที่ข้าพเจ้ามักจะเอามาอ่านในพิธีมหาสนิท (กินขนมปังและน้ำองุ่น) ทุกสัปดาห์ที่สองของเดือน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งจะผ่านไป ข้าพเจ้ามักจะพูดคำว่า ร่วมโต๊ะกับองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นคือ เราได้ร่วมโต๊ะกับพระเยซู ขนมปังเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงพระกายของพระเยซูที่ต้องแตกหักเพื่อเรา และน้ำองุ่นเล็งถึงพระโลหิตของพระเยซูที่ต้องหลั่งออกเพื่อไถ่บาปเรา

ข้าพเจ้ามักจะพูดว่า อย่าให้ขนมปังน้ำองุ่นผ่านเราไป คือไม่กิน เพราะการไม่ให้อภัยคนอื่น หรือยังทำบาป ไม่สารภาพบาป กลับใจ หยุดทำบาป ทุกเดือนเรามีพิธีนี้เพื่อเตือนใจเรา สำรวจชีวิตตนเอง ว่า ยังร่วมโต๊ะ รับอาหารแห่งชีวิต หรือปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต และกินอาหารที่บำรุงบำเรอเนื้อหนังแทน (บริโภคนิยม กับวัตถุนิยม)

ถ้าเราตอบสนองต่อคำอุปมานี้ เรากำลังตอบสนองอย่างนักเรียนของพระเยซู ไม่ใช่แค่คนที่คิดว่า ตนเองเป็นคนชอบธรรมด้วยความเชื่อ และประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ยังดำเนินชีวิตบริโภคนิยม วัตถุนิยม

 2.อาหารแห่งชีวิตไม่เคยปฏิเสธทุกคน  ลูกา 14:21-22

’21 บ่าว​นั้น​จึง​กลับมา​เล่า​เนื้อความ​ให้​นาย​ฟัง นาย​ก็​โกรธ จึง​สั่ง​บ่าว​ว่า ‘จง​ออกไป​โดยเร็ว​ตาม​ถนน​ใหญ่ ตรอก​น้อย​ใน​เมือง​ พา​คน​จน คน​พิการ คน​ตา​บอด และ​คน​เขยก​เข้า​มา​ที่นี่’22 แล้ว​บ่าว​จึง​บอก​ว่า ‘นาย​เจ้า​ข้า ข้าพเจ้า​ได้​กระทำ​ตาม​ท่าน​สั่ง​แล้ว และ​ยัง​มี​ที่ว่า​งอ​ยู่’

จงตระหนักเสมอว่า อาหารแห่งชีวิต ไม่เคยปฏิเสธใคร ไม่ว่าใครก็ตามจะมี สภาพของจิตใจอย่างไร  สภาพร่างกายแบบไหน จิตวิญญาณที่ดำดิ่งขนาดไหน อาหารแห่งชีวิต  รับรอง กินแล้วไม่ตาย แต่ถ้าไม่กินสิ มีแต่จะป่วย และป่วยมากขึ้น ภาวะทางอารมณ์ป่วย เรื่องจิตวิญญาณยิ่งป่วยแน่นอน

จงสำรวจตนเองว่า กำลังอยู่ในงานเลี้ยงของพระเจ้า หรืองานเลี้ยงอย่างชาวโลก พระเยซูได้ยกตัวอย่างงานเลี้ยงอย่างชาวโลกของคนในยุคนี้ว่า จะเป็นเหมือนคนในยุคของโนอาห์

มัทธิว 24:36-38 36 “แต่​วัน​นั้น โมง​นั้น ไม่​มี​ใคร​รู้ ถึง​บรรดา​ทูตสวรรค์​หรือ​พระ​บุตร​ก็​ไม่​รู้ รู้​แต่​พระ​บิดา​องค์​เดียว​37 ด้วย​สมัย​ของ​โน​อาห์ ได้​เป็น​อย่างไร เมื่อ​บุตร​มนุษย์​เสด็จ​มา ​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น​38 เพราะ​ว่า​เมื่อก่อน​วัน​น้ำ​ท่วม​นั้น คน​ทั้ง​หลาย​ได้​กิน​และ​ดื่ม​กัน ทำ​การ​สมรส​และ​ยก​ให้​เป็น​สามี​ภรรยา​กัน จนถึง​วันที่​โน​อาห์​เข้า​ใน​นาวา​39 และ​น้ำ​ท่วม​มา​กวาด​เอา​เขา​ไป​สิ้น โดย​ไม่​ทัน​รู้ตัว​ฉัน​ใด เมื่อ​บุตร​มนุษย์​จะ​เสด็จ​มา​ก็​จะ​เป็น​ฉัน​นั้น​

มัทธิว 24:40-44 40 เมื่อ​นั้น​ชาย​สอง​คน​อยู่​ที่​ทุ่ง​นา จะ​ทรง​รับ​คน​หนึ่ง ทรง​ละ​คน​หนึ่ง41 หญิง​สอง​คน​โม่​แป้ง​อยู่​ที่​โรง​โม่ จะ​ทรง​รับ​คน​หนึ่ง ทรง​ละ​คน​หนึ่ง​42 เหตุ​ฉะนั้น​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​เฝ้า​ระวัง​อยู่ เพราะ​ท่าน​ไม่​รู้​ว่า องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ท่าน​จะ​เสด็จ​มา​เวลา​ไหน​43 จง​จำ​ไว้​ว่า ถ้า​เจ้า​ของ​บ้าน​ล่วงรู้​ได้​ว่า​ขโมย​จะ​มา​ยาม​ไหน เขา​จะ​ตื่น​อยู่​และ​ระวัง ไม่ให้​ทะลวง​เรือน​ของ​เขา​ได้​44 เหตุ​ฉะนั้น​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​เตรียม​พร้อม​ไว้ เพราะ​ใน​โมง​ที่​ท่าน​ไม่​คิด​ไม่​ฝัน​นั้น บุตร​มนุษย์​จะ​เสด็จ​มา

พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียนที่ดำเนินชีวิต บริโภคนิยมกับวัตถุนิยม จะมีคริสเตียนที่ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อพระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง เพื่อจะรับพวกเขาไป แต่พวกเขาเองที่ไม่อยากไป เพราะยังติดอยู่กับโลกนี้

วิวรณ์ 3:20  20 นี่​แน่ะ เรา​ยืน​เคาะ​อยู่​ที่​ประตู ถ้า​ผู้ใด​ได้​ยิน​เสียง​ของ​เรา​และ​เปิด​ประตู เรา​จะ​เข้า​ไป​หา​ผู้​นั้น​และ​จะ​รับประทาน​อาหาร​ร่วมกับ​เขา และ​เขา​จะ​รับประทาน​อาหาร​ร่วมกับ​เรา​

 3. งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา   ลูกา 14:23-24

23 นาย​จึง​สั่ง​บ่าว​นั้น​ว่า ‘จง​ออกไป​ตาม​ทาง​ใหญ่​ซอก​น้อย และ​เร่ง​เร้า​เขา​ให้​เข้า​มา เพื่อ​เรือน​ของ​เรา​จะ​เต็ม​24 เพราะ​เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า ใน​พวก​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​ได้รับ​เชิญ​ไว้​นั้น ไม่​มี​สัก​คน​หนึ่ง​จะ​ได้​ลิ้ม​เครื่อง​ของ​เรา​เลย’ ”

ไม่ใช่เพราะที่เต็ม  ยังมีที่ว่างสำหรับคนอีกมากมายเพียงพอ แต่ปัญหาที่ต้องเร่งรีบ เพราะเวลาใกล้จะหมดแล้ว นั่นคือ พระเยซูกำลังจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง และนั่นคือสัญญาณบอกว่า หมดเวลา คนที่รับเชิญแต่ปฏิเสธ (หมายถึงคนที่ดำเนินชีวิตดี มีโอกาสเรียนรู้สิ่งดีๆ แต่ไม่เข้าถึง เข้าลึกเป็นสาวกของพระเยซู เป็นแค่คนที่นับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น ) ผู้รับเชิญเหล่านี้ พลาดโอกาสลิ้มรสชาติอาหารแห่งชีวิตที่แท้จริง และเมื่อเวลาหมด ก็พลาดตลอดไป

บ่อยครั้ง ข้าพเจ้ามักจะพูดว่า ทำไมพระเจ้าไม่เอาเราไปเร็วๆ ยังให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่า เมื่อเราตายไป เราหมดความรู้สึกอย่างมนุษย์ที่ได้ลิ้มรสชาติอาหารแห่งชีวิต บนสวรรค์ เรามีกายใหม่ ลิ้นใหม่  เรามีความสุข  เราไม่มีคำว่า ร้องไห้ และน้ำตาอีกต่อไป แต่ขณะอยู่บนโลกนี้ เรามีน้ำตา มีการร้องไห้ มีความกระหาย ความหิวทางจิตใจ และอาหารแห่งชีวิตตอบโจทย์เราได้นั้น มันสุขขนาดไหน ทูตสวรรค์ เทวดา ไม่เข้าใจ และไม่มีโอกาสมีประสบการณ์อย่างเรา

อ.เปาโลได้กล่าวถึงโอกาสของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ อย่างคนที่แฮปปี้สุดๆ

ฟิลิปปี 1:21-23 21 เพราะ​ว่า​สำหรับ​ข้าพเจ้า​นั้น การ​มี​ชีวิต​อยู่​ก็​เพื่อ​พระ​คริสต์​ และ​การ​ตาย​ก็​ได้​กำไร​22 ถ้า​ข้าพเจ้า​ยัง​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ใน​ร่างกาย ข้าพเจ้า​ก็​จะ​ทำงาน​ให้​เกิดผล แต่​ข้าพเจ้า​บอก​ไม่ได้​ว่า​จะ​เลือก​ฝ่าย​ไหน​ดี​23 ข้าพเจ้า​ลังเล​ใจ​อยู่​ใน​ระหว่าง​สอง​ฝ่าย​นี้ คือ​ว่า ข้าพเจ้า​มี​ความ​ปรารถนา​ที่​จะ​จาก​ไป​เพื่อ​อยู่​กับ​พระ​คริสต์​ ซึ่ง​ประเสริฐ​กว่า​มาก​นัก​

ฟิลิปปี 4:12-13 12 ข้าพเจ้า​รู้จัก​ที่​จะ​เผชิญ​กับ​ความ​ตกต่ำ และ​รู้จัก​ที่​จะ​เผชิญ​กับ​ความ​อุดม​สมบูรณ์ ไม่​ว่า​ใน​กรณี​ใดๆ ข้าพเจ้า​รู้จัก​เคล็ด​ลับ​ที่​จะ​เผชิญ​กับ​ความ​อิ่ม​ท้อง​และ​ความ​อด​อยาก ความ​สมบูรณ์​พูน​สุข และ​ความ​ขัด​สน​13 ข้าพเจ้า​ผจญ​ทุก​สิ่ง​ได้ โดย​พระ​องค์​ผู้​ทรง​เสริม​กำลัง​ข้าพเจ้า

ให้เราสังเกตว่า คนที่บริโภคนิยมและวัตถุนิยม จะทนอะไรไม่ค่อยได้ ความอดทนแทบจะไม่มี สติแตก และระเบิดอารมณ์ได้ง่าย ขอให้เราทั้งหลาย จงเป็นผู้กินอาหารแห่งชีวิต และห่างไกลจากวิถีชีวิต บริโภคนิยม และวัตถุนิยม อาเมน

 “อาหารแห่งชีวิต…เติบโตไพบูลย์อย่างพระคริสต์”

1.จะมีบางคนที่ปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต

2.อาหารแห่งชีวิตไม่เคยปฏิเสธทุกคน

3. งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

By admin