“ประตูที่คับและทางที่แคบ”
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ข้าพเจ้าเทศนาในหัวข้อ เข็มทิศชีวิต ซึ่งหมายถึงการดำเนินชีวิตที่ต้องมีการนำทาง การดำเนินชีวิตของเราทุกคนเหมือนการเดินทาง โดยเฉพาะการเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์อย่างไดโคนอส คือ ร่วมเดินทางไปกับเจ้านายซึ่งเป็นผู้นำทาง วันนี้ จะเป็นเรื่องของการเดินตามเข็มทิศที่จะนำทางไปในเส้นทางที่เรียกว่า ประตูคับ และทางแคบ
มัทธิว 7:13-14 13 “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย
พระเยซูคริสต์ทรงยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องประตูและทางแคบ ตามมาตรวัดของคนยิว ที่ฟังแล้วจะเข้าใจ มาตรวัดประตูและทางแคบ มีอย่างนี้ ทางไปประตูบ้าน (ส่วนตัว) กว้างสี่ศอก ประมาณเมตรกว่าๆ ทางระหว่างเมืองสู่เมือง กว้างแปดศอก ประมาณสองสามเมตร ทางสาธารณะ (คนเดินเยอะ ไร้ทิศทางทาง จะไปทางไหนก็ได้ มีความกว้าง สิบหกศอก ประมาณหกเมตร และทางสุดท้าย ที่กว้างสามสิบสองศอก ประมาณสิบสองเมตร คือทางสู่เมืองลี้ภัย (ที่เต็มไปด้วยผู้ฆ่าคน ทั้งเจตนา และไม่เจตนา)
คนไทยเรามีสำนวนว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก เป็นคำที่บอกว่า หากอยู่ที่ไหนไม่สบายใจ คนไทยเราก็จะเลือกไปจากที่อื่น ที่สบายใจ จึงมักจะมีคนลาออกจากงาน ย้ายที่ทำงานบ่อยๆ และสำหรับคริสเตียนก็ย้ายโบสถ์ เพราะรู้สึกว่า ไม่สบายใจ ไปแบบไม่สบายใจ และในสังคมคริสตจักรก็มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยย้ายโบสถ์ จากโบสถ์นั้นไปโบสถ์นี้ และอ้างแต่คำว่า ไม่สบายใจ
ข้าพเจ้าเพิ่งกลับจากเยี่ยมเยียนพี่น้องที่ภูเก็ต เจอหลายคนก็ปรับทุกข์เรื่องความไม่พอใจผู้นำ ศิษยาภิบาล บางคนก็ย้ายโบสถ์ บางคนก็ยังทนอยู่ ไม่น่าเชื่อว่า ทุกคนต่างเล่าเรื่องโจมตีศิษยาภิบาล และครอบครัวของเขา ข้าพเจ้าจึงแนะนำว่า ถ้าเขาทำไม่ถูก พระเจ้าตั้งเขา พระเจ้าก็จะปลดเขาเอง ทุกคนต่างต้องรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนเอง อย่าออกจากโบสถ์ด้วยความรู้สึกคับใจ รอให้สบายใจแล้ว และพระเจ้านำ ก็ออกจากโบสถ์ตามการนำของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความไม่สบายใจ เวลาคนเรามีอารมณ์โกรธ น้อยใจ การตัดสินใจมักจะผิดพลาด และแน่นอน ไม่ได้ตามการทรงนำของพระเจ้า
เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ข้พเจ้าทำงานบริษัท ข้าพเจ้าเคยมีความรู้สึกไม่สบายใจกับวิธีทำงานของบริษัท และอยากออกจากงาน แต่เมื่ออธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าให้อยู่ ทำงานต่อ จนวันหนึ่ง เป็นวันที่สบายใจที่สุด ทำอะไรก็ดีไปหมด ขณะกำลังเฝ้าเดี่ยว และลืมเรื่องความอยากจะออกจากงาน ทันใด พระเจ้าก็ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ลาออกจากงานได้แล้ว ข้าพเจ้าก็เชื่อฟัง โทรศัพท์ไปบอกลาออกจากเจ้านายทันทีในเช้านั้น ไม่มีความลังเลใจ ไม่กังวลเรื่องจะมีงานทำหรือไม่มีงานทำ เชื่อฟังอย่างเดียว ถึงวันนี้ ข้าพเจ้าแน่ใจเลยว่า ข้าพเจ้าไม่เสียใจกับการตัดสินใจในวันนั้นเลย เพราะวันนี้ ของข้าพเจ้า ดีกว่าวันนั้น แต่ประตู (โอกาส) ในวันนี้ คับไม๊ เรียกว่า ไม่ใช่ประตูคับ แต่มองไม่เห็นประตูเลย ทางแคบไม้ มองไม่เห็นทางด้วยว่าจะไปต่ออย่างไร แต่วันนั้นสบายใจ ออกมาอย่างสบายใจ ไม่ใช่คับใจ
และเมื่อมีคนรู้ว่า ข้าพเจ้าลาออกจากงาน ยังไม่มีงานทำ ก็ชวนให้มาช่วยงานโบสถ์ รับใช้กับโบสถ์ คนรอบตัวพูดในทำนองว่า สิ้นคิด (โลกแคบ) คนที่ดูถูก ก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้าว่า ไม่มีทางไป เลยมาทำงานที่โบสถ์ ความรู้สึกตอนนั้น บอกได้คำเดียวว่า แทบทนไม่ได้ กับการดูถูก ต้องอยู่ในวินัยของโบสถ์ ต้องทำอะไรภายใต้กฏระเบียบแบบโบสถ์ ที่ไม่เคยทำมาก่อน (นื่คือทางแคบ)
และพบกับแรงกดดันอีกหลายด้านในระหว่างทำงานที่โบสถ์ จนข้าพเจ้าลาออกด้วยการให้เหตุผลว่าไปเรียนต่อ (พระเจ้าทรงอนุญาตให้ไปเรียนต่อ) และก็พบกับทางแคบอีกในที่ที่ไปเรียนต่อ จนอยากจะย้ายที่เรียน แต่พระเจ้าก็ปิดประตู ให้เรียนที่เกาหลี (ซึ่งเรียนอย่างไม่ชอบเกาหลีเลย) จึงเป็นเหตุผลที่ข้าพเจ้าไม่ได้ภาษาเกาหลีมา ซึ่งน่าจะได้ แต่เพราะไม่ชอบคนเกาหลีบางคน(ที่ดูถูก) ก็เลยไม่ยอมเรียนภาษาเกาหลีที่มาประเคนถึงที่ มีคนอาสาสอน (ตอนนั้นใช้แต่ภาษาอังกฤษในการเรียน จึงไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาเกาหลี) เป็นความเย่อหยิ่งแบบโง่สุดๆ
วันนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้ว่า ประตูที่คับ และทางที่แคบ ให้ประโยชน์อย่างมาก
ยอห์น 10:7 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย
ทางแคบ จะนำเราไปถึงประตู คือพระเยซูคริสต์ เป็นประตูส่วนตัว ประตูที่เราจะได้เรียนรู้ชีวิตอย่างพระเยซู
ฟิลิปปี 2:5-8 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
คำว่า น้ำใจ นี้ แปลว่า จิตใจที่ดี จิตใจอย่างพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยคุณธรรมความดี อย่างพระเยซู ที่ทรงเป็นพระเจ้าแต่ถ่อมใจ รับได้กับทุกภาวะของอารมณ์ที่ถูกกดดัน ด้วยความงดงามของจิตใจ ปราศจากตำหนิ และการติเตียน
เราจะไม่สามารถมีน้ำใจอย่างนี้ได้ หากเราไปไม่ถึงประตู คือไปไม่ถึงพระเยซูคริสต์ ทางแคบเท่านั้น จึงจะนำเราไปถึงประตู คือพระเยซูคริสต์เจ้า คำสอนเรื่องทางแคบ และทางกว้าง เพื่อจะสอนเราว่า การเป็นผู้รับใช้ของพระเยซู จะต้องเดินในทางเดียวกันกับพระเยซู ซึ่งเป็นทางแคบ และตรงกันข้ามกับคนที่เดินในทางกว้าง หากเราเลือกเดินตามส่วนใหญ่ เราจะไม่มีวันได้พบกับพระเยซูแน่นอน
คนส่วนใหญ่ในยุคของเราเลือกเดินทางไหนบ้าง ทางที่สบายใจ (แม้ทำผิดบาป ก็หาวิธีที่จะทำให้บาปผิดนั้นกลายเป็นถูก ) มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า โลกของเราวันนี้และอนาคตต่อๆไป จะมีแต่สีขาว คือทุกอย่างถูกหมด ไม่มีอะไรผิด นั่นคือ คนจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพรับผิดกับสิ่งที่ตนเองทำผิด แต่จะหาข้อแก้ตัว ให้สมเหตุสมผล แล้วก็กลายเป็นถูก
เราได้เห็นการพยายามปกป้องเจ้าลัทธิที่กำลังเป็นข่าวดังในบ้านเรา หาไม่เจอ จับไม่ได้เพราะท่านสามารถล่องหนได้ หรือท่านทำดีมากมาย เลยถูกคนไม่ดีมุ่งร้าย ต่อท่าน สารพัดเหตุผลที่จะนำมาใช้เพื่อปกป้อง และแก้ผิดให้ถูก
สำหรับเราที่เป็นคนเล็กๆในสังคมเล็กๆ เราก็ไม่แตกต่าง แนวโน้มของการเปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูก ด้วยการให้ร้ายคนอื่น เพื่อตนเองจะถูกต้อง เกิดขึ้นได้กับทุกสังคม นี่คือทางกว้างที่คนมากมายเลือกเดิน และพระเยซูทรงตรัสว่า
…..เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก
คนส่วนใหญ่ใช้ทางนั้น มาตรวัดของคนยิวสำหรับทางที่กว้างที่สุด และไร้ทิศทาง คือทางสาธารณะ และทางสู่เมืองลี้ภัย ทางที่คนเป็นฆาตรกรเลือกใช้เส้นทางนั้น เพื่อจะใช้สำหรับแก้คดีความของตนเอง ในพระคัมภีร์เดิม มีตัวอย่างของทางแคบ ที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อจะบังคับให้คนๆหนึ่งกลับมาสู่น้ำใจอย่างพระเจ้า
กันดาลวิถี 22:26,34 26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็เดินไปข้างหน้า ยืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย….34 แล้วบาลาอัมพูดกับทูตสวรรค์ของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาป เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่ในหนทางกั้นข้าพเจ้า ฉะนั้นถ้าท่านไม่เห็นชอบ ข้าพเจ้าจะกลับไปเสีย”
บาลาอัมฝืนคำสั่งของพระเจ้าที่ให้อวยพรแก่อิสราเอลแทนการสาปแช่ง บาลาอัมเห็นแก่สินจ้างของบาลาค ที่ว่าจ้างบาลาอัมไปสาปแช่งอิสราเอล เพราะบาลาอัมมีชื่อเสียงเรื่องนี้ แต่พระเจ้าสั่งให้บาลาอัมไม่ให้ทำ แต่เมื่อบาราคตั้งค่าจ้างสูงขึ้นเรื่อยๆ บาลาอัมก็ขัดน้ำพระทัยพระเจ้าเรื่องนี้ และระหว่างทางที่เดินทางไปตามการว่าจ้าง พระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาขวางทาง และไล่ต้อนให้บาลาอัมไปถึงทางแคบ ไม่สามารถจะหนีไปทางไหนได้ จนบาลาอัมคิดว่า ลาที่ตนเองขี่อยู่เป็นเหตุ ทำให้บาลาอัมตีลา ตีเอาๆๆๆๆ
กันดารวิถี 22:31-33 31 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ32 และทูตสวรรค์แห่งพระเจ้า พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา33 ลาได้เห็นเรา และหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป”
ให้เราลองสำรวจมองดูความคับใจที่กำลังเกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง บางที เรากำลังได้รับความช่วยเหลือให้รอดตายจากเหตุที่ทำให้เราคับใจอยู่ก็ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุป โทษนั่นโทษนี่ ทำบาปซ้ำซ้อน แต่พระเจ้าอาจจะกำลังพาเราไปสู่ทางแคบ เพื่อจะพบกับประตู คือพระเยซูคริสต์ เพื่อให้พระองค์เปิดตาใจเราว่า เราต้องกลับใจใหม่ และเปลี่ยนหนทางวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นทางเดียวกันกับคนส่วนใหญ่
อย่าคิดว่า เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราจะเดินในทางแคบแบบอัตโนมัติ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เรากำลังอยู่ในท่ามกลางบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เป็นทางกว้างทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้น พระคัมภีร์ใหม่หลายตอนจะบอกเราให้ระวังในการดำเนินชีวิต และหลีกเลี่ยงการรักโลกทำไม
มีตัวอย่างคริสเตียนที่รักโลก และทิ้งการรับใช้ไป (ในยุคของอ.เปาโล) ที่ยุคนั้น การล่อลวง และยั่วยวนน้อยกว่ายุคของเรามาก
2ทิโมธี 4:10 10 เพราะว่าเดมาสได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว และได้ทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกา….
ความหมายของคำว่า รักโลก ในที่นี้ ก็คือความหมายเดียวกันกับในหนังสือ 1ยอห์น
1ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
ตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ คือ ทางกว้างที่คนส่วนใหญ่ตอบสนอง และเดินเข้าไปในทางนั้น เป็นทางที่ไม่สามารถจะพบกับพระเยซูได้ เป็นสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของโลกนี้
มัทธิว 16:24 24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา
ถ้าเราดูบริบทของหนังสือมัทธิวตอนนี้ เราจะพบว่า พระเยซูทรงตำหนิความคิด คำแนะนำของเปโตรที่ขอให้พระเยซูอย่าเข้าเมืองเยรูซาเล็มเพราะมีคนปองร้ายพระเยซู แต่พระเยซูจำเป็นต้องเข้า เพราะนี่คือแผนการของพระเจ้าสำหรับพระองค์ที่จะต้องถูกตรึงที่กางเขน จำเป็นที่พระเยซูจะต้องตาย
มัทธิว 16:23,,25-26 23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า “อ้ายซาตานจงไปให้พ้น เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า”…25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา
ถ้าพระเยซูฟังคำแนะนำของเปโตรวันนั้น เราทั้งหลายจะไม่มีวันนี้ แต่เพราะพระเยซูทรงรู้ว่า นี่คือแผนการของพระเจ้าสำหรับพระองค์จำเป็นต้องตาย
หนังสือฮีบรูได้กล่าวถึงการเดินทางในแคบของคริสเตียนทุกคน
ฮีบรู 12:1-4 1 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า 3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย
ขอให้เราทุกคน จงบากบั่นมุ่งไป ในทางแคบ ที่ต้องทิ้งทุกอย่าง โดยเฉพาะบาปที่เกาะแน่น และในทางแคบนี้ จะต้องวิ่ง ไม่ใช่เดิน เพื่อจะไปให้ไกลจากทางกว้าง และใกล้ประตูทางเข้า เพื่อจะพบกับพระเยซูผู้กำลังจะเสด็จมาอีกครั้ง
1โครินทธ์ 1:8 8 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติในวันของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา