“ผู้ที่ไม่เห็นพระเยซูแต่เชื่อก็เป็นสุข”
เราได้ชมวีดิโอ 10 ประสบการณ์ของเหล่าสาวกของพระเยซูไปแล้ว สามประสบการณ์สุดท้าย ของสเทเฟน เปาโลและอานาเนีย เป็นเหตุการณ์หลังจากพระเยซูได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว นั่นหมายความว่า แม้ว่า พระเยซูจะทรงสถิตอยู่บนสวรรค์ แต่พระองค์ก็ทรงสามารถมาปรากฏ พูดด้วย ในระยะใกล้ชิดกับผู้ที่พระองค์ต้องการจะพบ โดยเฉพาะผู้เชื่อ หรือแม้แต่คนที่ไม่เชื่ออย่างเปาโล และตลอดสองพันปีที่ผ่านมา มีคนเป็นพยานถึงการได้พบกับพระเยซู ได้ยินเสียงพระเยซู ได้รับการสื่อสารจากพระองค์ในหลายรูปแบบ แม้ไม่เห็นพระเยซู แต่เชื่อก็เป็นสุข นี่คือบทพิสูจน์ถ้อยคำของพระองค์ที่ได้ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ตั้งแต่พระองค์ยังไม่ถูกตรึงที่กางเขน
ยอห์น 16:16-19 16 “อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา”17 สาวกบางคนของพระองค์พูดกันว่า “ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า ‘อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา’ และ ‘เพราะเราไปถึงพระบิดา’ เหล่านี้หมายความว่าอะไร”18 เขาพูดกันว่า “ ‘อีกหน่อย’ นั้นหมายความว่าอะไร เราไม่ทราบว่า ‘อีกหน่อย’ ที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอะไร”
พระเยซูกำลังหมายความว่า ความโศกเศร้าของเหล่าสาวกจะกลายเป็นความชื่นชมยินดี และก็เป็นจริง ความโศกเศร้าในการสูญเสียพระเยซูไปในวันที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขน ได้เปลี่ยนไปเมื่อเหล่าสาวกได้เห็นพระเยซูอีก และยิ่งกว่านั้น พระเยซูได้ตรัสถึงการไม่เห็นพระเยซูแต่เชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นแต่ยังเชื่อ ก็จะเป็นสุข นี่เป็นคำตรัสของพระเยซูที่ได้ตรัสกับโธมัส (ฉายาคนขี้สงสัย)
ยอห์น 20:24-29 24 ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่าแฝด ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา25 สาวกอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” 26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด”28 โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
แม้โธมัสจะขี้สงสัยก็จริง แต่โธมัสจริงใจ อยากพบพระเยซู พระเยซูก็มาพบโธมัสอย่างที่เขาอยากจะพบกับพระองค์
27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด
พระเยซูทรงตอบสนองต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ หากเราทั้งหลายเป็นผู้เชื่อ ผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง เราจะพบพระองค์แน่นอน คำถามก็คือว่า เรากลัวที่จะพบพระองค์หรือเปล่า คำว่า
7 “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
มัทธิว 7:8-11 8 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์
ในบริบทนี้ คือการขอ การแสวงหา เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ที่เสด็จมาเมื่อพระเยซูทรงเสด็จไป พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ที่จะเข้ามาสถิตภายในผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าของคนๆนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราระลึกถึงสิ่งสารพัดที่พระเยซูทรงสั่งสอนไว้ ราวกับว่าพระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางสาวกของพระองค์
ยอห์น 14:26 26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว
ยอห์น 14:16-17 16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน
พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งในสามพระภาคของพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์มีบทบาทสำคัญ และจะทำบทบาทในผู้ที่เชื่อในพระเยซูเท่านั้น วันนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนสูจิบัตรเรื่อง “แด่พระเจ้าที่เรารู้จัก….พระเยซู” พระนามเดียวที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้สำแดงพระเจ้า ผู้ที่เชื่อ ยอมรับความเป็นพระเจ้าของพระเยซู คือผู้ที่เข้าสู่กระบวนการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น ในพระคัมภีร์โครินธ์จึงกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
1โครินธ์ 1:21 21 เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน…..
1โครินธ์2:11 11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น
ไม่มีใครจะรู้จักพระเจ้าด้วยการเรียนรู้ โดยปราศจากความเชื่อ ความเชื่อ เป็นกุญแจสำคัญ ต้องเป็นความเชื่อที่แสดงออก ความเชื่อที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่
ฮีบรู 11:6 6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
พระเจ้าทรงมีความเป็นองค์อธิปไตย แปลว่า พระองค์สามารถตัดสินใจได้ด้วยพระองค์เอง มนุษย์ไม่สามารถบีบบังคับให้พระเจ้าตอบสนองตามที่มนุษย์ต้องการ มนุษย์ไม่สามารถติดสินบน ว่าจ้างพระเจ้าให้ทำอะไรให้ มนุษย์ไม่สามารถจับพระองค์ยัดใส่ที่แคบๆและเอาอาหารมาตั้งเซ่นไหว้ตามที่มนุษย์อยากจะให้ พระเจ้าไม่ได้เป็นวิญญาณที่หิว หรือต้องการสิ่งใดจากมนุษย์เลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะนมัสการพระเจ้าจะต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ต้องสื่อสารกับพระองค์ด้วยความจริงของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริงของมนุษย์ ความจริงของพระเจ้ามักจะสวนทางกับความจริงของมนุษย์ในหลายเรื่องมากๆ เช่น ความจริงคือความจำกัดของมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้า ความจริงคือ ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระองค์ เช่นเรื่องความตาย การฟื้นขึ้นมาจากความตาย การสูญเสียชีวิตที่เอากลับมาไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงทำได้ พระเยซูได้ตรัสว่า
ยอห์น 10:18 18 ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้ เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา”
และพระองค์ได้พิสูจน์ในวันที่สามหลังจากถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ พระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย การได้เห็น และการไม่ได้เห็นพระเยซู ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ ความเชื่อ แม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข
พระเยซูทรงเหมือนเดิม คือเป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และต่อไปเป็นนิตย์ เราเชื่อและแสวงหาที่จะพบกับพระเยซูในแบบใด พระเยซูทรงสามารถทำให้เราเห็นพระองค์ด้วยตาใจ ด้วยวิธีการของพระเยซู ไมใช่ด้วยการกำหนดอย่างมนุษย์ วันนี้ เรากำลังดำเนินชีวิตราวกับได้เห็นพระเยซูอย่างไร
ฮีบรู 11:1-3 1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง2 โดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
จากวีดิโอ ตอนแรกได้เกริ่นบทนำว่า หลังจากพระเยซูตาย คือความจริงของมนุษนย์ที่ทุกคนตายแล้วไม่มีวันฟื้นใหม่ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี อาการของเหล่าสาวกจึงตกอยู่ในสภาพเศร้าเสียใจ และกลัว ที่จะเปิดเผยว่าเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู เป็นศิษย์ของพระเยซู เพราะคนที่ฆ่าพระเยซูต้องการจะหยุดความจริงของพระเจ้า คนที่ฆ่าพระเยซูไม่ต้องการให้ความจริงของพระเจ้าเปิดเผยความลวงโลกของตนเอง คำสอนของพระเยซูจะแทรกแซงความจริงของมนุษย์ทุกด้าน ดังนั้น สาวกจึงกลัวการถูกกำจัดหากเปิดตัวว่าเป็นผู้ที่รับคำสอนของพระเยซู ต่อไป
ในวีดิโอได้ให้เราได้เห็นมุมของสาวกอีกด้านหนึ่ง หลังจากความจริงของพระเจ้าได้ปรากฏคือ พระเยซูได้ชนะความตาย ฟื้นขึ้นมา ความกลัวหายไป สาวกไม่กลัว และยังกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความตาย และยอมตายเพื่อความจริงของพระเจ้า
วันนี้ เราทั้งหลายกำลังดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเดียวกันนี้หรือไม่ ผู้เชื่อแต่ไม่เห็นพระเยซูก็เป็นสุข ความเชื่อในการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู ทำให้เราไม่กลัวสิ่งใด ไม่กลัวอด ไม่กลัวตกงาน ไม่กลัววันพรุ่งนี้ ไม่กลัวอนาคต ผู้ที่คุมอนาคต คือพระเยซู ผู้เหมือนเดิมวานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิตย์ ข้าพเจ้าเองก็เคยมีคำถามว่า พระเยซูทรงอยู่ที่ไหน มาปรากฏให้ข้าพเจ้าเห็นได้ไม๊ บางที่เราก็มีความคิดแบบนี้ จนเรารอแล้วรอเล่า และเป็นเงื่อนไขที่เราจะก้าวไปด้วยความเชื่อ ความเชื่อที่เรากำหนดว่า เราต้องเห็นพระเยซูก่อนแล้วจึงจะเชื่อ แล้วถ้าพระเยซูจะบอกเราว่า พระองค์จะไม่ปรากฏให้เราเห็นจนกว่าเราจะเชื่อ เรามีสิทธิ์เลือกได้หรือ
ยอห์น 15:16 16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
คำตอบคือ เราไม่ได้เป็นคนเลือก แต่พระเยซูทรงเลือกเราต่างหาก พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ทรงมีความเป็นองค์อธิปไตย พระองค์ทรงเลือกที่จะตอบสนองต่อคนที่มีความเชื่อ ว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่
เราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ไม๊ เรากำลังเป็นผู้เชื่อที่ไม่เห็นพระเยซู แต่เชื่อ ว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ วันนี้ และสืบไปเป็นนิตย์ ถ้าอย่างนั้น เราดำเนินชีวิตอย่างไรในวันนี้ ที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ เราดำเนินชีวิตอย่างไร และพรุ่งนี้ เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร
ยากอบ 2:19-20,26 19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น20 แน่ะคนโฉดเขลา ท่านต้องการให้พิสูจน์หรือว่า ความเชื่อที่ไม่ประพฤติตามนั้นไร้ผล….. 26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น
ผู้ที่ไม่เห็นพระเยซูแต่เชื่อก็เป็นสุข นั่นคือความเชื่อที่ต้องมีการประพฤติ การประพฤติของเราแสดงออกอย่างไร การประพฤติของเราประกาศว่าเราเชื่อพระเยซูอย่างไร หรือเพียงแค่ประกาศว่า เรามีศาสนาเป็นแค่เปลือกเท่านั้น แต่แก่นแท้ของศาสนาที่เราเชื่อ คืออะไร เราไม่ใส่ใจ เราก็ไม่ต่างจากคนในยุคสุดท้ายที่กำลังเดินไปสู่ความพินาศ
2ทิโมธี 1-5 1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค2 เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม3 ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี4 ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า5 ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ….
ขอให้เราเป็นผู้เชื่อที่ไม่เห็นพระเยซูแต่เชื่อก็เป็นสุข นั่นคือ เราใส่ใจกับสิ่งที่เป็นแก่นมากกว่าแค่เปลือก….เปลือกตาที่จะเห็นพระเยซู เหมือนคนมากมายที่มักพูดว่า ขอพระเยซูช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อน แล้วจึงจะเชื่อ จึงจะเป็นคริสเตียน จึงจะจริงจังกับชีวิตการเป็นผู้รับใช้ของพระเยซู เรากำลังตั้งเงื่อนไขแบบไม่มีเหตุผล และห่างไกลจากความจริงของพระเจ้า คำถามสำหรับเราในเช้าวันนี้ คือ ความเชื่อของเรา เป็นความเชื่อที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ในชีวิตได้หรือไม่ แม้ไม่ได้รับคำตอบตามที่ตนเองคาดหวัง ก็ยังเชื่อ ไม่มีอะไรจะมาทำลายความเป็นอยู่ของพระเยซูในชีวิตของเราได้
คนบางคน ยอมสูญเสียความจริงไป เพียงเพราะเรื่องปากท้อง เรื่องความอยู่รอดของตนเอง แต่มีคริสเตียนบางคน จะไม่ยอมสูญเสียความเป็นอยู่ของพระเยซูไป แม้ชีวิตของตนจะหาไม่
เมื่อข้าพเจ้าไปประชุมโลซานต์ครั้งที่สาม ที่ประเทศอัฟริกาใต้ มีการเชิญผู้ที่เป็นคริสเตียนจากประเทศต่างๆที่มีการต่อต้านข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรงหนักหนา ด้วยการฆ่า ทำลาย บังคับให้เปลี่ยนศาสนา ไม่ให้เป็นคริสเตียน เวลาคนเหล่านี้ขึ้นเวที จะมีป้ายชูขึ้นว่า ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด เพราะหมายถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ขึ้นมาบนเวที มีผู้หญิงคนหนึ่ง กว่าจะได้เป็นคริสเตียน เขาต้องเสี่ยงชีวิตมาก และยังคงเสี่ยงชีวิตที่จะรักษาความเชื่อเอาไว้ คำพูดของผู้หญิงคนนี้ทำให้เราต้องอื้ง เพราะเธอพูดว่า เธอจะไม่ยอมสูญเสียความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะกว่าจะได้มาเชื่อในพระองค์เธอต้องจ่ายราคาที่สูงมา มีค่าเท่ากับชีวิตของเธอ และอาจารย์ท่านหนึ่งที่ไปกับเราในทีมคนไทยด้วยกัน ได้กล่าวว่า
ฟังคำพยานของคนเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่า คริสเตียนไทยเราจ่ายราคาในการเป็นคริสเตียนถูกๆ หรือแทบไม่ได้จ่ายราคาเลย
วิถีการดำเนินชีวิตคริสเตียนไทยของเรากำลังทำให้คนรอบข้างเข้าใจว่า ความเชื่อในพระเยซูต้องเห็นพระเยซูก่อนแล้วจึงเชื่อ มันคือเปลือกของศาสนาหรือเปล่า เวลาเจอกับเหตุการณ์อะไรมากระทบชีวิต คริสเตียนบางคนก็ละทิ้งความเชื่อไปแบบง่ายๆ ไม่รักษาความเชื่ออันมีค่านี้ไว้
เราคงต้องกลับมารื้อฟื้นชีวิตคริสเตียนที่ว่า “ไม่เห็นพระเยซูแต่เชื่อก็เป็นสุข” นั่นคือ ความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิตย์