“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีเสรีภาพ”
เรื่องราวเยอรมนีช่วงปี ค.ศ. 1961-1989 ที่กำแพงเบอร์ลินทำหน้าที่แบ่งประเทศออกเป็นสองส่วน ส่วนตะวันตกที่ปกครองโดยประเทศเสรี อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ออกจากส่วนตะวันออกโดยสหภาพโซเวียด กำแพงถูกก่อขึ้น ณ ใจกลางกรุงเบอร์ลิน
ตื่นเช้ามาวันหนึ่ง ถนนที่ใช้สัญจรอยู่ทุกวันก็มีรั้วลวดหนามมากั้นอย่างไร้คำเตือน ทุกคนได้แต่ตกตะลึงสับสนและไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น….
คุณย่าท่านหนึ่ง เป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ท่านไม่ยอมเข้ากับฝ่ายตะวันออกโดยเด็ดขาด เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้กันดี โดยเฉพาะรัฐบาล…. เมื่อตอนที่ท่านเป็นมะเร็ง ต้องเข้าไปผ่าตัดในโรงพยาบาล รัฐส่งคนจากหน่วย Stasi (ชตา-ซี่) มาที่โรงพยาบาลแล้วบอกกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ทำงานให้หน่วย Stasi รัฐบาลจะยึดบ้านและปล่อยให้ท่านตายโดยไม่ยินยอมรักษา ท่านพูดแต่เพียงว่า ครอบครัวเราจะไม่มีใครทำงานให้ Stasi โดยเด็ดขาด….ท่านจากไปจริงๆ แต่บ้านก็ไม่ได้โดนยึดอย่างคำขู่”
ตอนที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย คำบอกเราของหลานของคุณย่าที่จากไปพร้อมกับอุดมการณ์เพื่อเสรีภาพได้กล่าวว่า
“พวกเราดีใจเกินกว่าจะมีคำบรรยาย ในที่สุด เสรีภาพที่เฝ้ารอมาตลอดก็มาเยือนเราซักที แต่ในที่สุด เราก็ค้นพบว่า ความฝันก็คือความฝันอยู่วันยังค่ำ……
หลังจากฝั่งตะวันตกเข้ามา สิ่งที่พวกเค้านำมาสู่ ไม่ใช่มิตรภาพ แต่กลับเป็นเสรีภาพแห่งการกอบโกย พวกเค้าหากำไรกับทุกซอกมุม เอารัดเอาเปรียบผู้คนที่ด้อยกว่า….ชั้นรู้สึกดีใจนะ ที่คุณย่าจากเราไปก่อนหน้าแล้ว….นี่แหละคือความเป็นจริง ”
หน่วย Stasi (ชตา-ซี่) คือ หน่วยอะไร เป็นหน่วยงานสอดแนมจากรัฐบาล มีไว้ล้วงความลับไม่ใช่กับศัตรู แต่กับประชาชนของตนเอง เหตุผลของหน่วยงานคือ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของรัฐบาลและประชาชน (หรือพูดง่ายๆ คือกลัวประชาชนจะตั้งกลุ่มเพื่อต่อต้านกับระบบรัฐนั่นเอง)แล้วเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง คนที่ทำงานให้หน่วยนี้ มีอยู่เกือบ 3 แสนคน มากกว่า 70% เป็นประชาชนบนถนน มีทั้งคนข้างบ้าน ร้านค้า คนเก็บขยะ ครู หรือแม้กระทั่งคนที่เราคิดว่าเป็นเพื่อนแท้ ไม่มีใครรู้ว่าใครทำงานให้กับ Stasi บ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ภัยจะมาถึงตัว ดังนั้น เราจึงไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกเลย…
ตอนที่กำแพงล่มสลาย หน่วยสอดแนมพยายามทำลายหลักฐานทั้งหมดที่พวกเค้าเก็บไว้นานกว่ายี่สิบปี แต่ด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาล จึงทำลายไม่ทัน เรื่องแฟ้มข้อมูลและเรื่องราวส่วนตัวรวมไปถึงการดักฟังโทรศัพท์ต่างๆ จึงยังถูกเก็บไว้อยู่ ดังนั้น ใครที่อยากเข้าไปอ่านเรื่องราวส่วนตัวของตนที่โดนสอดแนมไว้ก่อน
มีรายการทีวียักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ได้สัมภาษณ์อดีตพนักงานระดับสูงของหน่วย Stasi ถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Facebook
“Facebook เป็นความใฝ่ฝันขั้นสูงสุดของหน่วยงาน Stasi ข้อมูลส่วนตัวที่เราพยายามกันอย่างสุดความสามารถที่จะสอดแนมให้ได้มา มันถูกรวบรวมโดยความสมัครใจ แถมถือกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมอีกด้วย เสียดาย…ที่ตอนนั้นเรายังไม่มี Facebook” “ทีนี้ YOU ก็เข้าใจแล้วใช่มั้ย ว่าทำไมพวกเราถึงไม่เล่น Facebook”
เสรีภาพที่แท้ มักดูคล้ายผูกมัดในตอนแรก และการผูกมัดก็มักดูคล้ายเสรีภาพในตอนแรก ผู้เล่าเรื่องราวนี้ คือหลาน ได้กล่าวถึงคุณย่าผู้ต่อสูเพื่อเสรีภาพว่า ดีที่คุณย่าได้ตายไปก่อนที่จะเห็นว่า เสรีภาพที่ท่านต่อสู้นั้น เมื่อมันเกิดขึ้น คนได้ใช้เสรีภาพแบบผิดๆ
เรามักจะคิดว่า การทำอะไรตามใจตัวเองคือเสรีภาพ และการอยู่ภายใต้ระเบียบวินัยคือการหมดเสรีภาพ
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีเสรีภาพ คำถามก็คือว่า เป็นเสรีภาพที่เราอยากจะเอามาใช้แบบไหน
คำว่า Free will ในทางศาสนศาสตร์ เราคิดว่า เรามีเสรีภาพที่จะเลือกพระเจ้าหรือไม่เลือกพระองค์ก็ได้
เราอาจจะคิดว่า เราเลือกผิดหรือเปล่าที่ตัดสินใจมาเป็นคริสเตียน พระเยซูคริสต์ทรงตรัสเกี่ยวกับการเลือกของเราอย่างนี้
ยอห์น 15:16 16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
ถ้าเราเข้าใจถึงการทรงเรียกของพระเจ้า ไม่ใช่บังเอิญที่เรามาเป็นคริสเตียน ครั้งแรกที่เราจับมือกับพระเจ้า เราคิดว่า ถ้าเราไม่พอใจ เราจะปล่อยมือจากพระเจ้า แต่พระองค์ไม่ปล่อยมือจากเรา
โรม 8:38-39 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
ดูเหมือนเราจะไม่มีเสรีภาพเลยหรือ ไม่ใช่อย่างนั้น พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า คนที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า มีเสรีภาพ
กาลาเทีย 5:1 1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
1เปโตร 2:16 16 จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้น เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า
กาลาเทีย 5:13 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
เป้าหมายของการที่พระเยซูทรงเลือกเรา ก็เพื่อให้เรามีเสรีภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เสรีภาพจอมปลอม ทำทีเหมือนมีเสรีภาพ แต่จริงๆกลับเป็นทาส เสรีภาพของคริสเตียนคือการมีเสรีภาพที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า มีเสรีภาพที่จะปฏิเสธการงานของเนื้อหนัง ปฏิเสธกิเลศตัณหาความอยาก ไม่ใช่เราสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป แต่เราเป็นมนุษย์พันธ์อมตะที่แท้จริง
1เปโตร 1:22-23 22 ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง23 ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากพันธุ์มตะ แต่จากพันธุ์อมตะ คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่
ผู้เชื่อแท้จะตั้งใจเดินในกระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระเยซู (พันธ์อมตะ) ฉบับแปล 2011ใช้คำแปลว่า ไม่เสื่อมสลาย รากศัพท์ภาษากรีก ใช้คำที่มีความหมายถึง ไม่พินาศ ด้วยการถูกลงโทษบาป
เสรีภาพที่จะทำดี ไม่ใช่เพราะความกลัวตกนรก แต่เพราะเป็นมาโดยธรรมชาติใหม่ของพันธอมตะ ที่มีธรรมชาติของการทำดี แม้ว่าจะสวนทางกับคนหมู่มากก็ไม่กลัว แม้ว่าจะสวนกระแสของโลกนี้ก็ไม่กลัว แม้ว่าไม่มีใครทำดีเลย ก็ยังคงทำดี นี่คือความหมายของคำว่า พันธ์อมตะ เมล็ดพันธ์ที่ไม่เสื่อมสลาย ซึ่งมีความหมายเหมือนกับคำว่า เกลือ ที่ยังรักษาความเค็ม คนดีอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นคนดี ไม่ถูกชักชวนไปในทางที่ชั่วได้
2โครินธ์ 3:17 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
เสรีภาพที่จะทำดี เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตภายในผู้เชื่อ และพระวิญญาณแห่งเสรีภาพนี้จะทำงาน เมื่อผู้เชื่อตอบสนองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยการปฏิเสธความต้องการของเนื้อหนัง
เสรีภาพที่แท้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากเรายังไม่ได้ก้าวเข้าไปในกระบวนการเอาชนะตนเอง (ปฏิเสธตัวเอง) เรายังยึดติด เรายังตอบสนองต่อกิเลศความอยากของตนเอง แค่เรื่องง่ายๆ เรายังพ่ายแพ้ แล้วเรื่องยากจะทำได้อย่างไร อะไรคือเรื่องง่ายๆ เช่นเรื่องการกิน เรายังไม่สามาถรปฏิเสธเรื่องการกิน แล้วเรื่องอะไรอีกที่ง่ายๆ การใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ การพูด การควบคุมลิ้นยากที่สุด
ยากอบ 3:2,6 2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆ อย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย…6 และลิ้นนั้นเป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกชั่วร้ายที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอวัยวะต่างๆ ของเรา มันทำให้ทั้งกายเป็นมลทิน และเผาผลาญวงจรของชีวิต และตัวมันเองก็ถูกเผาผลาญโดยไฟนรก
คนที่คิดว่า มีปาก ก็จะพูดอย่างที่คิดว่ามีเสรีภาพที่จะพูด โดยไม่ได้ควบคุมบังคับ การพูดต้องถูกบังคับ
ยากอบ 11:19-20 19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ20 เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า
บางคนคิดว่า ตัวเองมีสิทธิ์ที่จะโกรธ เที่ยวโกรธคนไปทั่ว โกรธคนที่ทำผิดต่อตนเอง โกรธคนที่พูดไม่ดี โกรธคนที่ตนเองไม่ชอบ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวา ความโกรธของมนุษย์ไม่ได้ทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า
สรุปเกี่ยวกับเสรีภาพในนิยามของพระคัมภีร์มีสองด้าน
1.อย่าทำตัวเป็นคนสอดแนมเสรีภาพ กาลาเทีย 2:3-5
3 แต่ถึงแม้ทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า จะเป็นคนกรีกเขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต4 ตามคำแนะนำของพี่น้องจอมปลอม ที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีเพราะพระเยซูคริสต์ พวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส5 แต่เราไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้กับเขาแม้สักขณะเดียว เพื่อให้ความจริงของข่าวประเสริฐนั้นดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป
ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้ กำลังเล่าสถานการณ์ของคริสเตียนในคริสตจักรยุคแรก ที่ต้องเผชิญกับการข่มเหง ต้องหลบๆซ่อนๆเพื่อจะดำเนินชีวิตตามความเชื่อในพระเยซูคริสต์ คำสอนของพระเยซูคริสต์ในเวลานั้นทำให้คริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติ (กรีก) อย่างทิตัส ก็ถูกเพ่งเล็งว่า การมาเป็นคริสเตียนของทิตัส เกิดจากการถูกบีบบังคับให้ต้องเข้ารีต (อย่างชายยิว ต้องเข้าสุหนัต) ซึ่งคริสเตียนยิวจะเอาเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขของการเปลี่ยนศาสนาของคนต่างชาติ) คริสเตียนในเวลานั้น มีทั้งคนยิวและคนต่างชาติที่ไม่ได้เข้าสุหนัต (การขลิบหนังปลายองคชาต)
ในยุคของเรา เราไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามอย่างวัฒนธรรมของคนยิว (จุดกำเนิดของศาสนาคริสต์) คำว่า เสรีภาพที่อ.เปาโลได้กล่าวในตอนนี้ คือ เสรีภาพของการคบหาระหว่างคริสเตียนยิวกับคริสเตียนต่างชาติ (กำแพงที่ขวางกั้นระหว่างยิวกับคนต่างชาติคือเชื้อชาติ ศาสนาเดิม) คนยิวจะไม่คบหาคนต่างชาติ เพราะต้องการหลีกเลี่ยงอิทธิพลของคนต่างชาติที่ทำอะไรเสรีเกินไป เสรีอย่างคนที่ไม่มีพระเจ้าไม่มีศีลไม่มีธรรมของพระเจ้า ความเชื่อนี้ได้เพี้ยนไปจนกลายเป็นรังเกียจ และดูถูกดูหมิ่น และเอาเงื่อนไขของศาสนาเดิมมาเป็นเงื่อนไขในการเข้าพวกหรือไม่เข้าพวก นี่คือสิ่งที่อ.เปาโลผู้เขียนหนังสือกาลาเทียตอนนี้ เรียกคนพวกนี้ว่า คนสอดแนมเสรีภาพ หนังสือกาลาเทียจึงเป็นหนังสือพระคัมภีร์เล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับเสรีภาพจากพระเจ้า
กาลาเทีย 5:1,13 1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย…13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
คนสอดแนมเสรีภาพ มักจะยกเงื่อนไขเพื่อให้คนกลัว เพื่อให้คนเป็นทาส และเอาเสรีภาพมาเป็นช่องทางเพื่อจะปล่อยตัวไปตามความต้องการของเนื้อหนัง การงานของเนื้อหนังคืออะไร ในกาลาเทียอีกนั่นแหล่ะได้เขียนไว้ว่า
กาลาเทีย 5:17-21 17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
คนสอดแนมเสรีภาพ ไม่มีเสรีภาพที่แท้จริง ไม่มีเสรีภาพที่จะหลุดจากการงานของเนื้อหนัง ต้องเป็นทาสของความต้องการของเนื้อหนัง เนื้อหนังเป็นลักษณะชีวิต คริสเตียนต้องมีลักษณะชีวิตที่ตรงกันข้ามกับเนื้อหนัง พระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน
2โครินธ์ 3:17 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
ถ้าพี่น้องมีความรู้สึกว่า มีการต่อสู้ภายในอยู่ ระหว่างความใฝ่ดีกับความใฝ่ชั่ว นี่คือสัญญาณที่ดี แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกต่อสู้กันภายใน (ฟังดีๆ ไม่ใช่ความสับสน ไม่ใช่ความไม่ชัดเจน) แต่เป็นความชัดเจนว่า กำลังพยายามที่จะต่อสู้กับความต้องากรของเนื้อหนัง เพื่อจะปฏิเสธความปรารถนาของกิเลศ ตัณหา ความอยาก ความโกรธ ความโลภ ความหลง นี่คือการต่อสู้ที่แท้จริง ของชีวิตคริสเตียน
นี่คือสันชาตญาณใหม่ที่พระเจ้าให้เรามา หลังจากเรารับเชื่อ โดยปกติ คนดีจะมีสันชาตญาณที่เราเรียกว่า มโนธรรม ที่จะต่อสู้กับความใฝ่ชั่ว ขึ้นอยู่กับพื้นเพของแต่ละคนจะถูกสั่งสอนมาอย่างไร แต่สันชาตญาณใหมที่เกิดขึ้นหลังรับเชื่อ เราเรียกว่ ธรรมชาติอย่างพระเจ้า จะทำให้เรา ไวต่อบาป ต่อสู้พื่อเอาชนะบาปในตัวของเราเอง เพราะลักษณะของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้าได้เข้ามาในชีวิตของเรา เรามีเสรีภาพที่จะปฏิเสธบาป ด้วยความรู้สึกไวต่อบาป บาป ในนิยามของพระคัมภีร์ แตกต่างจากบาปในนิยามของศาสนาอื่นๆ บาปในนิยามของพระคัมภีร์ คือ การพลาดไปจากเป้าหมาย น้ำพระทัย พระประสงค์ของพระเจ้า
พระประสงค์ของพระเจ้า เรื่องเสรีภาพ ก็คือ ให้เรามีเสรีภาพที่จะรักกัน ให้อภัยกัน มีเสรีภาพที่จะปฏิเสธสิ่งชั่วร้าย
1เปโตร 2:16 16 จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้น เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า
คนสอดแนเสรีภาพ จะใช้เสรีภาพเพื่อทำความชั่ว แต่คนที่มีเสรีภาพที่แท้จริง จะดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า ก็คือ ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการทำดี
มัทธิว 5:16 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
2.เป็นคนที่มีเสรีภาพแท้ ยอห์น 8:32
32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท”
ความจริง Truth ของพระเจ้าจะทำให้เรามีเสรีภาพที่แท้จริง ความจริงของมนุษย์มักจะนำพันธนาการและเงื่อนไข ทำให้มองทุกอย่างสิ้นหวัง ไห้อภัยยาก คืนดีไม่ได้ คำที่พูดออกจากปากยาก พูดอย่างอื่นยังพูดเร็วและไว แต่พูดคำว่า ขอโทษ ยากเหลือเกิน นั่นคือการโกหกของจิตใจของตนเอง ทำให้ไม่มีเสรีภาพในการให้อภัย บางคนมีอาการงอนนาน ถือทิฐินาน ก็เพราะยังไม่ได้เป็นคนที่มีเสรีภาพแท้ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า
ลูกา 4:18-22ก 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลง และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” 22 คนทั้งปวงก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์….
สำเร็จแล้ว พระเยซูทรงเสด็จมาเพื่อจะหักโซ่ตรวจ ทำลายพันธนการที่เรียกว่า ยากที่จะให้อภัย ยากที่จะคืนดี ยากที่จะมีเสรีภาพ ยากที่จะหลุดจากความเป็นทาส เป็นเชลย วันนี้ เรามาถูกทางแล้ว พระเยซูตรัสว่า
ยอห์น 14:6 6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต….
ขอให้เราทุกคนจงมีเสรีภาพที่จะไม่ทำบาป และทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่าเป็นแค่เพียงคนสอดแนมดูเสรีภาพของคนอื่น ข้าพเจ้าอยากจะจบที่ตัวอย่างนึงที่ดูธรรมดาๆแต่ให้แง่คิดในมุมมองที่เราทั้งหลายอยู่ในสังคมนี้จนรู้สึกว่า เรื่องปกติกลายเป็นเรื่องที่พิเศษไป
วันหนึ่ง คุณขวัญมาที่บ้าน ข้าพเจ้ารินน้ำเต้าหู้ที่ทำเองให้ดื่ม คุณขวัญถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์ใส่อะไรเข้าไปพิเศษไม๊ (ความหมายของคุณขวัญคือ มีถั่วอย่างอื่นนอกจากถั่วเหลืองไม๊) ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงคำถามนี้ที่เคยถามเพื่อนบ้านที่เคยเอาน้ำเต้าหู้ที่เค้าทำเองมาให้ดื่ม เป็นคำถามเดียวกัน แต่วันที่คุณขวัญถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตอบอย่างเดียกันกับที่เพื่อนบ้านตอบ คือ ไม่ได้ใส่อะไรเป็นพิเศษ มันคือถั่วเหลือง มันคือน้ำเต้าหู้ที่เรารู้จัก แต่ที่เราไม่รู้จัก เพราะน้ำเต้าหู้ที่เราซื้อจากร้านค้ามักไม่ค่อยจะมีถั่วเหลืองเพียวๆ มีแต่น้ำ ไมมีกลิ่นหอม และถูกปรุงแต่งด้วยน้ำหวาน เครื่องที่กินร่วมด้วย
นื่คือภาพที่ข้าพเจ้าอยากให้เราได้รู้ว่า เสรีภาพที่แท้ มันอยู่ใกล้เราแค่ปลายจมูกเท่านั้น จงลดการปรุงแต่ง เงื่อนไขต่างๆที่เราเอาค่านิยมของโลกมาปรุงแต่ง แล้วเราจะรู้ว่า ทำไมชีวิตในพระเยซูคริสต์เจ้าจึงหอมหวานอย่างที่อ.เปาโลได้กล่าวว่า
2โครินธ์ 2:16-17 16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้17 เพราะว่าเราไม่เหมือนคนเป็นอันมาก ที่เอาพระวจนะของพระเจ้าไปขายกิน แต่ว่าเราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนสัตย์ซื่อ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีเสรีภาพ”
1.อย่าทำตัวเป็นคนสอดแนมเสรีภาพ
2.เป็นคนที่มีเสรีภาพแท้