“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ส่งข่าวดี”
ช่วงนี้มีแต่ข่าวเรื่องคนถูกล๊อตตาลี่รางวัลที่หนึ่ง แทนที่จะเป็นข่าวดี กลับเป็นข่าวร้าย คือคนถูกล๊อตตาลี่เป็นคดีความกัน ขนาดข้าพเจ้าไปเล่นที่ยิม ก็ได้ยินคนคุยกันถึงเรื่องนี้ บนโต๊ะกินข้าวก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้ ต่างก็พูดถึงความทุกข์ของคนถูกล๊อตตาลี่รางวัลที่หนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินข่าวนี้โดยไม่ต้องไปหาข่าวเลย มีแต่คนอยากเล่าให้ฟัง เป็นข่าวร้ายของคนที่น่าจะได้ลาภที่ก่อให้เกิดความสุข แต่กลับกลายเป็นทุกขลาภ
พอเล่าเรื่องนี้ หูผึ่งกันหมด ในยุคของเรามีแต่การเล่าและการฟังข่าวร้ายของคนอื่น แต่ที่แน่ๆไม่มีใครอยากฟังข่าวร้ายของตัวเอง มีแต่คนอยากฟังข่าวดีของตัวเอง
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาพระคริสตธรรมที่เกาหลี มีครั้งหนึ่ง เพื่อนชาวฟิลิปปินส์โทรมาจากแคมปัส ขณะข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงโซลว่า เฮ้ มีข่าวร้ายสำหรับยู แค่ได้ยินประโยคนี้ หัวใจก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม ใจมันแป้วยังไงบอกไม่ถูก รู้สึกใจหายวาบ มันรู้สึกว่า ไม่อยากฟังสิ่งที่เพื่อนฟิลิปินส์คนนี้บอกว่ามีข่าวร้ายสำหรับตัวเรา (แต่ปรากฏว่า เพื่อนล้อเล่น แค่เรื่องรองเท้าที่เพื่อนพม่าฝากมาให้เปลี่ยน เพราะซื้อไปผิดข้าง คู่หนึ่งมีข้างซ้ายสองข้าง เขากังวลว่า เราจะสื่อสารกับคนขายเกาลหลีว่าจะเปลี่ยนข้างซ้ายเป็นข้างขวาได้ไง ของกล้วยสำหรับข้าพเจ้า ผู้ชำนาญในการสื่อสารด้วยภาษาใบ้) สุดท้ายข้าพเจ้าแก้ปัญหาได้ มันไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับข้าพเจ้า
สุภาษิต 13:17 17 ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
ภาษาอังกฤษมีคำหนึ่ง everybody needs love ทุกคนต้องการความรัก ทุกคนอยากได้ยินว่ามีใครสักคนที่รักเขา มากกว่าจะได้ยินคำว่า มีคนเกลียด หรือปฏิเสธ กำลังใจที่ดีที่สุด คือความรักที่แสดงออก ไม่ใช่แค่คำพูดเท่านั้น ทุกคนอยากฟังข่าวดี มากกว่าข่าวร้าย ข่าวดีที่สุด คือข่าวการเป็นที่รักของใครสักคน
สุภาษิต 25:13 13 หิมะให้ความเย็นในฤดูเกี่ยวอย่างไร ผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ย่อมทำให้จิตวิญญาณของนายผู้ใช้เขาชุ่มชื่นอย่างนั้น
หนังสือสุภาษิตได้กล่าวถึงผู้ส่งข่าวที่ซื่อสัตย์ จะนำการรักษามายังผู้ที่รับข่าวสาร ผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ จะนำให้จิตวิญญาณของผู้ที่ใช้ผู้สื่อสารไปนั้น ได้รับความชุ่มชื่น แปลว่า การสื่อสารนั้น ได้นำความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ผลลัพธ์คือหายดี
คำถามก็คือว่า เราจะหาคนส่งข่าวดีที่นำไปสู่การหายดี นำไปสู่กำลังใจ นำไปสู่ลาภที่ดี ไม่ใช่ทุกขลาภได้ที่ไหน ขนาดคนถูกรางวัลที่หนึ่ง ยังกลายเป็นข่าวร้ายขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ กลายเป็นท๊อคออฟเดอะทาวน์ ลือสนั่นลั่นเมือง
ผู้รับใช้ของพระคริสต์….ส่งข่าวดี คือคำตอบ ใครคือผู้รับใช้ของพระคริสต์ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคน เราจะเป็นผู้ส่งข่าวดีได้อย่างไร ข่าวดีที่นำการเยียวยา การหายดีให้เกิดขึ้น
หนังสือชื่อ หมอจ๋าอย่าหลงทาง มีประโยคที่เขียนเกี่ยวกับหมอว่า หมอได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าจะรักษาคนป่วยหายดี ก็ได้ตังค์ รักษาไม่หายก็ได้ตังค์ รักษาแล้วตาย ก็ยังได้ตังค์ (แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการฟ้องร้องหมอก็ตาม) เมื่อข้าพเจ้าได้ยินประโยคนี้ก็คิดถึงว่า หลักของการรักษาที่แท้จริง คือการให้หายดี และพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการหายดี ด้วยคำว่า ความรอด
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเสต็จมาในโลกนี้ (ในวันคริสตมาส) เพื่อจะนำข่าวดี ความรอดมายังทุกคน คือให้ทุกคนได้รับการรักษาให้หายดี พระองค์เรียกตัวของพระองค์เองว่า เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ
ลูกา 5:31-32 31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ 32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่”
เราจะทำให้พระเยซูคริสต์เป็นหมอในชีวิตของคนมากมายได้อย่างไร
ภาษาไทยมีคำหนึ่ง คือคำว่า บอกต่อ แปลว่า ต้องดี ต้องเจ๋ง ถึงจะมีการบอกต่อ เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของคนที่ใช้แล้วดี จึงบอกต่อ คำว่า บอกต่อในอดีต คือคำดี มีความหมายที่ดี ในวันนี้ มีคำว่า ส่งต่อ แชร์ต่อ ในโลกโซเชียล กลายเป็นคำที่มีเรียกว่า มีความหมายได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ช่องทางเหล่านี้ กลายเป็นช่องทางของการส่งข่าวที่ดี และไม่ดีได้ เป็นดาบสองคม อยู่ที่คนส่งต่อ และแชร์ต่อ ว่าจะเป็นคนแบบไหน คนที่มุ่งร้าย หรือหวังดี
แต่สำหรับผู้รับใช้ของพระคริสต์….ต้องเป็นได้อย่างเดียว คือ ส่งข่าวดี แชร์ข่าวดี ในขณะที่คนในโลกนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย แต่ผู้รับใช้ของพระคริสต์ต้องรักษามาตรฐานการเป็นผู้ส่งข่าวดีอย่างเดียว
มีอีกคำถามว่า ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ส่งข่าวร้ายได้ไม๊ คำตอบคือ….. เป็นไปได้ ถ้าผู้รับใช้ของพระคริสต์คนนั้น สะเพร่า ขาดความระมัดระวัง และไม่ใส่ใจว่า สิ่งที่ตนเองจะส่งต่อ หรือส่งข่าวนั้น คือข่าวดี หรือข่าวร้าย ทำลาย หรือเสริมสร้าง การใช้ชีวิต สิ่งที่กำลังก่อร่างต่อยอดในชีวิตของตัวเอง เป็นข่าวดี หรือข่าวร้าย เป็นบวกหรือ ลบ ตีความไม่ชัดเจน
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ส่งข่าวดี ต้องจากจุดเริ่มต้นที่ดี
ยากอบ 3:11-12 11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย
พระเยซูทรงตรัสเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นที่ดี ต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดี
ลูกา 6:445 43 “ด้วยว่าต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี44 เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้ทุกต้นได้ก็เพราะผลของมัน เพราะว่าเขาย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้มีหนาม หรือย่อมไม่เก็บผลองุ่นจากต้นระกำ45 คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น
ผู้รับใช้ของพระคริสต์จะส่งข่าวดีได้ ชีวิตของตนเอง ต้องเป็นข่าวดีอย่างแท้จริง จากใจ ไม่ใช่สมอง ใจที่ศูนย์รวมของความคิด อารมณ์ แรงบันดาลใจ ความกล้าหาญ และการกระทำ
สุภาษิต 4:23 23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
ใจเป็นที่เริ่มต้นของทุกอย่างในชีวิตของรา จะเป็นตัวกำหนดว่า เราจะส่งข่าวดี หรือจะส่งข่าวร้าย จะนำการรักษาให้หายดี หรือจะยิ่งซ้ำเติมให้ป่วยมากขึ้น (ฟังดีๆ) คนที่จะหายดี หรือคนที่จะป่วย มากที่สุดคือตัวเราเอง และตัวของเราเอง ยังส่งต่อการหายดีหรือความป่วยนี้ไปสู่คนรอบข้างได้ พระคัมภีร์ฮีบรูได้ยืนยันเรื่องนี้ ดังนี้
ฮีบรู 12:12-15 12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ14 จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย และอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ส่งข่าวดีอย่างเดียว เอเมน ให้เรามาดูลักษณะของข่าวดี….
1.ข่าวดีนำการรักษาให้หายดี ฮีบรู 12:12-13
12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ
ข่าวดีจริง ต้องทำให้คนหายดี คนอ่อนแรงมีแรงมากขึ้น คนอ่อนล้ามีกำลังขึ้น นั่นหมายถึง การหายป่วย หายดี มีกำลังใจที่ดี
สุภาษิต 13:17 17 ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
ผู้สื่อสาร หรือทูต มีปากไว้พูดเพื่อนำคนออกจากความป่วย ไม่ใช่นำคนจุ่มลงไปในความลำบาก คนที่ทำให้คนอื่นลำบากใจ เป็นคนไม่ใส่ใจต่อคนอื่น จะทำอะไรก็ไม่คิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา อันนี้ ไม่ใช่ผู้สื่อสารข่าวดี มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า อยู่ใกล้กัน ก็เหมือนลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่จะกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา นั่นคือความผิดปกติ อันนี้ ทำให้เกิดสุขภาพจิตที่ไม่ดี นำไปสู่ความป่วยด้วยกันทั้งคู่ ตัวเองก็ป่วย คนรอบข้างก็ป่วย พากันไปสู่ความย่อยยับ
เราต้องตระหนักว่า เราคือผู้รับใช้ของพระคริสต์ เป็นผู้รับข่าวดีมาแล้ว เราต้องให้ข่าวดีทำงานในชีวิตของเรา ข่าวดีที่นำการรักษาให้หายดี นิสัยที่เสียๆต้องรับการแก้ไขให้เป็นนิสัยที่ดี อารมณ์เสียต้องเป็นอารมณ์ที่ดี คำพูดที่ไม่ดี ต้องเปลี่ยนเป็นคำพูดที่ดี พฤติกรรมที่แย่ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมที่ดี ทั้งหมดของชีวิต จะต้องดีให้ได้ แม้ว่า จะต้องใช้เวลา แม้ว่าจะมีเสียบ้าง ปะปนกันกับดี แต่ต้องตั้งใจให้มีดีมากกว่าเสีย และใส่ใจกับที่เสียๆก็ต้องจัดการ อย่ามองข้าม หรือคิดว่า ชั้นเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้ นี่ไม่ใช่วิสัยของผู้รับใช้ของพระคริสต์…ส่งข่าวดี
มีวันหนึ่งได้ดูรายการทีวี เยี่ยมบ้านของทูตไทยประจำประเทศพม่า เขาเรียกรายการนั้นว่า คือการเยี่ยมทำเนียบท่านทูต ได้เห็นการบริหารจัดการบ้าน ชีวิต ของสะสม ทุกอย่างล้วนแสดงความเป็นประเทศไทย ไม่ว่าท่านทูตกับภรรยาจะเดินทางย้ายไปประจำที่ประเทศไหน ก็จะละเพียงบ้าน ที่เรียกว่าทำเนียบ แต่ข้าวของที่แสดงความเป็นไทย ยังติดตามไปด้วยเสมอ
ทูตกับผู้สื่อสาร คือคนเดียวกัน อย่างที่สุภาษิตได้กล่าวถึง จะต้องมีความสัตย์ซื่อในการทำหน้าที่ของทูตหรือผู้สื่อสารที่ดี นำแต่สิ่งที่ดีติดตัวไป สิ่งที่แสดงถึงข่าวดี เช่นเดียวกัน ผู้รับใช้ของพระคริสต์ เรากำลังนำข่าวดี ที่เป็นการเยียวยาไปสู่คนมากมาย ขอให้เราอย่าหลงทาง เป้าหมายคือนำการรักษาให้คนหายดี คำพูดคำจา การสื่อสาร เพื่อเป้าหมายหายดี ถ้าไม่ใช่ ต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองใหม่ ถ้าตัวเองยังไม่หายดี จะทำให้คนอื่นหายดี (รับข่าวดีได้อย่างไร) จงแสวงหาการหายดีในพระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงอยู่ใกล้เราแล้ว
ฟิลิปปี 4:6-7 6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
2.ข่าวดีเป็นวิถีชีวิตของผู้ส่งข่าวดี ฮีบรู 12:14
14 จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย และอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
ข่าวดีมาจากพระเจ้า
สุภาษิต 25:13 13 หิมะให้ความเย็นในฤดูเกี่ยวอย่างไร ผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ย่อมทำให้จิตวิญญาณของนายผู้ใช้เขาชุ่มชื่นอย่างนั้น
พระเจ้าเป็นนาย ผู้ใช้เราทั้งหลายให้เป็นผู้สื่อสาร (เป็นทูต) ของพระองค์ วิถีชีวิต คือ การดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ส่งข่าวดี จะต้องใส่ใจว่า จะดำเนินชีวิตอย่างไรให้พระเจ้าทรงปรากฏ เหมือนได้เห็นพระเจ้า หนังสือโยบบทสุดท้ายมีประโยคเด่นอันหนึ่ง ที่โยบสรุปชีวิตของโยบตลอดเส้นทางที่ผ่านความเจ็บปวด การสูญเสีย บททดสอบชีวิตที่หนักหน่วง ที่มารมาขออนุญาตพระเจ้าเพื่อจะทดลองโยบ พระเจ้าอนุญาต แต่ห้ามมารเอาชีวิตของโยบ คือการบอกว่า แม้ความยากลำบากที่เกิดขึ้นจะมากมายเพียงใด ก็ไม่ทำให้โยบถึงตาย เพราะพระเจ้าไม่อนุญาต ตอนสุดท้าย โยบกล่าวไว้ว่า
โยบ 42:5 5 ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์
เป็นการบอกกับเราว่า หนทางที่ยากลำบาก ที่พระเจ้าอนุญาตให้เราเผชิญนั้น (อาจไม่เท่ากับโยบ) แต่ก็ในกระบวนการเดียวกัน คือการเปิดตาใจของเราให้มองเห็นพระเจ้า เพื่อจะรู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น โยบรู้สึกว่า คุ้มค่ามาก เมื่อเทียบการสูญเสียในตอนต้น กับที่ได้มาในภายหลัง และโยบก็มีความสุขในตอนท้าย (จบดี) finish well
หากพิจารณาเส้นทางที่โยบเผชิญ พระคัมภีร์บอกว่า โยบรักษาจิตใจของเขาให้ถูกต้องกับพระเจ้า และกับเพื่อนของเขา (ที่มาซ้ำเติมโยบ และตั้งข้อสมมติฐานแบบผิดๆมั่วๆ ว่าที่โยบต้องเป็นอย่างนี้ เพราะโยบไปทำบาป โยบผิดต่อพระเจ้า แต่สุดท้ายพระเจ้าทรงสั่งให้เพื่อนของโยบต้องมาให้โยบอธิษฐานเผื่อ เพื่อพระเจ้าจะยกโทษความมั่วของเพื่อนของโยบ
โยบเป็นตัวอย่างของคนที่ดำเนินชีวิตอยู่กับข่าวดี แม้เพื่อนๆจะตีความชีวิตของโยบเป็นข่าวร้าย สำหรับโยบก็ตาม โยบรักษาใจของตัวเองให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ใช่ในสายตาของคน ที่พยายามเอามาตรฐานความคิดเองเออเองของมนุษย์มาเสียบแทนที่พระเจ้า พระเจ้าพูดประโยค ว่า พระองค์ไม่ได้คิด หรือพูด หรือตัดสินโยบอย่างที่เพื่อนของโยบมาซ้ำเติมโยบ
โยบ 42:7-9 7 เมื่อพระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระเจ้าตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “ความพิโรธของเราพลุ่งขึ้นต่อเจ้า และต่อสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้ามิได้พูดถึงเราอย่างที่ถูก ดังโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด8 เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้เจ็ดตัว และแกะผู้เจ็ดตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องเผาบูชาสำหรับเจ้าทั้งหลาย และโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่กระทำกับเจ้าตามความโง่ของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายมิได้พูดถึงเราอย่างที่ถูก ดังโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”9 ฝ่ายเอลีฟัสชาวเทมานและบิลดัดตระกูลชูอาห์และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ ได้ไปกระทำตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง และพระเจ้าทรงรับคำอธิษฐานของโยบ
โยบกลายผู้นำข่าวดี มาสู่เพื่อนของเขา คำอธิษฐานของโยบนำให้พระเจ้าทรงยกโทษให้กับเพื่อนของโยบ (ที่ใช้ชีวิตอย่างมั่วๆ และส่งแต่ข่าวร้าย) ตรงนี้ จะเห็นว่า คนที่นำข่าวร้าย ทำให้พระเจ้าโกรธ และพระเจ้าไม่รับคำอธิษฐานหรือเครื่องบูชาของคนที่นำข่าวร้าย ต้องให้โยบอธิษฐานให้ พระเจ้าถึงจะรับ ข่าวดี เป็นวิถีชีวิตของผู้รับใช้พระคริสต์…ไม่ใช่แค่ช่วงเทศกาลคริสตมาส แล้วออกไปประกาศ ไปจัดรายการต่างๆ ไปทำกิจกรรมต่างๆ
3.ข่าวดีหยุดความเสียหาย ฮีบรู 12:15
15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป
สุดท้าย ข่าวดีคือคำตอบสุดท้ายที่จะหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นในชีวิตของคน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ถูกทำให้เสียหาย และส่งต่อความเสียหายไปเรื่อยๆ รากขมขื่น คือรากที่ดูดน้ำพิษหล่อเลี้ยงจิตใจของคนที่มีความเจ็บปวดจากประสบการณ์ที่ไม่ดีกับคนอื่น พระคุณของพระเจ้าคือ ข่าวดี ที่เราจะส่งต่อไปยังคนที่กำลังบาดเจ็บ ปวดร้าว และต้องการหยุดความเสียหาย การไม่เพิกเฉยต่อพระคุณ คือการส่งต่อพระคุณ ทำอย่างไร
พระคุณแปลว่า ได้รับอย่างไม่สมควรได้รับ โดยปกติ คนทั่วไปจะตอบสนองด้วยการปฏิเสธคนที่ไม่น่ารัก เมื่อถูกปฏิเสธ ก็จะปฏิเสธ ตอบการปฏิเสธ แต่พระเจ้าไม่ปฏิเสธเราเมื่อเราไม่น่ารัก เมื่อเราดำเนินชีวิตที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระองค์ (คือการปฏิเสธพระเจ้า) พระเจ้ายังคงมีพระคุณมากเพียงพอ แก่เรา ในขณะที่เราไม่สมควรได้รับ
บ่อยครั้งที่เรามักจะคิดอย่างนี้ว่า คนนั้น คนนี้ ไม่สมควรได้รับสิ่งที่ดีจากเรา เพราะเขาทำตัวไม่ดีต่อเรา นั่นคือ เรามีพระคุณให้กับคนอย่างจำกัด แต่ผู้รับใช้ของพระคริสต์….ส่งข่าวดี จะส่งต่อพระคุณของพระเจ้าไปยังคนทุกคน ไม่มียกเว้น ว่าคนนั้นจะน่ารักหรือไม่น่ารัก เพราะเราต้องทำหน้าที่ผู้สื่อสาร (ทูต)ที่สัตย์ซื่อ) จะเอาความรู้สึกส่วนตัวมาเป็นเหตุผลว่า ใครสมควรหรือไม่สมควรไม่ได้
สุภาษิต 25:13 13 หิมะให้ความเย็นในฤดูเกี่ยวอย่างไร ผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ย่อมทำให้จิตวิญญาณของนายผู้ใช้เขาชุ่มชื่นอย่างนั้น
เรามีหน้าที่ที่ต้องทำให้พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายชื่นใจ พอใจ กับการทำหน้าที่ของเรา เป้าหมายคือ หยุดความเสียหายในชีวิตของคน ที่มันส่งต่อปฏิกิรยาอย่างต่อเนื่อง แม้คนนั้นจะหลับหรือตื่น เราต้องหยุดความเสียหายให้เร็วที่สุด ข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้นที่จะสามารถหยุดความเสียหายนี้ได้ ด้วยกันจัดการกับรากขมขื่น
รากขมขื่น คือความรู้สึกขมๆ ไม่หวานกับใคร เป็นความโกรธ ความไม่พอใจ ความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากคนที่สร้างบาดแผลในใจให้กัน
ขอให้เราทั้งหลายใช้เวลาสำรวจตัวเอง ก่อนจะสิ้นปีนี้ ในโค้งสุดท้ายของปีนี้ เป็นผู้ส่งข่าวดี อย่างแท้จริง เริ่มต้นกับตัวเอง ขอให้ใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เจ้านำการรักษาให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ขอพระเจ้าอวยพระพรคะ
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ส่งข่าวดี”
1.ข่าวดีนำการรักษาให้หายดี
2.ข่าวดีเป็นวิถีชีวิตของผู้ส่งข่าวดี
3.ข่าวดีหยุดความเสียหาย