“ระวัง…ความรักเยือกเย็นลง”

มัทธิว 24:10-13  10 คราว​นั้น​คน​เป็น​อัน​มาก​จะ​ถดถอย​ไป (จะมีความขุ่นเคือง –พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับคิง เจมส์)  และ​อายัด​กัน​และ​กัน ทั้ง​จะ​เกลียด​ชัง​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​ด้วย​11 ผู้เผย​พระ​วจนะ​ปลอม​หลาย​คน​จะ​เกิด​มี​ขึ้น และ​ล่อลวง​คน​เป็น​อัน​มาก​ให้​หลง​ไป​12 ความ​รัก​ของ​คน​ส่วนมาก​จะ​เยือก​เย็น​ลง เพราะ​ความ​อธรรม​แผ่​กว้าง​ออกไป​ ….พระเยซูกำลังให้หมายสำคัญของยุคนี้เมื่อเหล่าสาวกถามว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญของการเสด็จมากลับมาของพระองค์…หนึ่งในหมายสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการเสด็จกลับมาของพระองค์ที่บอกไว้ล่วงหน้าคือ “คนจำนวนมากจะมีความขุ่นเคือง” ไม่ใช่เพียงไม่กี่คน ไม่ใช่บางคน แต่คนจำนวนมาก  สิ่งแรกเราต้องถามว่า “คนที่มีความขุ่นเคืองเหล่านี้เป็นใคร” พวกเขาเป็นคริสเตียนหรือคนทั่วไปในสังคม เราจะพบคำตอบเมื่อเราอ่านต่อไป “และเพราะการทำผิดกฏจะมีมากมาย ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลง”  (พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับ คิงเจมส์) คำว่า “รัก”ในภาษากรีกในข้อนี้คือ อากาเป้  ในพระคัมภีร์ พันธสัญญาใหม่มีภาษากรีกสำหรับคำว่า รัก อยู่หลายคำ  แต่สองคำที่ใช้เป็นปกติคือคำว่า อากาเป้ และฟิเลโอ้   คำนิยามของคำว่า ฟิเลโอ้  คือความรักในท่ามกลางหมู่เพื่อน มันเป็นความรักที่มีเงื่อนไข ฟิเลโอ้กล่าวว่า “เธอเกาหลังให้ฉันและฉันจะเกาหลังให้เธอ”  หรือ “เธอปฏิบัติดีต่อฉัน และฉันก็จะทำอย่างเดียวกันให้เธอ”  แต่ความรักอีกอย่างหนึ่งคือ อากาเป้  เป็นความรักที่พระเจ้าทรงหลั่งไหลแผ่ซ่านเข้าไปในหัวใจลูกของพระองค์ เป็นความรักอย่างเดียวกันกับที่พระเยซูทรงให้แก่เราโดยไม่คิดมูลค่า เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข มันไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนการกระทำหรือแม้แต่ไม่คำนึงถึงการตอบแทน มันเป็นความรักที่มีแต่ให้แม้จะถูกปฏิเสธก็ตาม   โดยปราศจากพระเจ้าเราสามารถรักได้ด้วยความรักที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น เป็นความรักที่ไม่สามารถให้ได้ ถ้าหากไม่มีการได้รับหรือตอบแทน อย่างไรก็ดีความรักอากาเป้ไม่คำนึงถึงการตอบสนอง อากาเป้เป็นความรักที่หลั่งไหลออกมาเมื่อพระเยซูทงให้อภัยจากกางเขน ดังนั้น คำว่า “คนเป็นอันมาก”  พระเยซูจึงกล่าวถึงคริสเตียนที่ความรักอากาเป้เยือกเย็นลง….มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมทำทุกอย่างเพื่อสามารถแสดงความรักของผมต่อบุคคลหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ผมหยิบยื่นความรักออกไป คนๆนี้ก็จะตอกหน้าผมกลับมาด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์และการปฏิบัติอย่างหยาบคาย และเกิดขึ้นอย่างนี้เป็นระยะเวลาหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็หมดแรง ผมบ่นกับพระเจ้า “ผมทำแล้วนะพระเจ้า ตอนนี้ พระองค์ต้องคุยกับผมในเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ผมแสดงความรักของพระองค์ต่อคนนี้ ผมก็ถูกตอกหน้ากลับมาด้วยความโกรธทุกครั้ง”  พระเจ้าเริ่มตรัสกับผม “จอห์น…เจ้าจำเป็นต้องพัฒนาความเชื่อในความรักของพระเจ้า” พระองค์หมายถึงอะไร” ผมถาม  ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าของเนื้อหนังนั้น” พระองค์ทรงอธิบาย “แต่ผู้ที่หว่านในย่านของพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่า เราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร” (กาลาเทีย 6:8-9) ….ผมตระหนักว่า ความรักที่ผมหว่านให้ไปนั้น เป็นการหว่านในย่านพระวิญญาณ ยิ่งกว่านั้น ผมก็จะเก็บเกี่ยวเมล็ดแห่งความรักเหล่านั้นด้วย….ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นความล้มเหลวอีกต่อไป  แต่ผมกลับมีอิสระที่จะรักคนนั้นได้มากยิ่งกว่านั้นอีก  ถ้าคริสเตียนตระหนักถึงเรื่องนี้ได้มากขึ้น พวกเขาจะไม่ยอมแพ้และกลายเป็นคนที่ขุ่นเคือง ปกติสิ่งนี้ไม่ใช่รูปแบบของความรักที่เราดำเนินอยู่ เราดำเนินอยู่ในรูปแบบของความรักที่เห็นแก่ตัวซึ่งทำให้เราผิดหวังอย่างง่ายดายเมื่อมันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง…เรากำลังวางตัวเราให้เกิดความขุ่นเคือง เมื่อเราเรียกร้องการตอบสนองจากคนเหล่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับเรา ยิ่งเราคาดหวังมากเท่าไร ความขุ่นเคืองก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น  (ตอนหนึ่งจากหนังสือ “เหยื่อล่อของซาตาน” เขียนโดย จอหน์ บีเวียร์ )ระวัง…ความรักเยือกเย็นลง

By admin