“เวลา”
ราแต่ละคน ต่างมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น วัยวุฒิ (อายุ) คุณวุฒิ (การศึกษา) และวุมิภาวะ (เด็กหรือผู้ใหญ่ทางด้านอารมรณ์) ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นเพเบื้องหลังครอบครัว การอบรมเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมการเติบโต ประสบการณ์มากน้อยต่างกัน วิธีคิดที่ต่างกัน ฐานะ โอกาสที่ต่างกัน รวมทั้งการที่พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนก็ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมี เหมือนกัน มีเท่ากัน นั่นคือ ….เวลา เรามีเวลา 24 ชม.เท่ากัน แต่ใครจะใช้เวลาอย่างไร ให้เรามารับชมวีดิทัศน์ดังนี้
https://www.youtube.com/watch?v=oWySXqcCcxQ
เวลาผ่านไปช้า เมื่อคุณกำลังรอคอย
เวลาผ่านไปเร็ว เมื่อคุณสายแล้ว
เวลาหยุดนิ่ง เมื่อคุณรู้สึกเศร้า
เวลาช่างแสนสั้น เมื่อคุณกำลังมีความสุข
เวลาไม่รู้จักจบสิ้นสักที เมื่อคุณกำลังเจ็บปวด
เวลาช่างยาวนาน เมื่อคุณรู้สึกเบื่อ
ทุกเวลาถูกกำหนดด้วยความรู้สึกและกลไกทางจิตของตัวคุณเอง
ไม่ใช่ด้วยเวลาของนาฬิกา
ดังนั้น ขอให้ทุกคนจงมีช่วงเวลาที่ดีเสมอ
พระเยซูคริสต์ทรงเล่าคำอุปมา เรื่อง เวลา ลูกา 19:11-25
11 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเหตุการณ์นั้น พระองค์ได้ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังต่อไป เพราะพระองค์เสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว และเพราะเขาทั้งหลายคิดว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะปรากฏโดยพลัน12 เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า “มีเจ้านายองค์หนึ่งไปเมืองไกล เพื่อจะรับอำนาจมาครองแผ่นดิน แล้วจะกลับมา13 ท่านจึงเรียกทาสของท่านสิบคนมามอบเงินไว้แก่เขาสิบมินา สั่งว่า ‘จงเอาไปค้าขายจนเราจะกลับมา’14 แต่ชาวเมืองชังท่านผู้นั้น จึงใช้คณะทูตตามไปทูลว่า ‘เราไม่ต้องการให้ผู้นี้ครอบครองเรา’15 เมื่อท่านได้รับอำนาจครองแผ่นดินกลับมาแล้ว ท่านจึงเรียกทาสทั้งหลายที่ท่านได้ให้เงินไว้นั้นมา เพื่อจะได้รู้ว่าเขาทุกคนค้าได้กำไรกี่มากน้อย16 ฝ่ายคนแรกมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ ได้กำไรสิบมินา’17 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’18 คนที่สองมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ได้กำไรห้ามินา’19 พระองค์จึงตรัสกับเขาเหมือนกันว่า ‘เจ้าจงครอบครองห้าเมืองเถิด’20 อีกคนหนึ่งมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า นี่เงินมินาหนึ่งของพระองค์ข้าพระบาทได้เอาผ้าห่อเก็บไว้21 เพราะข้าพระบาทกลัวฝ่าพระบาท ด้วยว่าฝ่าพระบาทเป็นคนเข้มงวด ฝ่าพระบาทเก็บผลซึ่งฝ่าพระบาทมิได้ลงแรง และเกี่ยวที่ฝ่าพระบาทมิได้หว่าน’22 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า ‘อ้ายข้าชั่วช้า เราจะปรับโทษเจ้าโดยคำของเจ้าเอง เจ้าก็รู้หรือว่าเราเป็นคนเข้มงวดเก็บผลซึ่งเรามิได้ลงแรง และเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน23 ก็เหตุไฉนเจ้ามิได้ฝากเงินของเราไว้ที่ธนาคารเล่า เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเรากับดอกเบี้ยด้วย’24 แล้วพระองค์ตรัสสั่งคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินมินาหนึ่งนั้นไปจากเขาให้แก่คนที่มีสิบมินา’25 คนเหล่านั้นทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เขามีสิบมินาแล้ว’26 ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้น จะต้องเอาไปจากเขา27 ฝ่ายพวกศัตรูของเราที่ไม่ต้องการให้เราครอบครองเขานั้น จงพาเขามาที่นี่ และฆ่าเสียต่อหน้าเรา’ ”
คำอุปมาของงพระเยซูตอนนี้ ทรงเล่าให้คนที่อยู่ในบรรยากาศที่คน ณ ที่นั่น กำลังคาดหวังเวลา ณ เวลานั้น อย่างให้เกิดขึ้นทันที
….และเพราะเขาทั้งหลายคิดว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะปรากฏโดยพลัน
พระเยซูจึงเล่าคำอุปมาเรื่องเงินสิบมินา คือเรื่องของเวลาที่ทุกคนมีเท่ากัน เวลาที่จะได้พบกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าเมือง ในคำอุปมาหมายถึงพระเยซู ส่วนทาสสิบคน หมายถึง ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ (คริสเตียนทุกคน) เงินสิบมินาที่มอบให้ทาสสิบคน หมายถึง เวลาที่ทุกคนจะใช้ในการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์อีกครั้ง ก่อนจะสิ้นสุดยุคสุดท้าย มีคำกล่าวว่า ในยุคของเราเป็นช่วงเวลาที่อยู่ตรงขอบของยุคสุดท้าย นั่นคือใกล้เวลาที่พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมา และใกล้เวลาจุดจบของโลกนี้ สังเกตว่า มีสัญญาณเตือนบางอย่างว่าโลกใกล้ถึงจุดจบ เช่น ความเปลี่ยนแปลงของอากาศ น้ำ แผ่นดิน ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่พืชปกคลุมดิน จนถึงสัตว์ และจิตใจของคน
ที่อัฟริกาเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ (นักวิชาการเรื่องธนณีวิทยาวิเคราะห์ว่า นี่คือปรากฏการณ์แบ่งทวีป อีกห้าสิบปีจะแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์
ภูเขาไฟระเบิด และที่จะระเบิดอีกหลายลูก
ที่ใกล้ตัวเรา เราเข้าหน้าฝนแล้ว แต่บ้านข้าพเจ้า บางทีฝนก็ตกแค่สิบเม็ด ที่อื่นตกหนักจนน้ำท่วม อากาศที่แปรปรวนมากๆ ฝนมาเร็ว ฝนตกหนัก น้ำท่วม แต่มีฝนน้อย จนกรมชลประทานออกหนังสือเตือนชาวเกษตรกรไทยแล้วว่า ใช้น้ำเพาะปลูกอย่างประหยัด เพราะว่าจะเกิดภาวะขาดน้ำ
ข่าวสงคราม อ่าวเปอร์เชียครั้งที่สามกำลังจะกิดขึ้นแล้ว และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เพราะสงครามครั้งนี้ ใหญ่กว่าสองครั้ง
ผลพวงจากสงครามอ่านเปอร์เชียครั้งที่สอง คือพวกไอเอส หรือ ไอซีส ผลพวงของสงครามอ่าวเปอร์เชียครั้งที่สามจะรุนแรงขนาดไหน
ไมมียุคใดที่จะมีคำสอนเท็จเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า มากเท่ากับยุคของเรา ที่อเมริกาได้มีคนที่เป็นเจ้าลัทธิอ้างตัวเองว่า เป็นพระคริสต์ผุ้เสด็จมาโปรดประชาชนแล้ว คำสอนของเจ้าลัทธินี้ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์อย่างสิ้นเชิง คนที่ไม่รู้พระคัมภีร์ต่างก็ติดตามเจ้าลัทธินี้ เพราะฉะนั้น จงระวังให้ดี จงอ่าน จงศึกษาพระคัมภีร์ตลอดเวลา เพื่อจะไม่ถูกล่อลวงให้หลงไป
เรื่องของเวลาในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูได้ตรัสถึงเงินสิบมินา เป็นของเจ้าเมืองก่อนจะจากไป เจ้าเมืองได้เรียกทาสมารับมอบเงินมินาไปคนละหนึ่งมินา หากเงินมินาหมายถึงเวลา นั่นหมายความว่า คริสเตียนทุคน คือผู้รับใช้ของพระคริสต์ที่เวลาที่มีทั้งหมด เป็นเวลาที่เป็นของพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 5:13 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
พระคัมภีร์กาลาเทียตอนนี้ ได้บอกเราว่า เสรีภาพที่เราได้รับจากพระเยซูคริสต์เจ้า คือ เวลา ที่ไม่เหมือนกับเวลาในชีวิตเก่า ชีวิตเดิมของเราอีกต่อไป แต่เป็นเวลาใหม่ อย่าเอาเวลาใหม่ (เสรีภาพ) ที่เราได้รับจากพระเยซูไปใช้ตามอย่างคนในยุคนี้ ที่ไม่รู้จักเวลา คือ
….ปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง…. แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
การใช้เวลากับการปล่อยตัวตามเนื้อหนัง (กิเลศตัณหา ความอยาก) คือการทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่การรับใช้ คือการทำให้เวลาได้เพิ่มคุณค่าให้กับคน ทำให้คนรู้สึกว่า เวลาที่เขามีอยู่มันมีคุณค่าของชีวิต อะไรที่ทำให้มีคุณค่าของชีวิต มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนเราคิดว่า การเอาอะไรๆเข้ามาในชีวิตทำให้ตนเองมีคุณค่า แต่ความจริง คุณค่าของชีวิตคือการเอาบางอย่างออกไปจากชีวิต
มัทธิว 15:16-19 16 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ17 ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆ ซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ
สิ่งที่ออกมาจากใจ คือกิเลศตัณหา ที่ทำให้คนเป็นมลทิน การใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดการขาดทุน ติดลบ ไม่ได้ทำให้เวลานั้นมีกำไรขึ้นมา
อย่างวีดีทัศน์ที่เราได้รับชมไปในตอนต้นได้กล่าวถึงว่า
ความรู้สึกนาน (เพราะเบื่อ)เป็นการมองเวลาอย่างไม่มีค่า เวลาน่าเบื่อ
คนที่เศร้าก็รู้สึกอยากให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ คือความรู้สึกอยากทำลายเวลาของความเศร้า
คนที่รู้สึกว่าเจ็บปวดเมื่อไร เวลาจะจบสิ้นสักที เป็นการตำหนิเวลา ให้แย่ตามความรู้สึกแย่ๆของตนเอง
คนที่รู้สึกไม่รู้ว่าจะทำอะไรในเวลาที่มีอยู่ ก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
ส่วนคนที่รู้สึกอยู่กับความสุขของตัวเอง ก็รู้สึกว่าความสุขมันสั้น
จะมีใครรู้สึกว่าเวลาทุกวินาทีมีคุณค่า จะต้องเตรียมตัวเอง ทำอะไรเพื่อพระเจ้า เพื่อคนอื่น
ข้าพเจ้าเมื่อมองย้อนกลับไปกับเวลาที่ผ่านมาสี่ห้าปี ถ้าข้าพเจ้าไม่ไม่ทำอะไรกับสุขภาพของตนเอง ป่านนี้ คงเป็นโรค NCD’s โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ และอีกหลายโรคแน่ๆ แต่วันนี้ น้ำตาลปกติ ความดันปกติ หัวใจแข็งแรงกว่าเดิม ไม่เหนื่อยง่าย เพราะสี่ห้าปีที่ผ่านมา ปฏิวัติตัวเองเรื่องการกิน การนอน การออกกำลังกาย และการใช้เวลาใหม่ และความใฝ่ฝันในการใช้เวลาเมื่ออายุมากขึ้น คือการมีวิถีแบบสโลว์ไลฟ์ แต่เป็นสโลว์ไลฟ์ที่ยังทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆอยู่
ผู้คนในยุคของเราวันนี้ กำลังดำเนินชีวิตราวกับ เวลามีค่าเสียเหลือเกิน ทุกอย่างเร่งรีบ ไม่สามารถจะให้เวลาของตนเองกับใคร แม้แต่คนในครอบครัวก็ไม่มีเวลาให้ เวลาเป็นเงินเป็นทอง หากต้องให้เวลากับอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกใจ ไม่ต้องการ ก็จะรู้สึกเสียเวลา
สิ่งที่มากำหนดคุณค่าของเวลา กลายเป็นเรื่องของเงินทอง ความชื่นชอบ ของสะสม การบริโภคนิยมต่างๆ ส่วนคนที่พยายามจะหันกลับมาให้คุณค่ากับเวลาก็จะเรียกตัวเองว่า คนในวีถีสโลว์ไลฟ์ Slow life style กำลังเป็นที่นิยมของคนในยุคของเรา ซึ่งต้องการจะดำเนินชีวิตต่อสู้กับกระแสของความเร่งรีบ สโลว์ไลฟ์ เป็นวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การทำให้เวลา หรือเงินมินาให้เกิดผลกำไรอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงต้องการ
’15 เมื่อท่านได้รับอำนาจครองแผ่นดินกลับมาแล้ว ท่านจึงเรียกทาสทั้งหลายที่ท่านได้ให้เงินไว้นั้นมา เพื่อจะได้รู้ว่าเขาทุกคนค้าได้กำไรกี่มากน้อย
เงินมินาที่ให้ไป จะต้องสร้างกำไร เช่นเดียวกับเวลา (เสรีภาพ) ที่พระเยซูทรงประทานให้กับสาวกของพระองค์เพื่อให้ทุกคนนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
16 ฝ่ายคนแรกมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ ได้กำไรสิบมินา’17 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’18 คนที่สองมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ได้กำไรห้ามินา’19 พระองค์จึงตรัสกับเขาเหมือนกันว่า ‘เจ้าจงครอบครองห้าเมืองเถิด’
คนที่ทำให้เงินหนึ่งมินา เพิ่มพูนเป็นสิบมินา ได้รับรางวัลด้วยการได้รับมอบอำนาจในการครองเมืองสิบเมือง
คนที่ทำให้เงินหนึ่งมินา เพิ่นพูนเป็นห้ามินา ได้รับรางวัลด้วยการได้รับมอบอำนาจในการครองเมืองห้าเมือง
หากจะเทียบมูลค่าของเงิน หนึ่งมินา (เล็กน้อย) แต่ได้ครอบครองสิ่งที่ยิ่งใหญ่
’17 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’
เรื่องของเวลา เป็นเรื่องของความสัตย์ซื่อส่วนตัว คนที่สัตย์ซื่อ จะทำหน้าที่ของตนเองทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะใช้เวลาอย่างคนที่รู้จักเวลา
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า สิ่งที่คริสเตียนจะต้องรู้คือ ต้องรู้จักเวลา ว่าเวลาที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่เวลานี้ คือเวลาที่ควรทำอะไร
1พงศาวดาร 12:32 32 จากเผ่าอิสสาคาร์ มีผู้รู้กาละ ทราบว่าอิสราเอลควรทำประการใด มีหัวหน้าสองร้อยคน และญาติของเขาทั้งสิ้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
รากศัพทภาษาฮีบรู คำว่า รู้กาละ แปลว่า มองเห็นเวลา ดูแลใส่ใจ(รักษา)เวลา และสังเกตเวลา โดยเวลา คำว่า เดี๋ยวนี้ Now และคำว่า เมื่อไหร่ When ซึ่งมาจากรากศัทพ์ของคำว่า ความรู้สึกสัมผัส Sense
เผ่าอิสสาคาร์ในตอนนี้ได้รับคำชมว่า เป็นผู้รู้จักเวลา ในการเตรียมคนในครอบครัว ในเผ่าของตนเอง เวลานั้น เป็นเวลาที่อิสราเอลจะต้องทำศึกสงคราม ต้องการผู้นำ ต้องการผู้ที่ฝึกที่จะเชื่อฟัง เพื่อเขาจะออกรบ เพื่อจะมีกษัตริย์ชื่อว่าดาวิด และรู้ว่า ดาวิด ผู้นำ จะต้องทำหน้าที่ของผู้นำที่คนที่อยู่ภายใต้ดาวิด จะต้องมีสปิริตของการเชื่อฟังผู้นำ ….และญาติของเขาทั้งสิ้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
พวกอิสสาคาร์ สอนคนในครอบครัวของตนเองให้รู้จักการเชื่อฟังผู้นำ ดังนั้น พวกอิสสาคาร์เป็นพวกที่น่าจะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากที่สุด
มีสำนวนจีนแต้จิ๋ว ในการใช้ตะเกียบอย่างถูกกาละเทศะตอนหนึ่งกล่าวว่า ขณะที่แม่ทัพกำลังใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อที่ติดกันมาเป็นก้อน คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับแม่ทัพ ควรจะใช้ตะเกียบช่วยดึงชิ้นเนื้อให้หลุด แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครเอาตะเกียบมาช่วยคีบชิ้นเนื้อในชามให้ ภรรยาของแม่ทัพคนนี้ก็พูดออกมาว่า ไม่มีน้ำใจให้กันอย่างนี้ ไม่พร้อมออกศึกสงคราม ปรากฏว่า ในการรบครั้งนั้น กองทัพของแม่ทัพคนนี้ พ่ายแพ้สงครามจริงๆ
เรากำลังออกรบเพื่อชนะหรือพ่ายแพ้สงคราม(ฝ่ายวิญญาณ)
มีเลียงผาสองตัวเดินมาเจอกันบนทางแคบที่หน้าผา ต่างถอยไม่ได้ แต่เลียงผาทั้งสองตัวก็สามารถเดินทางต่อไปได้ เพราะอะไร เพราะมีตัวหนึ่งที่ยอมก้มหัวของมันให้อีกตัวหนึ่งเดินข้ามมันไป เลียงผาตัวที่ก้มลงมองได้ทำให้เวลาของมันและเวลาของอีกตัวไม่ได้ถูกทำลายไปกับการประจันหน้ากันบนหน้าผาสูงชันนั้น
เรากำลังเป็นเลียงผาที่ก้มหัว หรือเรากำลังประจันหน้าทำลายเวลาที่มีค่าที่จะเดินต่อไป
20 อีกคนหนึ่งมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า นี่เงินมินาหนึ่งของพระองค์ข้าพระบาทได้เอาผ้าห่อเก็บไว้21 เพราะข้าพระบาทกลัวฝ่าพระบาท ด้วยว่าฝ่าพระบาทเป็นคนเข้มงวด ฝ่าพระบาทเก็บผลซึ่งฝ่าพระบาทมิได้ลงแรง และเกี่ยวที่ฝ่าพระบาทมิได้หว่าน’ 22 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า ‘อ้ายข้าชั่วช้า เราจะปรับโทษเจ้าโดยคำของเจ้าเอง เจ้าก็รู้หรือว่าเราเป็นคนเข้มงวดเก็บผลซึ่งเรามิได้ลงแรง และเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน
คนที่เอาเงินมินาไปฝังดิน คือคนที่ทำให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ก้าวหน้าอะไรเลย พระเยซูจะโกรธคนๆนั้น เหมือนกับเจ้าเมืองที่โกรธทาสที่เอาเงินมินาไปฝังดิน
23 ก็เหตุไฉนเจ้ามิได้ฝากเงินของเราไว้ที่ธนาคารเล่า เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเรากับดอกเบี้ยด้วย
คำแนะนำของเจ้าเมืองเรื่องเอาเงินมินาไปฝากธนาคาร ธนาคารจะนำเงินนั้นไปให้คนที่จำเป็นใช้เงิน เพื่อจะคืนกลับมาเป็นดอกเบี้ย นั่นหมายความว่า มีคนที่ได้รับโอกาส ได้รับประโยชน์จากเงินมินา และธนาคารจะบริหารการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ ธนาคารเวลาของเราคือใคร
ถ้าข้าพเจ้าตีความ ธนาคารเวลาของเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเรา เราฟังพระองค์แนะนำเราในการบริหารเวลาของเราอย่างไร เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้เราใช้เวลาของเราตรงกันข้ามกับความต้องการของเนื้อหนังแน่นอน พระองค์จะแนะนำเราให้เชื่อฟังพระเจ้า มากกว่ากิเลศตัณหาของตัวเราเอง
อาทิตย์สุดท้ายของเดือนนี้ ในช่วงบ่าย ข้าพเจ้าจะสอนผู้ที่ร่วมรับใช้ ในคริสตจักรนี้ เรื่องการฟังพระสุรเสียงของพรเจ้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่คือสิ่งที่มาจากพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราใช้ความสามารถ ทรัพยากรที่เรามีอยู่ทุกอย่างทำอะไร เพื่ออะไร ในเวลาที่เรียกว่า ยุคสุดท้ายนี้ ยุคที่คริสเตียนต้องรู้จักกาละเทศะมากที่สุด
เงินมินา คือเวลา(เสรีภาพใหม่) ที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้กับเรา ขอให้เราทั้งหลาย รู้จักเวลา ในยุคสุดท้าย และเป็นผู้รู้เวลาว่าควรทำอะไร เตรียมตัวอย่างไร เพื่อจะเข้าสู่สงครามสุดท้ายนี้ด้วยกันกับพระเยซูคริสต์เจ้า
เอเฟซัส 5:14-18 14 เพราะว่าทุกๆ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นความสว่าง ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า คนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงเป็นขึ้นจากตาย แล้วพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน 15 เพราะฉะนั้น จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา16 จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย17 เพราะเหตุนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าอะไรคือพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ
ฉบับแปล 1071 แปลว่า …เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
หมายถึง มีแต่คนเอาเวลาไปทำสิ่งชั่วร้าย ทำร้ายกันและกัน ทำให้คนบาดเจ็บ คนของพระเจ้าต้องไม่หลับ ต้องตื่น ต้องไม่เมา ต้องมีสติ ต้องใช้ปัญญาในการ มองเห็นเวลา ดูแลใส่ใจเวลา และสังเกตเวลา
โรม 12:2 2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
เพราะคนในยุคนี้ เขาใช้เวลา(เสรีภาพ)ของตัวของเขาเอง แต่คริสเตียนคือคนที่ใช้เวลา (เสรีภาพ)ของพระเยซูคริสต์ ซึงเป็นเสรีภาพที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า และมีเสรีภาพที่จะปฏิเสธอิทธิพลของโลกนี้ได้ หนังสือโรมตอนนี้กำลังบอกว่า คุณทำได้ ด้วยคำว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้” ในขณะที่คนในยุคนี้ เขาไม่สามารถ ไม่มีเสรีภาพที่แท้จริงอย่างเรา
พระเยซูตรัสว่า เราจะอยู่กับเจ้าเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค นั่นหมายความว่า พระองค์จะอยู่ด้วยกับเรา เป็นพระผู้ช่วย ให้กับเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเยซูให้กับเรา คือผู้ช่วยเราในวันนี้ เดี๋ยวนี้
สรุปคำเทศนาวันนี้ ได้สี่ข้อ คือ
1.ฟังเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ใช้เวลาให้เกิดผลกำไรอย่างไร
2.เสรีภาพในชีวิตใหม่ เป็นเวลาของพระเยซู ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป
3.หยุดทำลายเวลา หยุดการใช้เสรีภาพเพื่อบำรุงบำเรอเนื้อหนังของตนเอง
4.จงใช้เวลากับคน