“หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก”
Lost and found แปลว่า ของหาย และได้ของคืนกลับมา บางครั้ง ของที่หายไป ก็ไม่ได้กลับคืนมา การมีแผนก Lost and found ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า ของที่หายไป จะได้คืนกลับ ขึ้นอยู่กับว่า คนที่พบของนั้นจะส่งคืนให้ไม๊ แต่คนที่ของหาย แน่นอนว่า ย่อมเสียดาย เสียใจ แน่นอน ยิ่งของชิ้นนั้นมีค่าทางราคา หรือมีคุณค่าทางจิตใจ ด้วยแล้ว ยิ่งเกิดความเสียใจยิ่ง
อาทิตย์ก่อน ข้าพเจ้าทำนกแก้วที่เลี้ยงไว้ หลุดออกจากกรง บริเวณนอกบ้าน แวบแรกคือ ความรู้สึกสูญเสียอย่างไม่มีวันกลับ ใจหาย และก็พยายามหนึ่งครั้งที่จะจับ แต่เขาไม่ยอมให้จับ เขาบินขึ้นมาเกาะที่หลังคารถของที่บ้านที่จอดตรงโรงรถหน้าประตูเข้าบ้าน ข้าพเจ้าคิดแล้ว ไม่มีทางที่จะจับเขาได้ เพราะเขาเป็นนกที่หลุดมาจากที่อื่น และคนอื่นจับมาให้อีกที ตลอดเวลาที่เลี้ยงดูนกตัวนี้ เขาไม่ยอมให้จับง่าย ต้องทั้งล่อ ทั้งหลอก จนหมดมุก เขารู้แนวเราหมด แต่สิ่งที่ค้นพบกับนกตัวนี้ ก็คือ เขารู้จักเข้ากรงเอง นึกขึ้นได้ ก็เลยเปิดประตูบ้านค้างไว้ แล้วก็เดินเข้าบ้าน ปล่อยให้เจ้าขมิ้น (ชื่อของนกที่เลี้ยงไว้) บินเข้ามาเอง และก็ได้ผล เขาบินเข้าประตูบ้านมาเอง
หลังจากนั้น ก็มานั่งช็อกกับน้าสาว ว่า ถ้าไม่ได้เขาคืนกลับมาเราจะรู้สึกอย่างไร คงเสียใจมาก เพราะเรารักเขามาก และนี่คือที่มาของคำเทศนาในวันนี้ ในคำอุปมาที่พระเยซูทรงตรัสถึงของที่หายไปสามสิ่ง ได้แก่ แกะตัวหนึ่งหายไป ในขณะที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวในคอก ผู้เลี้ยงยอมทิ้งแกะเก้าสิบเก้าตัว เพื่อไปตามแกะตัวหนึ่ง และเมื่อพบแกะที่หายไป ก็แบกแกะนั้นกลับมาด้วยความยินดียิ่ง และชวนเพื่อนๆมากินเลี้ยงฉลองยินดีด้วย คำอุปมานี้ เล็งถึง ความเป็นห่วง….
อีกเรื่องต่อจากเรื่องแกะ พระเยซูยกคำอุปมาอีก เป็นเรื่องของเหรียญสิบเหรียญ และหายไปหนึ่งเหรียญ เจ้าของเหรียญค้นหาทั่วบ้าน จุดตะเกียงทุกดวงที่มี และเมื่อพบเหรียญนั้น ก็ยินดีอย่างยิ่ง สื่อความหมายถึงการหายไปของเหรียญนั้นมีค่ามากต่อเหรียญที่เหลือ เพราะทำให้ไม่ครบสิบเหรียญ แม้จะมีเหรียญที่เหลือเก้าเหรียญก็ไม่มีความสุข คำอุปมานี้ เล็งถึง ขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้……
และเรื่องสุดท้าย พระเยซูทรงเล่าคำอุปมาของบุตรน้อยหายไป เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีลูกชายสองคน คนเล็กขอให้พ่อแบ่งสมบัติส่วนของตนเอง และลูกชายคนเล็กก็รวบรวมทรัพย์ที่เป็นของตน ออกเดินทางไกล จากบ้านไป เพื่อไปใช้ทรัพย์ตามใจปรารถนาของตนเอง เป็นความรู้สึกอยากมีเสรีภาพทำตามใจตนเอง ไปใช้ชีวิตอิสระคนเดียว สุดท้าย ทรัพย์หมด ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือ รอบตัวมีแต่คนที่เห็นแก่ตัว ไม่มีใครนับญาตินับเพื่อนด้วย แม้แต่อาหารก็ไม่แบ่งปันให้กิน ลูกชายคนเล็กเริ่มคิดถึงพ่อ และความเป็นอยู่ของครอบครัว แม้แต่คนใช้ ก็ยังอยู่ดีกินดี จึงตัดสินใจกลับไปหาพ่อ ด้วยใจสำนึกผิดที่แยกตัวออกไปจากครอบครัว ไม่สนใจความสัมพันธ์ที่ตนเองมีกับพ่อ และทำให้พ่อเสียใจ บุตรน้อยกลับมาหาพ่อของตนเอง ได้พบกับพ่อ ได้รับการต้อนรับสวมกอดจากพ่อ และพ่อได้พูดประโยคเดียวกันถึงสองครั้ง เกี่ยวกับการกลับมาของลูกชายคนเล็ก
ครั้งแรกพูดกับคนรับใช้ เพื่อให้ร่วมยินดีกับการกลับมาของลูกชายคนเล็ก
ลูกา 15:24 24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ เขาทั้งหลายต่างก็มีความรื่นเริงยินดี
ครั้งที่สอง พูดกับลูกชายคนโตที่กำลังโกรธว่าทำไมพ่อยังรับลูกคนเล็กที่นิสัยไม่ดี ทำให้พ่อเสียใจ และผลาญทรัพย์ด้วยการไปคบคนชั่วอีก หมดตัวแล้วจึงกลับมา แต่พ่อได้ตอบด้วยประโยคเดียวกันนี้ เพื่อให้พี่ชายคนโตหยุดความโกรธของตนเอง
ลูกา 15:32 แต่สมควรที่เราจะได้รื่นเริงและยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ ”
คำว่า หายไปแล้ว Lost รากศัพท์กรีก แปลว่า ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง (ตายไปแล้ว) แต่กลับเป็นขึ้นอีก จากกันแล้วแต่ได้พบกันอีก นั่นคือความรู้สึกที่พ่อมีในตอนแรก ไม่คิดว่า จะได้ลูกชายคืนกลับมา จะไปตามก็คงไม่กลับ(เหมือนนกแก้วของข้าพเจ้า ไม่ยอมให้จับ) ต้องรอให้กลับมาเอง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า แกะหลง ต้องไปตาม บุตรน้อยหลงหาย ต้องรอให้กลับมาเอง นั่นคือ ต้องให้สำนึก และคิดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถหาได้ที่ไหน นอกจากบ้าน
น่าสนใจว่า ในตอนนี้ มีเบื้องหลัง ของการเล่าคำอุปมาสามเรื่องนี้มีที่มา…..
ลูกา 15:1-2 1 ครั้งนั้นบรรดาคนเก็บภาษี และพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์2 ฝ่ายพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา”
สังเกตว่า บรรดาคนเก็บภาษีและพวกคนบาป เข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระเยซูสอน แต่พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์บ่น ต่อว่าพระเยซูที่ไปใช้เวลากับกลุ่มคนที่สังคมยิวในเวลานั้นรังเกียจแม้แต่จะให้เข้ามาใกล้ จึงเป็นที่มาของคำอุปมาการหายไปสามเรื่อง
สังเกตว่า สองเรื่องแรก พระเยซูเล่าถึงการต้องไปตามหา ค้นหาให้เจอ เพราะแกะและเหรียญกลับมาเองไม่ได้ แต่ว่า…เรื่องที่สาม ไม่ต้องไปตาม รออย่างเดียว เพราะถึงจะไปตาม หากบุตรน้อยไม่ต้องการกลับ ก็ไม่มีวันที่จะได้บุตรน้อยกลับคืนมา อะไรที่จะทำให้บุตรน้อยกลับคืนมา….
ลูกา 15:17 17 เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร 18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
คำว่า สำนึกตัว มีความหมายถึง การสำนึกผิด และการกลับใจใหม่ และมองเห็นคุณค่าของการอยู่กับพ่อของตนเอง และบรรยากาศการอยู่กันเป็นครอบครัว และการต้อนรับเลี้ยงดูกันและกัน บุตรน้อยตั้งใจกลับไปหาพ่อของตน เพื่อจะสารภาพบาป และขอการยกโทษให้อภัยจากพ่อ และนอกจากสำนึกตัวแล้ว ยังตั้งใจแสดงความถ่อมใจ ที่จะยอมเป็นคนรับใช้ ของพ่อ
ลูกา 15:19 19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” ’ 20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา
“หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” จะเกิดขึ้น ด้วยกระบวนสามอย่าง…
1.สำนึกตัว
ลูกา 15:17-18 17 เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร 18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
รากศัพท์กรีก คำว่า สำนึกตัว คือการมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตนเอง สำหรับบุตรน้อย ในเวลาที่สำนึกตัว เขากำลังตกในสภาพที่ไม่มีอาหารกิน และไม่มีใครให้อะไรเขากิน
13 ต่อมาไม่กี่วันบุตรคนเล็กนั้นก็รวบรวมทรัพย์ทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง14 เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงขัดสน15 เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา16 เขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน
คำว่า กันดารอาหาร ในยุคโบราณนั้น คือไม่มีอะไรจะกินจริงๆ (เศรษฐกิจแย่มากๆ)
เราคงได้ข่าวเรื่องสุนัขพันธุ์เกรดเดน สิบสามตัวที่ในหลวงทรงรับเลี้ยง เพราะเจ้าของไม่สามารถมีอาหารเลี้ยงมันได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจ ที่ย่ำแย่เวลานี้ ทำให้สุนัขตายเพราะอดอาหารไปสามตัว และอีกสิบสามตัวขาดอาหารจนผอมโซ เราลองจินตนาการหมูที่บุตรน้อยรับเลี้ยงจะผอมโซขนาดไหน (ในช่วงเวลาที่เกิดการกันดารอาหารในเมืองนั้น)
สภาพของบุตรน้อยที่มองเห็นหมู กับตัวเองแล้ว อีกไม่นานก็คงจะตกในสภาพเดียวกัน มองเห็นตัวเองแล้ว น่าจะไปไม่รอด
ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร….
เมื่อเทียบกับสภาพของตนเอง ณ เวลานี้ กับ สภาพครอบครัวที่ตนเองจากมา เกิดเป็นความรู้สึกสำนึกตัว ว่า ตนเองไม่ดีเอง อยู่ดีๆไม่ชอบ หาเรื่องลำบากเข้าหาตัว จะเย่อหยิ่งทะนงตัวต่อไปก็ตายแน่ กลับไปหาพ่อดีกว่า
18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
น่าสนใจคำว่า จำเราจะลุกขึ้น…. ไปหาบิดาเรา กลับไปหาพ่อ ยังไง ก็ยังเป็นพ่อลูกกัน
พระเยซูใช้คำอุปมาเพื่อจะเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ผู้เป็นคนบาป ยังไง มนุษย์ก็เป็นคนที่พระเจ้าให้กำเนิด และพระเจ้าทรงมองดูมนุษย์ด้วยความรู้สึกของพ่อ ที่มองดูลูก รอคอยว่า เมื่อไหร่ลูกจะกลับมาหาพ่อ
โดยเฉพาะคริสเตียน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มีสถานะใหม่ จากทาส ได้รับสภาพใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า อย่าเป็นเหมือนบุตรน้อยหายไป เป็นลูกพระเจ้าที่จากพระบิดา ไปทำตามใจตนเอง ใช้พระพรมากมายที่พระเจ้าประทานให้ ห่างไกลจากอ้อมอกพระเจ้า เพราะเมื่อ ภัยพิบัติมา จะไม่มีใครเลี้ยงดูเรา แบ่งปัน แม้แต่อาหารให้ เหมือนพระเจ้าหรือครอบครัวของพระเจ้า
คริสตจักรยุคแรก เผชิญกับภาวะการกันดารอาหาร และอยู่รอดได้ ด้วยความเป็นคริสตจักร คือการอยู่ร่วมกันท่ามกลางผู้เชื่อ
กิจการ 4:32-34 32 คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง33 อัครทูตจึงประกอบด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่ง เป็นพยานว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน34 เพราะว่าในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน ผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย
ด้วยภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ทั่วโลก คนมีที่ดินก็ต้องขายเสีย เพราะพิษเศรษฐกิจ และต้องใช้เงินจากการขายที่ดินเพื่อความอยู่รอด แต่การอยู่ร่วมกันของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้สำแดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้วยการแบ่งปันกันและกัน คนมีก็ให้คนไม่มี ทำให้คริสตจักรอยู่รอดและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
กิจการ 2:46-47 46 เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป47 ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ
พระเจ้าทรงนำคนหลงหายให้กลับมาอย่างต่อเนื่อง คนทั้งหลายเข้ามาร่วมกับพวกสาวกทุกๆวัน เป็นเพราะที่นี่ แม้ไม่ร่ำรวย แต่ทุกคนไม่ขัดสน และมีคนที่ใจกว้างขวางอยู่ที่นี่ ใช้เลย คริสตจักรก็เป็นเช่นนั้น ผู้คนจะเข้ามา เพราะที่นี่มีอาหาร ไม่ใช่แค่ฝ่ายร่างกาย แต่เป็นอาหารทางจิตใจ และอาหารจิตวิญญาณที่จะแบ่งปันให้แก่กันและกัน
มีคำพดหนึ่งกล่าวว่า เราไม่สามารถให้ในสิ่งที่เราไม่มี โดยเฉพาะอาหารทางจิตใจ และทางฝ่ายจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่เรามี เพราะใจสมานเพชรเกษม 11 มีความชัดเจนของการเป็นครอบครัวเดียวกัน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเราตลอดเวลา เป็นที่พระเจ้าทรงรอคอยบุตรน้อยที่หายไป ได้สำนึกตัว มองเห็นที่นี่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้
2.กลับใจใหม่
ลูกา 15:18 18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
กุญแจสำคัญที่จะทำให้ “การหายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” ก็คือ การกลับใจใหม่ ที่แท้จริง เราจะเห็นว่า บุตรน้อยที่หายไป นอกจากจะสำนึกมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตนเองที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และมองเห็นสภาพที่ดีกว่า ที่ตนเองจะรอดตาย ก็คือ บ้าน ต้องกลับบ้านของพ่อ
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงว่า โลกนี้ เป็นบ้านชั่วคราว แต่บ้านที่ถาวรของเราคือสวรรค์ พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้กลับบ้าน คือกลับมาหาพระองค์ สังเกตว่า ไม่ว่าเราจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน เราจะพบว่า การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ไม่ง่ายเลย นับวันจะยิ่งอยู่ยากมากยิ่งขึ้น เหตุผลที่สำคัญก็คือ โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา วันหนึ่งเราทุกคนจะต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้นความตาย ร่างกายของเราก็เสื่อมลงไปเรื่อยๆ ร่างกายก็เป็นบ้านของวิญญาณจิตของเรา แล้วเราจะดิ้นรนทำไมกับบ้านชั่วคราวบนโลกนี้ เพียงเพราะรักษาไว้ในระยะเวลาสั้นๆหรือ แต่บ้านถาวรของเรา ที่พระเจ้ากำลังเรียกเราให้กลับบ้าน รอคอยเราอยู่ พระเยซูทรงตรัสสอนเรื่องการอธิษฐาน หนึ่งในสาระแรก ของคำอธิษฐานก็คือ
มัทธิว 6:9-10 9 “ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ 10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก
การกลับใจใหม่เท่านั้น ที่จะนำสวรรค์มาตั้งอยู่บนแผ่นดินโลก การกลับใจใหม่เท่านั้นที่จะทำให้เราปรารถนาน้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จขณะเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ การกลับใจใหม่ ทำให้เรายอมออกจากคำว่า อัตตา ตัวกู เป็นของกู ยอมมาอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมกลับบ้าน ยอมอยู่ในบ้านของพระเจ้า ที่ไหนที่จะมีบ้านของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ตรัสกับสาวกว่า พระองค์มอบกุญแจไขเข้าบ้าน ให้แล้ว
มัทธิว 16:18-19 18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้19 เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย”
ขณะนี้ เรากำลังอยู่ในบ้านของพระเจ้าแล้ว แต่ว่า คริสตจักรกำลังเป็นบ้านที่ให้พระเยซูยืนเคาะอยู่หน้าประตูบ้านหรือเปล่า….
วิวรณ์ 3:20 20 นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
พระคัมภีร์วิวรณ์ตอนนี้ มักจะถูกใช้สำหรับเรียกให้กลับใจใหม่ ทั้งผู้ที่เป็นแกะที่หายไปจากคอก หรือเป็นเหรียญที่หายไปจากกลุ่มเหรียญสิบอัน และบุตรน้อยที่หายไปจากครอบครัว ทั้งหมด หมายถึงคนของพระเจ้าทั้งสิ้น
3.ถ่อมใจ
ลูกา 15:19 19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” ’
ท่าทีของบุตรน้อยที่หายไป ในการกลับบ้าน อันสุดท้ายที่ทำให้ความตั้งใจของบุตรน้อยกลายเป็นรูปธรรม และสำเร็จได้ นอกจากการสำนึกตัว กลับใจใหม่ ก็คือ ความถ่อมใจ สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การสำนึก และการกลับใจใหม่ ไปไม่สุด ก็คือ ทิฐิ พระคัมภีร์สองโครินธ์ได้เขียนไว้ว่า ทิฐิ คือ ความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม ที่ต่อต้านการเชื่อฟัง โดยเฉพาะการเชื่อฟังพระคริสต์
2โครินธ์ 10:4-5 4 เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้5 คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
การถ่อมใจ จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงทำงานผ่านพระวจนะของพระเจ้า กลายเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพในการทำลายล้างทิฐิมานะที่เป็นเหตุผลจอมปลอม พระวจนะที่เป็นเรมาห์ ผ่านการเฝ้าเดี่ยว การอ่านพระคัมภีร์ ผ่านคำสอน คำเทศนา ที่เจาะเข้าไปแปลบปลาบในจิตใจ และการตอบสนองต่อพระวจนะนั้นคือความถ่อมใจที่แท้จริง
“หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับว่า ได้เกิดความเสียหายไปแล้ว ที่ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้อีก ไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้อีก แต่นั่นคือ ความจริงที่เรียกว่า Fact ของมนุษย์ เหนือความจำกัดของมนุษย์ คือความจริงของพระเจ้า พระองค์ทรงสามารถทำสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นได้ นี่คือ Truth ของพระเจ้า ผู้ไม่จำกัด ไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระองค์
ขอให้เรามีใจกล้า ที่จะกลับบ้าน กลับสู่อ้อมกอดของพระบิดา “หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” จะเป็นจริงได้ ความสัมพันธ์ที่พังทลายไปแล้วจะกลับฟื้นคืนมาใหม่ได้ ในครอบครัว ในคริสตจักร ในสังคมที่เราอยู่ เมื่อเราเดินในกระบวนการอย่างเดียวกันกับบุตรน้อยที่หายไป…..
“หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก”
1.สำนึกตัว
2.กลับใจใหม่
3.ถ่อมใจ