“พระเจ้าทรงรัก”
ไม่มีพระอื่นใดที่จะสำแดงว่า ได้รักมนุษย์ เท่ากับพระเจ้าผู้ทรงประทานองค์พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ มาตายไถ่บาปมวลมนุษยชาติ ด้วยเหตุผลเดียว คือ พระเจ้าทรงรัก พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า…
ยอห์น 3:16-17 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
พระเจ้าทรงรัก พระองค์รักอย่างพ่อรักลูก
ฮีบรู 12:6 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น
พระเจ้าทรงรัก ผู้ที่เชื่อในพระองค์ จึงเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกช้าง ลูกม้า ลูกหมา
โรม 8:15-17 15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย
พระคัมภีร์ที่ยกมาเพียงไม่กี่ข้อนี้ (กับพระคัมภีร์อีกหลายข้อ) ซึ่งได้แสดงว่า พระเจ้าทรงรัก (เราอย่างมากมายเพียงใด)
มีคนไม่น้อย ที่เมื่อมีคนรักแล้ว สิ่งที่อยากได้ยินบ่อยๆ อยากให้แสดงออกถึงความรักบ่อยๆ คนไทยเราปากหนัก ขี้อาย ขี้เขิน ไม่ค่อยจะบอกรักกัน ไม่ค่อยจะแสดงความรักต่อกัน ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ต้องเกิดเรื่องที่ไม่น่าจะเกิด คือความเข้าใจผิดคิดว่าไม่รัก แล้วก็เกิดการสูญเสียอย่างไม่น่าจะสูญเสีย
แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์บอกรักมนุษย์ทุกคนด้วยทุกวิธีที่พระเจ้าจะรักษาเราไว้ จากการสูญเสีย พระเจ้าบอกรักด้วยการอดกลั้น ด้วยการให้โอกาส ด้วยการยกโทษให้อภัย ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่มีค่ามากที่สุด และบางครั้ง พระองค์บอกรักเราผ่านการตีสอนเมื่อเราทำผิด พลาดไปจากน้ำพระทัยของพระเจ้า
คริสเตียนบางคนต่อว่า การตีสอนของพระเจ้า เป็นการลงโทษ เพราะเรามองเพียงแค่ภายนอก แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงห่วงใยเราในชีวิตภายใน ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็คือห่วงนิสัยที่ไม่ดีของลูกจะทำลายชีวิตทั้งหมดของลูก….
ยากอบ 4:5 5 หรือท่านคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระหรือ ที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นห่วงวิญญาณที่ได้ทรงประทานให้อยู่ในเราทั้งหลาย”
พระคัมภีร์ตอนนี้ กล่าวถึง วิญญาณของเรา ที่พระเจ้าประทานให้ คือพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดแก่เรา พระองค์ทรงหวงแหน เป็นห่วง และพระเจ้าต้องการรักษาไว้ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนสำคัญ แม้ตายไปแล้ว พระเจ้าก็ยังเป็นห่วง
มีพี่น้องคริสเตียนบางคน ที่มาจากครอบครัวที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ถูกถามว่า ไม่ใส่บาตรแล้วเวลาตายไปจะมีอาหารกินเหรอ นี่คือความเป็นห่วงต่อวิญญาณของมนุษย์ที่กลัวว่า หลังจากความตายจะไม่มีอาหารกิน เราห่วงวิญญาณของเราเอง เพราะเรารักตัวเอง พระคัมภีร์ตอนนี้ บอกกับเราว่า พระเจ้ายิ่งมิห่วงวิญญาณของเรามากกว่าหรือ เพราะพระองค์เป็นผู้ประทานลมหายใจ และวิญญาณให้กับมนุษย์
คำว่า เป็นสิ่งไร้สาระ ที่พระคัมภีร์ยากอบเขียนตอนนี้ แปลว่า ว่างเปล่า แปลว่า พระเจ้าไม่ได้ห่วงเราแบบเปล่าๆโดยไม่ทำอะไร เหมือนคนปากก็พูดว่า เป็นห่วง แต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่แสดงออกอะไร ไม่กล้าแม้จะให้คนไม่พอใจตนเอง ไม่กล้าเตือน ไม่กล้าว่า เมื่อเห็นคนทำผิด ไปผิดทาง
แต่การห่วงของพระเจ้า ทำให้พระองค์สวนตรงกันข้ามกับกิเลศตัณหาของมนุษย์ ดังนั้น พระวจนะของพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าตอบสนองต่อมนุษย์ คือพระเจ้าไม่ตามใจ
พ่อแม่คนไหนตามใจลูกทุกอย่าง คือพ่อแม่ ที่ไม่รักลูก และกำลังรังแก ทำลายลูก เราคงเคยได้ยินเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน ที่ลูกขโมย ของเล็กๆน้อยๆก็ไม่ว่า จะสุดท้ายลูกกลายเป็นโจร ถูกจับติดคุก ลูกจึงว่า พ่อแม่รังแก ที่ไม่เตือน ไม่สั่งสอน ไม่ห้ามลูกในการกระทำผิด แถมยังสนับสนุนให้ลูกไปในทางที่ชั่ว
พระเจ้าทรงรัก พระองค์ไม่สนับนสนุนให้เราไปในทางที่ชั่ว ไม่ให้ทำลายสุขภาพของตนเองด้วยอบายมุข ไม่ให้ทำสิ่งที่จะทำให้ตนเองไม่เจริญก้าวหน้า ไม่ให้โกหก ไม่ให้ล่วงประเวณี ไม่ให้ทำสิ่งชั่วร้าย เพราะสุดท้าย ก็จะทำลายชีวิตของตนเอง ทั้งหมดเป็นเพราะพระเจ้าทรงรัก
พระเจ้าทรงรัก เพื่อให้เรารักคนอื่น
คนที่เกลียด เป็นเพราะรู้สึกไม่มีใครรัก และตอบสนองด้วยความเกลียด เพราะไม่เชื่อว่า จะมีใครรักตนเองอย่างแท้จริง
พระเยซูทรงตอบธรรมาจารย์คคนหนึ่งที่มาถามพระองค์ว่า ข้อบัญญัติไหนใหญ่ที่สุด พระเยซูตอบสองข้อได้แก่…..
มาระโก 12:29-31 29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว 30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี”
คำแรกที่พระเยซูทรงใช้ ก่อนจะตอบคำถามของธรรมาจารย์นี้ พระเยซูใช้คำว่า The first of all แปลว่า ก่อนที่จะฟังคำตอบ สิ่งแรกที่ต้องตระหนักก็คือ คำว่า โอ้ อิสราเอลจงฟัง เถิด เป็นคำที่คนยิวทุกคนได้ยินคำนี้จะรู้เลยว่า นี่คือวิถีชีวิตของการตอบสนองต่อพระบัญญัติ ที่คนยิวจะทำเช้าเย็น วันละสองเวลา คือ ตื่นขึ้น ลุกจากที่นอน และก่อนจะนั่งลงนอน คนยิวจะตอบสนองตอนนี้ จากพระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ
เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7 7 และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น
เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5 4 “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว5 พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของท่าน
หลักการของพระคัมภีร์ทั้งเดิม และใหม่ คือรัก พระเจ้า รักตนเอง และรักเพื่อนบ้าน คนที่รักพระเจ้า ก็จะยำเกรงพระเจ้า จากความรัก เหมือนลูกที่รักพ่อแม่จริงๆก็จะตอบสนองด้วยการเชื่อฟัง รักพระเจ้า ก็คือการเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทรงรัก พระองค์ไม่ต้องการให้เราตอบสนองพระองค์ด้วยความกลัว
1 ยอห์น 4:18-19 18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์19 เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
มีคนเล่าอย่างนี้ว่า เวลาจะต่อสู้กัน เขาจะเริ่มลงมือก่อน ใม่ใช่เพราะเขากล้า แต่เพราะเขากลัว ความกลัวทำให้คนเราป้องกันตัวเองด้วยการทำร้ายคนอื่น พระเจ้าทรงรัก สอนให้เรามั่นใจในความรัก ไม่ทำร้ายใคร และไม่ฉวยโอกาสลงมือก่อน แม้จะมีโอกาส
พระเจ้าทรงรัก ได้สร้างคนที่รักพระเจ้า ให้มีความเป็นสุภาพบุรุษ มีความเป็นสตรีที่กล้าหาญ และมีความอดทนอย่างทรหด ได้ถึงที่สุด
แม้ว่าจะน่าผิดหวังกับคนบางคนที่ไม่ได้รักพระเจ้าตอบ แต่พระเจ้าทรงรัก ก็ยังให้โอกาส แล้วโอกาสเล่า แก่คนที่พระองค์ทรงรัก
2เปโตร 3:9 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า โอกาสไม่ได้มีมาให้เราตลอดเวลา พระคัมภีร์ก็กล่าวทำนองเดียวกันในหนังสือสองเปโตรที่กล่าวถึงการอดกลั้นพระทัยของพระเจ้า…อย่างนี้ว่า
2เปโตร 3:10-15 10 แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้น ท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้น จะต้องไหม้เสียสิ้น 11 เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม 12 จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป13 แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 14 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ15 และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้น เป็นการช่วยเราให้รอด….
พระเจ้าทรงรัก พระองค์จึงส่งสัญญาณเตือน ด้วยบทเรียนมากมาย และคำพยากรณ์ที่เป็นจริงแล้วเป็นจริงอีกมากมาย เราอยู่ในยุค ในช่วงเวลาที่เรียกว่า ขอบของยุคพระคุณ ซึ่งเป็นสุดท้ายแล้ว พระเจ้าทรงรัก ทรงเรียกเรา เตือนเรา และพยายามช่วยเรา ขอให้เรามั่นใจในพระเจ้าทรงรัก ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา คือการช่วยเราให้รอด….