“พระเยซูคริสต์…พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง”
พระเยซูคริสต์ทรงเตือนให้เฝ้าระวัง ด้วยคำอุปมา เรื่องคนใช้ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของเจ้านาย แน่นอนว่า กลางวันคือเวลาที่คนจะตื่นอยู่ แต่เวลาที่พระเยซูทรงย้ำในอุปมาตอนนี้ ก็คือ เวลากลางคืนที่คนจะนอนหลับ แต่สำหรับคนใช้ที่เฝ้าระวัง รอคอยการกลับมาของเจ้านาย เขาจะไม่ยอมนอน จะรอจนกว่าเจ้านายจะกลับมา
เมื่อครั้งข้าพเจ้าไปทำพันธกิจที่พังงา ทุกๆอาทิตย์ ยาวนานเป็นเดือนเป็นปี จำได้ว่า หลังสึนาผ่านไปเดือน ข้าพเจ้าไปเยี่ยมศูนย์เด็กเล็กขององค์การworld vision ในฐานทัพเรือทับละมุ มีทหารเรือคนหนึ่ง มาถามข้าพเจ้าว่า เขากลับเข้าบ้านได้หรือยัง ทุกคืนเขาจะไปยืนเฝ้าที่ชายหาดว่า คลื่นสึนามิจะมาอีกเมื่อไหร่ แต่นั่นเป็นความกลัว ไม่ใช่การเฝ้าระวังอย่างมีสติ อย่างคนเตรียมพร้อม
คำที่เปรียบเทียบที่พระเยซูทรงใช้ในการเตือน คือคำว่า
ลูกา 12:35 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
คำว่า คาดเอว คือลักษณะเครื่องแต่งกายของคนในยุคโบราณ ที่พร้อมอยู่เสมอ เวลาคนจะเข้านอน จะไม่คาดเอว แต่จะปล่อยชายเสื้อหลวมๆ คำว่าคาดเอว ยังหมายถึงความพร้อมในการปรนนิบัติ ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกตอนพระเยซูทรงล้างเท้าสาวก พระองค์ทรงคาดเอว
ยอห์น 13:4-5 4 พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์5 แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง และทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น
มีประเภทของธุรกิจหนึ่ง ที่น่าจะนำแนวคิดของพระเยซูคริสต์มาใช้ก็คือ คำว่า service mind คือมีจิตบริการ หรือจิตรับใช้ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อปรนนิบัติ มิใช่เพื่อรับการปรนนิบัติ และการล้างเท้าสาวกของพระองค์เพื่อจะเป็นแบบอย่างของจิตบริการในการเป็นศิษย์ของพระเยซู ต่อจากคำว่า ให้พร้อมสำหรับการปรนนิบัติผู้อื่นแล้ว พระเยซูยังต่อด้วยคำว่า ให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่ สำนวนนี้ อาจตีความว่า โลกนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังตกอยู่ในความมืด ศิษย์ของพระเยซูคริสต์ต้องเป็นผู้ส่องสว่างในความมืด คือ ไม่ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืด ด้วยพฤติกรรมของความมืด พฤติกรรมของความมืดมีอะไรบ้าง….. พระคัมภีร์เอเฟซัสได้ให้หลักในการแยกแยะ อย่างนี้
เอเฟซัส 5:8-9 8 เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง9 (เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง)
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรคือปลอม อะไรคือ จริง คำตอบคือ อยู่กับของจริง เราก็จะรู้ว่า อะไรที่ไม่ใช่ของจริง คำที่พระธรรมเอเฟซัสใช้ในข้อนี้ ก็คือ 9 (เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง)
มีคริสเตียนบางคนมาหาข้าพเจ้าแล้วพูดว่า อาจารย์ ผมจะไปศึกษาเรื่องของซาตานล่ะ จะได้รู้ว่ามารเป็นอย่างไร จะได้ต่อสู้กับซาตานได้ ข้าพเจ้าบอกเขาว่า คุณรู้จักพระเจ้าอย่างเดียวพอ แล้วคุณจะรู้ว่า มารเป็นยังไง (เพราะชื่อของซาตานแปลว่า ปฏิปักษ์ ผู้ขัดขวาง อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า)
พระเยซูคริสต์…พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง ด้วยชีวิตที่เกิดผลของความสว่าง คือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง อะไรที่ไม่ใช่ นั่นคือ เราจะรู้ได้ด้วยตัวของเราเอง ว่ากิจการของความมืดเป็นอย่างไร หากเราอ่านย้อนขึ้นไปของหนังสือเอเฟซัสตอนนี้ ก็ได้กล่าวไว้ก่อนแล้วว่า
เอเฟซัส 5:6-7 6 อย่าให้ใครล่อลวงท่านทั้งหลายด้วยคำพูดที่เหลวไหล เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกที่ไม่เชื่อฟัง7 เพราะฉะนั้นอย่ามีส่วนร่วมกับเขาทั้งหลาย
ผู้เขียนหนังสือเอเฟซัส ได้มีความเข้าใจถึง พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง ของพระเยซูคริสต์
เมื่อเปโตรได้ฟังคำอุปมาของพระเยซู ว่าให้คาดเอว และให้ตะเกียงของตนจุดอยู่ และกล่าวถึงการรอคอยการกลับมาของเจ้านาย เปโตรเกิดความสงสัย (ไม่แน่ใจว่า นี่คือคำเตือนสำหรับตนเอง ฝ่ายเดียวหรือ?
ลูกา 12:41-48 41 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ได้ตรัสคำเปรียบนั้นแก่พวกข้าพเจ้าหรือ หรือตรัสแก่คนทั้งปวง”42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา43 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น บ่าวผู้นั้นก็จะเป็นสุข44 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน45 แต่ถ้าบ่าวนั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วจะตั้งต้นโบยตีบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมาไป46 นายของบ่าวผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่สัตย์ซื่อ47 บ่าวนั้นที่ได้รู้ใจนายและมิได้เตรียมตัวไว้ มิได้กระทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก48 แต่ผู้ที่มิได้รู้ แล้วได้กระทำสิ่งซึ่งสมจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมากและผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก
ฝ่ายเดียวหรือ น่าสนใจว่า พระเยซูตอบอย่างไร แน่นอน เป็นคำอุปมาอีกแล้ว เพื่อให้สาวกศิษย์ของพระองค์ได้คำตอบด้วยตัวเอง แต่ได้ขยายความเพิ่มมากขึ้นถึงงาน และบทบาทของคนใช้ในอุปมาอันแรก
1.คนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด
ลูกา 12:42-44 42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา43 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น บ่าวผู้นั้นก็จะเป็นสุข44 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน
คนต้นเรือนสัตย์ซื่อ แปลว่า ไว้ใจได้ เป็นที่ไว้วางใจ จากเจ้านาย คำว่า ฉลาด แปลว่า เป็นคนที่รอบคอบ (Thoughtful) ยังเป็นสำนวนที่แปลว่า คิดถึงคนอื่น คนต้นเรือนคนนี้ ถูกเลือกและแต่งตั้งโดยเจ้านาย ให้ทำหน้าที่เหนือคนอื่น (เป็นผู้นำ) พระเยซูกำลังหมายถึง พระองค์เองเป็นเจ้านาย ที่ทรงเรียกคนให้ติดตามพระองค์ ใครตอบสนองการทรงเรียก คนๆนั้น คือคนที่รู้ใจนายและทำตามที่นายต้องการ พระองค์จะแต่งตั้งให้เป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ (เปโตรจึงเป็นคนที่รับมอบให้ดูแลฝูงแกะ คือการตามหาแกะหลงทั้งหลาย)
คำว่าฉลาดที่พระเยซูทรงใช้ในตอนนี้ เป็นคำเดียวกันกับคำว่า ฉลาด ที่พระองค์ทรงยกในคำอุปมาเรื่องคนฉลาดสร้างบ้านบนศิลา คือคนที่ฟังคำของพระองค์และประพฤติตาม คือคนที่รอบคอบ และคิดถึงคนอื่น
มัทธิว 7:24 24 “เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา
คนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อและฉลาด กับคนฉลาดที่สร้างบ้านบนศิลา คือคนเดียวกัน ที่คิดถึงคนอื่น คือคนที่มีจิตบริการ Service mind ในยุคปัจจุบันของเรา คนที่มีจิตบริการ มักจะได้ดี ก้าวหน้า ก้าวไกล ด้วยการกระทำที่ไม่เลือกปรนนิบัติคนอย่างชัดเจน และพระเยซูคริสต์ทรงหมายถึงคนที่เข้ามาเดินในเส้นทางเดียวกันกับพระองค์ เป็นศิษย์ สาวกของพระองค์ จะมีคุณลักษณะที่เด่นชัดก็คือ จิตบริการ Service mind เป็นผู้ปรนนิบัติ (เป็นเหมือนบ่าวที่คาดเอว) ที่สัตย์ซื่อและฉลาด พร้อมเสมอ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า ใครทำต่อผู้เล็กน้อยคนไหน ก็คือ การทำต่อพระองค์
พระเยซูคริสต์…พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง คือ การเตือนให้ทำบทบาทคนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อและฉลาด(ด้วย) ในคำตอบด้วยคำอุปมาอีกมุมหนึ่ง เพื่อตอบคำถามของเปโตรว่า คำเตือนนี้ สำหรับใคร คำตอบคือ สำหรับอีกคน…
2.คนต้นเรือนที่ไม่ฉลาดและไม่สัตย์ซื่อ
ลูกา 12:45 45 แต่ถ้าบ่าวนั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วจะตั้งต้นโบยตีบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมาไป
คนต้นเรือนที่ไม่ฉลาดและไม่สัตย์ซื่อ คือคนต้นเรือนที่ไม่คิดถึงคนอื่น เอาแต่คิดถึงแต่ตนเอง (และไม่รู้ตัวว่าตนเองไม่ทำหน้าที่ที่ตนเองควรจะต้องทำ สำนวนที่พระเยซูทรงใช้ว่า
45 แต่ถ้าบ่าวนั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วจะตั้งต้นโบยตีบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมาไป
คำว่า โบยตีบ่าวชายหญิง (ไม่เลือกหน้า) เป็นการข่มเหง ทำให้บาดเจ็บ คือการไม่คิดถึงคนอื่น นอกจากจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำผิดต่อบทบาทหน้าที่ของตนเองแล้ว ยังกินดื่มจนเมา (ขาดสติ) เวลาคนเมา คือ ขาดจิตสำนึก การควบคุมตนเองไปแล้ว คนเมา ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง ไม่รู้ว่าเวลาไหน เป็นเวลาไหน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร กลางวันก็จะนอน กลางคืนก็ไม่สามารถจะจุดตะเกียงได้
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าขับรถจากสนามบินภูเก็ตไปพังงา เพื่อไปช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ สิ่งที่พบว่าแปลกก็คือ ป้ายเตือนเรื่องความเร็วของรถ ขณะจะเข้าโค้ง ป้ายนั้นนอกจากจะใหญ่โตชนิด เห็นแต่ไกลๆ สิ่งที่สะดุดความรู้สึกก็คือคำว่า ลดความเร็วเดี๋ยวนี้ คนที่นั่งไปด้วยยังพูดกันแบบขำๆว่า เดี๋ยวนี้เลยเหรอ ในภายหลัง เมื่อไปบ่อยๆ ชนิดขับทุกอาทิตย์ จึงได้เห็นอุบัติเหตุแหกโค้งของรถ ณ จุดนั้น
เราคงเคยดูคลิปตลกของคนเมาขับรถไปถามตำรวจว่า เอาป้ายเตือนเมาอย่าขับ ว่านี่คือด่าน ตรวจคนเมาแล้วขับ มาตั้งไว้ตรงนี้ทำไม ดูแล้วขำๆ แต่มันคือการแสดงให้เห็นว่า คนเมาไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะถูกจับ และถูกปรับถูกทำโทษ
ทำนองเดียวกัน คริสเตียนทุกคนอาจเป็นคนต้นเรือนที่ไม่ฉลาดและไม่สัตย์ซื่อ และอาจเป็นเหมือนคนเมาแล้วขับไปเจอด่านตรวจคนเมาแล้วขับ เมื่อคริสเตียนคนนั้น ดำเนินชีวิตที่ไม่รอคอยการมาของเจ้านาย คือพระเยซูคริสต์ ก็จะทำอะไรที่ไม่ฉลาดและไม่สัตย์ซื่อออกมาโดยไม่รู้ตัว
พระเยซูคริสต์…พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง เพื่อรักษาชีวิตของทุกคนให้ปลอดภัย เรากำลังอยู่ในพันธกิจนี้ หรืออยู่นอกพันธกิจ….
3.รู้แล้วไม่ทำ โดนหนักกว่าคนที่ไม่รู้
ลูกา 12:46-48 46 นายของบ่าวผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่สัตย์ซื่อ47 บ่าวนั้นที่ได้รู้ใจนายและมิได้เตรียมตัวไว้ มิได้กระทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก48 แต่ผู้ที่มิได้รู้ แล้วได้กระทำสิ่งซึ่งสมจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมากและผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก
กลับมาที่คำถามของเปโตรที่ถามว่า คำอุปมาอันแรกของพระเยซูหมายถึงใคร คำตอบอยู่ตรงนี้ คือ บ่าวที่คาดเอว และให้ตะเกียงจุดอยู่ คือคนที่รู้ใจนาย หมายถึงคริสเตียน แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ ก็คือคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน และในตอนนี้ กำลังพูดถึง 47 บ่าวนั้นที่ได้รู้ใจนายและมิได้เตรียมตัวไว้ มิได้กระทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมากคือคริสเตียนที่รู้แต่ไม่ทำตามใจนาย ก็จะถูกเฆี่ยนมาก
ในวีดีโอที่เราได้รับชมไปในตอนต้น ใช้คำแรง คือฉีกเป็นชิ้นๆ และไล่ให้ไปอยู่กับคนที่ไม่สัตย์ซื่อ แต่คำบันทึกในลูกาตอนนี้ ใช้คำว่า ทำโทษเขาถึงสาหัส คำกรีกที่ใช้ตอนนี้ คือ แยกออก เฆี่ยนอย่างรุนแรง สำนวนไทยน่าจะหมายถึง ยับเยิน ไม่มีชิ้นดี แตกเป็นเสี่ยงๆ
มัทธิว 7:27 27 แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่”
คำที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ในเรื่องคนโง่สร้างบ้านบนดินทราย เมื่อต้องเผชิญกับพายุและน้ำแรง การพังทลายที่ใช้คำกรีกแปลว่า แตก บ้านล้ม บ้านแตก (เป็นชิ้นๆ) ความหมายคล้ายกับชีวิตของ…. 47 บ่าวนั้นที่ได้รู้ใจนายและมิได้เตรียมตัวไว้ มิได้กระทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก
บ่าวที่รู้ใจนาย แต่ไม่ทำตาม จะถูกเฆี่ยนมาก คือนอกจากจะบาดเจ็บยิ่งกว่าคนที่ตัวเองไปทำเขาไว้แล้ว (เฆี่ยนบ่าวชายหญิง) ยังถูกไล่ออก ปลดออกจากตำแหน่ง และไปรวมกันกับพวกประเภทเดียวกัน คือพวกที่ถูกปลดออกเหมือนกัน ไม่สัตย์ซื่อ และไม่ฉลาดเหมือนกัน
พระเยซูคริสต์…พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง คือการเตือนให้เตรียมตัวไว้ และทำตามใจนาย ไม่ใช่ทำตามใจตนเอง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าพระเจ้าสั่ง พระเจ้าจ่าย นั่นคือ การรู้ใจพระเจ้า และทำตามที่พระเจ้าสั่ง ไม่ต้องจ่ายเอง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้ คำที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ในอุปมาตอนแรกเรื่องนี้คือ
ลูกา 12:37 37 บ่าวซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายนั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวเหล่านั้นเอนกายลง และท่านจะมาเดินโต๊ะ
นั่นคือ บ่าวจะได้พัก และรับการปรนนิบัติจากนาย ในสถานะสหายร่วมรับใช้ด้วยกัน ทำมากแล้ว พระองค์จะเล้าโลมใจ อยู่ใกล้ๆเรา
ให้เราถามตัวเราเองว่า เรากำลังดำเนินชีวิต ตามใบสั่งของใคร พระเจ้า ตัวเราเอง หรือคนอื่น และเรากำลังเตรียมชีวิตของตนเองอย่างไร (อย่างคนมีสติสัมปชัญญะ หรืออย่างคนเมา อย่างคนที่ข่มเหงคนอื่น ทำให้คนบาดเจ็บ หรืออย่างคนรอบคอบที่ คิดถึงคนอื่น)
“พระเยซูคริสต์…พันธกิจเตือนให้เฝ้าระวัง”
1.คนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด
2.คนต้นเรือนที่ไม่ฉลาดและไม่สัตย์ซื่อ
3.รู้แล้วไม่ทำ โดนหนักกว่าคนที่ไม่รู้