“ตามพระเยซูคริสต์…เกรงกลัวพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
sermon
ลูกา 12:1-7
สิ่งที่เราเห็นคุ้นเคยกันในเวลานี้ คือไปไหน ก็จะพบคนใส่แมกส์กันแทบทุกคน ทำไมเราจึงใส่แมกซ์ โดยเฉพาะตอนออกอากาศ คำตอบอาจจะเหมือนกัน คือ คำสั่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร กลัวถูกปรับเป็นเงิน หรือเพราะต้องการเป็นแบบอย่างต่อสาธารณชน หรือป้องกันการก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคโควิดได้ (อนุโลม ถ้าอยู่คนเดียว ถ่ายทอดคนเดียว ก็ถอดแมกส์ได้) เฮ้อ ชีวิตนี้หนอ อยู่ยากขึ้นทุกวัน อะไรคือแรงจูงใจที่เราเลือกที่จะใส่แมกส์ ตลอดเวลา แม้อยู่ในบ้านของตัวเอง ข้าพเจ้าต้องเดินไปออกที่แจ้งโล่ง หน้าบ้านบ้าง ข้างบ้านบ้าง เท่าที่จะมีที่ส่วนตัว เพื่อไม่พบปะเจอผู้คนในบ้าน และคนอื่น เพื่อจะเปิดแมกส์หายใจ โล่งๆ ตอนนี้ เจอมือเปื่อยเพราะล้างมือบ่อยๆ แล้วยังอาจป่วยเพราะใส่แมกส์ เมื่อวานข้าพเจ้าออกข้างนอกไปตลาด ไปซื้อของที่ห้าง และกลับมาอยู่กับพี่น้องซ้อมเพลง ทำอาหาร ต้องใส่แมกส์ตลอดเวลา รู้สึกป่วยๆ เพราะต้องหายใจภายใต้แมกส์ อยากถอดออก แต่ก็ต้องพยายามใส่เพื่อจะไม่รับเชื้อ เข้ามาสู่ร่างกาย ถามว่า ข้าพเจ้ากลัวอะไร คำตอบคือ กลัวค่ะ เป็นความกลัวที่ไม่ประมาท นั่นคือ ความรอบคอบ
พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้เราศิษย์ของพระองค์ จงเป็นผู้ที่ดีรอบคอบ อย่างพระบิดาผู้ทรงดีรอบคอบ ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้จากการอ่านและฟังจากหลากหลายความคิดเห็น จิตวินิจฉัยของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเลือก ทำสิ่งที่ส่งผลดี ต่อตัวเอง และต่อส่วนรวม มีความกลัวแฝงอยู่ในทุกๆทางเลือก แต่ข้าพเจ้าเลือกทำสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะแรงจูงใจของความกลัว และเมื่อเลือก ก็จะไม่กลัวอย่างที่คนอื่นกลัว การเลือกที่จะทำ จะเป็น ด้วยความเข้าใจ ความเชื่อ จะทำให้เราควบคุมความกลัว และพร้อมที่จะรับผลของการเลือกนั้น
ทำนองเดียวกัน การที่เราเลือกที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงนำหน้าเราด้วยทัศนคติของการเกรงพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และในคำสอนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างเรื่อง แม้พระองค์จะต้องเผชิญกับการต่อต้าน คำคัดค้าน การให้ร้ายกล่าวโทษ และสุดท้าย การทนทุกข์ทรมานและขณะอยู่บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงเลือก….
ลูกา 23:34 34 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร”…
คำอธิษฐานของพระเยซูบนไม้กางเขนแสดงให้เราได้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้กลัวความตาย และพระองค์ก็ยังสื่อให้รู้ว่า ที่คนเหล่านั้นกระทำต่อพระองค์ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับการตอบโต้ของพระเจ้า ถ้าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการให้อภัยโทษ
คริสเตียน แปลว่า ผู้ที่เป็นเลือกเดินในทางเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในเส้นทางเดียวกันนี้ ทำให้เรามองเห็นอย่างเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เจ้าว่า ความน่ากลัวของ คน เชื้อโรค หรือความตาย ก็ยังไม่เท่ากับความน่ากลัวที่พระเยซูคริสต์ทรงเตือนให้สาวกจงกลัวพระเจ้า….
ลูกา 12:5 5 แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้ที่เมื่อทรงฆ่าแล้วก็ยังมีสิทธิอำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้ แท้จริง เราบอกพวกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ
เราได้เรียนรู้บทเรียนของการควบคุมความกลัวในตัวเราเอง ที่เป็นหนึ่งในสามอารมณ์ ได้แก่ โกรธ เศร้าและกลัว เมื่ออารมณ์โกรธ เศร้า ถูกบีบกดไว้ไม่ให้แสดงออก ก็จะมักจะไปแสดงออกที่ความกลัว จนเกินควบคุม และแสดงออกมาในพฤติกรรมต่างๆมากมาย เราได้เรียนรู้วิธีจัดการกับความกลัว (ที่ไม่ใช่ความกลัวที่แท้จริง) เพียงแต่มากระตุ้นให้ความกลัวปกติของเรามีมากเกินกว่าปกติเท่านั้น และแรงกระตุ้นให้กลัวนี้ สามารถจัดการได้ เราจึงได้ยินคำว่า fact ที่แปลว่า ความจริงของมนุษย์ (จากประสบการณ์) กับ Truth ความจริงของพระเจ้า ที่มีสู้กันด้วยความจริงที่เหนือกว่าด้วยความไม่จำกัดของพระเจ้า ก็จะชนะความจริงที่จำกัดของมนุษย์ (แก้ไขไม่ได้) คำสอนของพระเยซูคริสต์ในตอนนี้กำลังสื่อให้สาวกของพระองค์รู้จักความจริงของมนุษย์ ที่จำกัด ทำได้แค่ทำคนให้ตาย แต่หลังจากตาย ทำอะไรไม่ได้
ลูกา 12:4 4 “มิตรสหายของเราเอ๋ย เราบอกพวกท่านว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย เสร็จแล้วไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก
ในวีดีโอ ทำได้ดี คือ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสประโยคนี้แล้วชี้ไปทางพวกฟาริสี ที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางศาสนาในสังคมของคนยิวในเวลานั้น ลักษณะของพวกฟาริสี คือชอบทำตัวเคร่งศาสนา แต่งตัวเองให้แตกต่างจากประชาชนทั่วไป เพื่อให้รู้ว่า พวกเขาดีกว่า เหนือกว่า และทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกกลัวผิดถ้าไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ นี่คือเชื้อของพวกฟาริสีที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเริ่มต้นคำสอน แก่สาวกของพระองค์
ลูกา 12:1 1 ในช่วงนั้นมีฝูงชนนับเป็นพันๆ ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ก่อนว่า “ท่านทั้งหลายจงระวังเชื้อของพวกฟาริสี คือความหน้าซื่อใจคด
บันทึกตอนนี้ มีเบื้องหลังต่อเนื่องมาจากบทที่ 11 ที่จบลงของบท ด้วยคำว่า พวกฟาริสีกับพวกบาเรียน(ผู้เชี่ยวชาญทางธรรมบัญญัติ)
ลูกา 11:53-54 53 เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่นั่น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็เริ่มผูกพยาบาทและจู่โจมพระองค์ด้วยคำถามต่างๆ54 เพื่อคอยจับผิดในสิ่งที่พระองค์ตรัส
พระเยซูทรงรู้ว่า หลังจากพระองค์ทรงตำหนิพวกฟาริสีและพวกบาเรียน ว่าเป็นพวกที่ชอบสอนคนอื่น เพื่อให้รู้สึกกลัวที่จะทำผิดไปจากที่ตนเองสอน แต่ตัวเองกลับไม่ทำ สิ่งที่ตนเองสอน นี่คือความกลัวแบบผิดๆ คือไปกลัวข้อห้าม ข้อบังคับทั้งหลาย(ที่คนยิวในเวลานั้นต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ) แทนที่จะเกรงกลัวพระเจ้า
วันนี้ เรากำลังทำอะไรหรือไม่ทำอะไรด้วยความกลัว
พระเยซูคริสต์ได้ทรงเสนอทางเดียว ที่เราควรจะกลัว คือเกรงกลัวพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และการเกรงกลัวพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่กลัวอย่างไม่มีเหตุผล แต่เป็นการกลัวจากความจริงของพระเจ้าที่ทรงมีสามารถ…
ลูกา 12:5 5 แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้ที่เมื่อทรงฆ่าแล้วก็ยังมีสิทธิอำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้ แท้จริง เราบอกพวกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ
นรก เป็นอะไรที่คนที่ยังไม่ตายยังไม่มีประสบการณ์ และคนที่ตาย ก็ยังไม่มีประสบการณ์ด้วยเช่นกัน เพราะยังไม่ถึงเวลาที่คนจะไปนรก เราได้เห็นคนบางคน กล่าวถึงนรกคนเป็น คือสิ่งที่น่ากลัว ขนาดยังไม่ได้ไปนรกจริง ก็ยังกลัวและไม่อยากจะพบเจอ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงความน่ากลัวของนรกจริง เพราะหากใครไปแล้ว ไม่มีวันรอด ไม่มีวันได้กลับมาได้อีก เพราะฉะนั้น สิ่งที่มนุษย์เรียกนรกสมมติ จึงเป็นการแสดงออกของความกลัวลึกๆที่มนุษย์ไม่อยากเจออะไรที่เลวร้ายกว่านรกสมมตินั้น
ตามพระเยซูคริสต์…เกรงกลัวพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว จะทำให้เราไม่กลัวสิ่งใด แม้แต่นรกสมมติ ที่คนมากมายกลัว
วันนี้ มีคำใหม่ๆอินเทรนด์ มาใช้ ก็คือคำว่า ทิพย์ แปลว่า เสมือนจริง เช่นเที่ยวทิพย์ ไปเที่ยวแบบเสมือนจริง รวยทิพย์ เสมือนรวย แต่ไม่ได้รวยจริง สุขทิพย์ เสมือนมีความสุข แต่ไม่ได้สุขจริง เราว่า มีกลัวทิพย์ไม๊ คือเสมือนกลัว แต่ไม่ได้กลัวจริง ใครเป็นคนที่จะใช้กลัวทิพย์นี้ได้เสมือนจริงที่สุด คริสเตียนที่กำลังนมัสการพระเจ้าเสมือนกลัวทิพย์ แต่ความจริงไม่ได้กลัวจริง?
ตามพระเยซูคริสต์…เกรงกลัวพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว จะทำให้เรา กล้าที่จะทำสิ่งที่ควรทำ และไม่กลัวที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ นั่นคือ ความเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ถูกกระแสอิทธิพลภายนอกมากำหนดให้
พระคัมภีร์เอเฟซัสได้กล่าวถึง การจัดเตรียมธรรมิกชนคือ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า จะถูกเตรียมไว้ให้ทำหน้าที่บทบาทของตนเองอย่างเหมาะสม ไม่เพียงสำหรับภาพรวมของคริสตจักร แต่สำหรับสังคม ประเทศชาติทีเราอยู่ร่วมด้วยกัน
เอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
ให้เราดูเนื้อหาสาระของพระคัมภีร์ตอนนี้ โดยเฉพาะในข้อที่ 14-16
เด็กมีแต่ความกลัว และถูกชักจูงไปด้วยเล่ห์กลต่างๆได้ พระคัมภีร์ได้สอนให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เราจะจำเริญขึ้นสู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างพระเยซูคริสต์ และเราจะเชื่อมต่อกับสังคมที่เราอยู่ โดยเฉพาะคริสตจักรได้ ถ้าเราเชื่อมต่อกับคริสตจักรได้ เราก็จะเชื่อมต่อกับคนอื่นได้ ฟังดีๆนะคะ สังคมทุกวันนี้แตกแยกมาก แม้กระทั่งคริสตจักร เพราะคริสตจักรไม่โตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ คริสตจักรอาจเป็นเหยื่อของสังคมที่แตกแยกได้ แต่เราก็หวังใจว่า คริสตจักรอีกหลายแห่งรู้ทันเล่ห์กลอุบายนี้ ที่จะยังคงรักษาเป้าหมายทิศทางของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ และทำหน้าที่ของตนเองต่อสังคมที่เราอยู่อย่างเหมาะสม ข้าพเจ้ากล่าวถึงสังคมของเรา ไม่ใช่แค่ คริสตจักรเท่านั้น แต่เป็นสังคมท้องถิ่นที่คริสตจักรอยู่ด้วย รวมถึงประเทศชาติของเราด้วย
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสปิดท้ายของการให้กลัวพระเจ้า อย่างพระผู้สร้างที่ทรงห่วงใย แม้กระทั่งนกที่มีราคาถูกที่สุด เมื่อเทียบค่าเงินอาร์ซาริอัน เหมือนเหรียญสลึงในยุคนี้ของเรา ไม่ใช่แค่นกตัวเดียวเอาห้าหารสองสลึง ยิ่งถูกมาก พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า พระเจ้ายังไม่ลืม แปลว่า นกเหล่านี้ได้รับการดูแลใส่ใจจากพระเจ้า
ลูกา 12:6-7 6 นกกระจาบห้าตัวเขาขายสองอาส์ซาริอันไม่ใช่หรือ? และนกนั้นแม้สักตัวเดียวพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงลืมเลย7 ถึงผมของพวกท่านก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น อย่ากลัวเลย ท่านก็มีค่ามากกว่านกกระจาบหลายตัว
เมื่อเทียบกับพระเจ้าทรงสร้างเรา ตั้งแต่ต้น พระเยซูคริสต์ทรงตรัสถึงความใส่ใจของพระเจ้าต่อเรา แม้แต่เส้นผมของเราพระองค์ก็ทรงนับ แปลว่า เราอยู่ในความจดจำของพระเจ้าทุกอนูของความเป็นเรา เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราควรกลัวพระองค์อย่างผู้ที่พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง ไม่ใช่เพราะความกลัวอย่างโลกนี้ ที่ทำให้ไม่กลัวพระเจ้า แต่กลับไปกลัวคน กลัวข้อห้าม กลัวทำผิด กลัวตาย ….
ตามพระเยซูคริสต์…เกรงกลัวพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เป็นแรงจูงใจหลักอยู่หรือไม่ ที่ทำให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ของครอบครัว สถานการณ์ของบ้านเมือง อย่างเหมาะสม? หรือเรากลัวอะไรอยู่
2ทิโมธี 1:7 7 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา