“เกิดผลในพระคริสต์…โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
วันนี้ ชีวิตของเรากำลังสำแดงผลต่างๆ ด้วยแรงจูงใจของอะไร เราพูดเพื่ออะไร เรากระทำเพื่ออะไร เราคิดจากอะไร บางคนเต้นไปตามจังหวะของข่าวสาร บางคนเคลื่อนไปตามจังหวะของละคร บางคนพูดเหมือนชีวิตอยู่ในละคร (น้ำเน่า) บางคนใช้ชีวิตตามกระแสของเพื่อน กระแสของเศรษฐกิจ กระแสของลูกค้า แต่จะมีสักกี่คนที่ดำเนินไปตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์โปรดให้พูด ให้ทำ ให้ไม่พูด ให้ไม่ทำ…..ชีวิตคริสเตียนไม่สามารถเกิดผลโดยปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงกันข้ามก็คือการงานของเนื้อหนัง หนังสือยากอบได้เปรียบเทียบถึงการออกผลตามชนิดของต้นกำเนิด ยากอบ 3:12 12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย ต้นไม้แต่ละชนิดจะออกผลตามชนิดของมัน เป็นไปไม่ได้ที่ต้นมะเดื่อจะออกผลมะกอกเทศ หรือองุ่นจะออกผลมะเดื่อ เมื่อมาถึงน้ำเค็มจะทำให้น้ำจืดก็ไม่ได้ บางคนอาจบอกว่า น้ำเค็มทำให้จืดได้ เมื่อเอาไปผ่านการกรอง แต่ยากอบกำลังยกตัวอย่างของต้นกำเนิด ที่ทำให้ทำให้เกิด ส่วนจะเอาผลไปบิดเบือนเพื่อให้น้ำออกมาหวานนั้น คือกระบวนการของมนุษย์ การเปรียบเทียบนี้ยากอบต้องการจะบอกว่า มนุษย์เราจะเป็นต้นกำเนิดของพระพรหรือเป็นคำแช่งสาปก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราดูดซับเข้ามาในชีวิตของเรา และแสดงออกมาที่ลิ้นที่พูด และคำเทศนาเป็นซีรี่ส์วันนี้มาถึงเนื้อหาเกี่ยวกับการเกิดผลในพระคริสต์….โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงออกผลในชีวิตสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า ตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 1โครินธ์ 3:16 16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน หนังสือเรื่องคนยามผู้เฝ้าระวังแผ่นดิน ได้กล่าวว่า เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ตายในบาปของเรา เราถูกสร้างขึ้นให้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และได้รับแสงสว่างของพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เราแต่ละคนมีจิตสำนึก และเมื่อมาถึงความจริง ก็จะบังเกิดใหม่และได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์…(หน้า 68) กาลาเทีย 5:16 ,18 16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง…. 18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ พระคัมภีร์สอนเราว่าในแต่ละวัน เราต้องสดใหม่ในการประกอบด้วยพระวิญญาณ และเมื่อคนที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ กิจการ 5:32 32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย”พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า พวกเขาจะไม่เป็นบ่าวอีกต่อไป แต่จะเป็นมิตรสหายของพระองค์ ยอห์น 15:14 14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา ชีวิตการเป็นคริสเตียนของเราทั้งหลายจึงต้องการพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเราจะเกิดผลในพระเยซูคริสต์ จุดเริ่มต้นของชีวิตที่เกิดผลจึงถูกบันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 2:1-15 1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด 5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดว่า “ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย10 ในแคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลียและประเทศอียิปต์ในแขวงเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน และคนมาจากกรุงโรม ทั้งพวกยิวกับคนเข้าจารีตยิว11 ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง”12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน”13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่14 ฝ่ายเปโตรได้ยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และได้กล่าวแก่คนทั้งปวงด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยูเดียและบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า วันเพนเตคสเต เป็นวันที่ห้าสิบหลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองปัสกา เป็นวันฉลองวันเดียว พระคัมภีร์บันทึกว่า พวกศิษย์ก็คือบรรดาสาวกของพระเยซู ทั้งอัครทูตสิบเอ็ดคนและคนใหม่อีกหนึ่ง รวมกับคนอื่นๆอีกร้อยยี่สิบคน การรวมตัวกันในที่แห่งเดียวกัน คือสัญญลักษณ์ของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่างที่หนังสือสดุดี 133:1 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด พระคัมภีร์กำลังกล่าวถึงใครที่จะมีความรู้สึกว่าเป็นการดีและน่าชื่นใจมากสักเท่าใด ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เป็นความรู้สึกจากฟ้าสวรรค์ เพราะพระคัมภีร์สดุดี 133ตอนนี้จบในข้อ 3 …..เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย และเป็นที่มาของการอวยพระพร ความจริงพระเจ้ามีพระพรที่จะให้อยู่แล้ว แต่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้ที่จะรับ เป็นเหมือนแรงดึงดูดให้พระเจ้าต้องหันพระพรไปที่ตรงนั้น เพราะพระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดังที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสในยอห์น 17:11.…เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์…ยอห์น 16:13,15 13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น….15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้น มาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในกิจการบทที่สอง สาวกของพระเยซูคริสต์กำลังอยู่ในกระบวนการที่สวรรค์ทรงพอพระทัย ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ดึงดูดให้พระเจ้าผู้เป็นหนึ่งเดียวเทพระพรฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ 2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น 3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน หนังสือวิวรณ์ได้กล่าวถึงดวงตาของพระเจ้าเหมือนเปลวเพลิง วิวรณ์ 1:14 …. พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง….และพาหนะที่พระเจ้าส่งมาเพื่อรับคนของพระองค์เข้าสวรรค์ คือพายุ 2 พงศ์กษัตริย์ 2:11 ….และเอลียาห์ได้ขึ้นไปโดยพายุเข้าสวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องชั้นบน เสียงจากฟ้า เปลวไฟสันฐานเหมือนลิ้นเหนือสาวกที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นำสวรรค์ลงมา การเจิมของพระเจ้าลงมา สดุดี 133:2 2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน นี่เป็นภาพแห่งการเจิม และพระวิญญาณบริสุทธิ์มักถูกเปรียบเหมือนน้ำมัน คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์เจ้าสำหรับสาวกเป็นจริงในกิจการตอนนี้ ยอห์น 17:15-17ก,23 15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย….16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง…..23 ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ ชีวิตที่เกิดผลโดยพระวิญญาณนำไปถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ สองสิ่งนี้เกิดขึ้นในเหตุการณ์เดียวกันก่อนที่สาวกจะมีประสบการณ์รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำว่า ประกอบ มาจากคำว่า รับการเติมให้เต็ม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ในตอนบ่ายเรามีการพบกันกับผู้ที่ร่วมรับใช้ และข้าพเจ้าได้แบ่งปันในหัวข้อ เทออกให้ว่างกับเติมให้เต็ม เราจะรับการเติมให้เต็มไม่ได้ ถ้าเราไม่เทสิ่งที่อยู่ในชีวิตของเราออกไป เพื่อให้ชีวิตของเราพร้อมจะรับการเติมให้เต็มจากพระเจ้า และในการแบ่งปันบ่ายวันนั้น จบลงด้วยพระคัมภีร์ เอเฟซัส 3:19 ( [THSV Free]) คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมคำว่า ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับคำว่า รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ใช้ภาษากรีกคำเดียวกัน คือ การรับการเติมให้เต็มเปี่ยม และสาวกบนห้องชั้นบนเวลานั้น รับการเติมให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ อาจคาดได้ว่า สาวกที่รวมตัวกันในที่แห่งเดียวกัน มีจิตใจ มีท่าทีที่พร้อมรับการเติมให้เต็มเปี่ยม นั่นหมายความว่า เขาไม่มีอะไรที่เกะกะ ขัดขวางหรือสิ่งที่รกๆในความคิด โดยเฉพาะความคิดจากมารร้าย เปโตรก็เป็นคนที่อยู่บนห้องชั้นบนนั้นคนหนึ่งที่ ครั้งหนึ่ง เปโตรถูกอิทธิพลของมารร้ายทำให้พูดสิ่งที่ขัดต่อแผนการของพระเจ้า และพระเยซูต้องขนาบความคิดของเปโตรเวลานั้น มัทธิว 16:23 23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า “อ้ายซาตานจงไปให้พ้น เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า” การรับการเติมให้เต็ม ต้องมีพื้นที่ว่างที่จะรับการเติม การทำให้พื้นที่ว่างที่จะรับก็คือการเทออกความคิดอย่างมาร พระเยซูคริสต์จึงอธิษฐานเพื่อสาวกให้พ้นจากมารร้าย และเมื่อสาวกบนห้องชั้นบนมาถึงจุดของการรับการเติมให้เต็มเปี่ยม สาวก จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด….ไม่ใช่พูดตามที่มารใส่ความคิดให้พูดอีกต่อไป สิ่งที่พวกสาวกพูดจึงทำให้พวกยิวจากทั่วโลกต่างก็พูดว่า เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง” วันนี้ เรากำลังพูดตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด หรือตามความคิดที่มารใส่ให้พูด มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เมื่อเรารับเชื่อเป็นคริสเตียน เรามีธรรมชาติใหม่เกิดขึ้น คือธรรมชาติของพระเจ้า Divine Nature และเราก็ยังมีธรรมชาติเก่าอยู่ด้วย Sinful Nature และธรรมชาติเก่านี่แหล่ะที่มารซาตานจะใช้เป็นเครื่องมือของมันโดยการใส่ความคิดที่เป็นกับดักให้ธรรมชาติเก่าตอบสนอง ที่พระคัมภีร์เรียกว่า การงานของเนื้อหนัง กาลาเทีย 5:19-26 19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า เราจะต้องต่อสู้กับเนื้อหนัง และเป้าหมายคือตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขน(ของตัวเราเอง) ต้องประหาร เราเคยรู้สึกไม๊ว่า เวลาเราไม่ได้อย่างใจ เรารู้สึกเหมือนจะขาดใจ (นี่คืออาการใกล้ตาย) แต่มีคนไม่น้อยที่พยายามดิ้นรนเพื่อยืดอายุของการไม่ได้ดั่งใจ ด้วยการตอบสนองต่อความต้องการของเนื้อหนัง แต่ข้าพเจ้าอยากจะชี้ให้พวกเราได้เห็นว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดภาวะไม่ได้อย่างใจ จงรู้เถิดว่า นี่คือจังหวะของการประหารตัวเราเอง คือ ตรึงเนื้อหนังของตัวเรา ให้มันตายไป หากเราต่ออายุให้กับความรู้สึกอยากได้ดังใจอยู่เรื่อย นั่นคือ เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังอย่างถึงที่สุด เพราะพระคัมภีร์กาลาเทียกล่าวถึงการต่อสู้เพื่อไปให้ถึงสุดทาง ก้าวต่อไปของเราจึงจะเกิดผล…โดยพระวิญญาณได้ หลายคนท้อว่า ทำไมจึงไม่เห็นผลของพระวิญญาณในตัวเอง คำตอบก็คือ ผลของเนื้อหนังได้บดบังผลของพระวิญญาณ หากต้องการเห็นผลของพระวิญญาณในชีวิตของเรา ก็จงจัดการกับเนื้อหนัง แล้วผลของพระวิญญาณก็จะเห็นชัดเจนในชีวิตของเรา และนี่คือการมีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ คือต่อสู้กับเนื้อหนังให้ถึงที่สุด คือ…..ประหารเนื้อหนังนั้น กิจการบทที่สองนี้คือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ เริ่มจากการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ เนื้อหนังทำให้เราเต็มเปี่ยมไม่ได้ เราต้องต่อสู้กับเนื้อหนัง จนสุดท้ายเอาเนื้อหนังกับความอยากและตัณหาของเนื้อหนังตรึงที่กางเขน นี่คือสุดทางของการอยู่โดยพระวิญญาณ ก้าวแรกก่อนจะไปถึงสุดทาง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าจะเริ่มต้นให้ถูก ต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้องเสียก่อน แล้ว เม็ดต่อไปก็จะพาเราไปถึงเม็ดสุดท้ายอย่างถูกต้อง ดังนั้น การอยู่กันด้วยสปิริตความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เอาวาระส่วนตัวออก อยู่กันด้วยวาระส่วนรวม คือก้าวแรก กระดุมเม็ดแรก และแน่นอน ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์ก็จะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ…โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหมือนกับที่ปรากฏในหนังสือกิจการตอนนี้ เมื่อเหล่าสาวกบนห้องชั้นบนพูดภาษาต่างๆตามที่พระวิญญาณโปรดให้พูด ทำให้เกิดบรรยากาศที่แตกต่างจากเมื่อครั้งหอบาเบลที่เมื่อมนุษย์อยู่ในที่เดียวกันพูดภาษาเดียวกันเป็นชนชาติเดียว ปฐมกาล 11:4-7 4 เขาทั้งหลายจึงว่า “มาเถิด เราจงสร้างเมืองขึ้นและก่อหอให้ยอดเทียมฟ้า ให้เราทำชื่อเสียงไว้ มิฉะนั้นเราจะต้องกระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน”5 พระเจ้าเสด็จลงมาทอดพระเนตรเมือง และหอที่มนุษย์ก่อสร้างขึ้นนั้น6 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่เขาจะทำ และเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น7 มาเถิดเราจงลงไป ทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายต่างกันไป อย่าให้เขาพูดเข้าใจกันได้”8 พระเจ้าจึงทรงทำให้เขากระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วพื้นแผ่นดิน คนเหล่านั้นก็เลิกสร้างเมืองนั้น ในยุคของหอบาเบล ใจของมนุษย์มีตัวเองอยู่เต็ม เพื่อสร้างชื่อเสียง ก็คือ การพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง ดังนั้น การรวมกันเป็นหนึ่งเดียวมีอานุภาพที่จะทำอะไรก็ทำได้ จึงไม่ใช่เวลาที่มนุษย์จะเกิดผลอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น พระเจ้าจึงทำให้ภาษาของมนุษย์นั้นวุ่นวาย พูดกันไม่เข้าใจกันได้ แต่เมื่อมาถึงยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำภารกิจการคืนดีระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าสำเร็จ และผ่านมาถึงบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเยซูคริสต์ได้ประทานให้กับคริสตจักร จึงเป็นเวลาที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะเกิดผลตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นจึงเกิดขึ้น เมื่อพระวิญญาณเสด็จมาอยู่เหนือเหล่าสาวก สิ่งแรกคือการพูดภาษาต่างๆให้คนเข้าใจ และที่ที่เหมาะสมที่สุด ณ เวลานั้น คือกรุงเยรูซาเล็ม เพราะยิวต่างชาติ ต่างภาษาทั่วใต้ฟ้าเดินทางมาด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน 5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว นี่คือคำตอบเรื่องหอบาเบลว่า ทำไมในยุคนั้น ภาษาเดียวชนชาติเดียวจึงกลายเป็นหลายภาษาหลายชนชาติ เพื่อวันนี้ หลายชนชาติ หลายภาษาจะกลับมาเป็นชนชาติเดียวภาษาเดียว ประเทศชาติของเราในวันนี้ กำลังเผชิญกับความแตกแยกที่รุนแรง แม้จะเป็นชาติเดียวกัน ใช้ภาษาเดียวกัน แต่พูดกันคนละทาง ไม่รู้เรื่อง เราทั้งหลายที่เป็นคนของพระเจ้า เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา ชีวิตของเรานับจากวันนี้ ต้องกลับมาสำรวจอีกครั้งว่า การเริ่มต้นของเราที่จะเกิดผลในพระคริสต์นั้น…โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่
1.เกิดผลเป็นธรรมชาติใหม่ กิจการ 2:6-7
6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดว่า “ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ
การเกิดผลโดยพระวิญญาณของเหล่าสาวกได้สร้างความสงสัยให้กับคนที่ได้ยิน เพราะมันคือสิ่งที่สวนทางกับธรรมชาติเก่าของเหล่าสาวก เมื่อคนที่ได้ยินต่างพูดกันว่า ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ คือความรู้สึกประหลาดใจและอัศจรรย์ใจ เพราะไม่เคยปรากฏว่า คนกาลิลีที่เป็นบ้านนอก ไร้การศึกษา หยาบ หรือไม่มีมารยาทแบบคนเมือง ทำไมจึงสามารถพูดสิ่งที่คนมีการศึกษารู้พระคัมภีร์เท่านั้นถึงจะพูดได้ และยิ่งพูดภาษาต่างชาติหลากหลายได้ด้วย ยิ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ โดยปกติ คนเหล่านี้รู้แต่ภาษาแม่ของตัวเอง ไม่เคยเรียนภาษาอื่น การพูดภาษาอื่นๆมากมายเช่นนี้ คือผลจากการพูดโดยพระวิญญาณโปรดให้พูด คำพูดจึงสวนทางกับธรรมชาติเก่า เป็นธรรมชาติใหม่ที่ไม่เคยเป็นที่รู้จักของคน การพูดตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ภาษากรีกใช้คำว่า กรอซซาเลเลีย แปลว่า การพูดภาษาลิ้น speaking in tongue พระคัมภีร์ภาษาไทย แปลว่า ภาษาแปลกๆ อ.เปาโลได้กล่าวว่า ภาษาแปลกๆจะแปลกกับคนที่ไม่รู้ภาษานั้น แต่จะมีคนที่แปลภาษานั้นได้ 1โครินธ์ 12:10 และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ ใน 1โครินธ์ 14:13 ภาษาอังกฤษใช้คำว่า unknown tongue ภาษาที่ไม่เคยรู้จัก มีภาษามากมายในโลก แต่มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ภาษาสากลที่ทุกชนชาติสามารถสื่อกันได้ คือภาษาใจ แต่ก็มีคนจำนวนมากมายเช่นกันที่ไม่รู้จักภาษาใจ บางคนสื่อภาษาลิ้นได้มากมายหลายภาษา แต่ตกม้าตายกับภาษาใจ ภาษาใจ คือการอ่านความรู้สึกนึกคิดส่วนลึกของคนซึ่งอ.เปาโลได้กล่าวไว้ใน 1โครินธ์ 13:1 1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง มีคำพูดที่ว่า ให้เราอย่าเพียงแต่ฟังภาษาปาก แต่ให้ฟังภาษาใจ 1ยอห์น 3:18 18 ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง อย่างคนไทยเราขี้เกรงใจ เวลาถามว่า สบายดีไม๊ เราก็จะได้ยินว่า สบายดี ทั้งๆที่ไม่สบาย และคนที่ไม่สนใจภาษาใจ หรือไม่แม้แต่มองภาษากาย ก็จะผ่านไปแบบหยาบๆ ไม่สนใจว่า คนที่ตัวเองถามจะสบายดีอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า เราจะเห็นตัวอย่างของสาวกของพระเยซูที่เป็นชาวกาลิลีที่คนยิวต่างชาติต่างก็รู้ว่า เป็นพวกบ้านนอก ใช้ชีวิตหยาบๆ การศึกษาก็ไม่มี แต่ผลชีวิตของเหล่าสาวกช่างสวนทางกับชาติกำเนิดหรือ พื้นเพชีวิตของเหล่าสาวก เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา สาวกเหล่านี้กลายเป็นคนที่พูดไม่เหมือนเดิม และบุคคลิกก็ไม่เหมือนเดิม เป็นคนใหม่ ลักษณะการพูดก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ซึ่งเป็นเหตุให้คนฟังรู้สึก อัศจรรย์ใจ การเกิดผลโดยพระวิญญาณ เริ่มต้นด้วยการ พูดตามที่พระวิญญาณโปรดให้พูด เป็นภาษาที่สื่อถึงใจของคนฟัง เราจะพบว่า พระเยซูคริสต์พูดทีไร คนฟังจะรู้สึกโดน พระเยซูไม่ใช้ถ้อยคำที่เสียดสี ประชดประชัน แต่เป็นถ้อยคำที่แตะชีวิต ช่วยชีวิต หนุนใจ เปิดเผยความจริงที่มาจากพระเจ้าและ ถามหาความต้องการ พระเยซูมักจะถามว่า ท่านต้องการให้เราช่วยอะไร คือท่าทีของความพร้อมในการปรนนิบัติ การดำเนินตามพระวิญญาณจะไม่กลัวการปรนนิบัติ ไม่กลัวที่จะต้องเสียเวลา ไม่กลัวที่จะจ่ายราคา จังหวะก้าวเดินของคนที่ดำเนินตามพระวิญญาณจะไปตามพระวิญญาณโปรดให้ทำ ให้พูด หรือแม้กระทั่งไม่ให้ทำและไม่ให้พูด อ.เปาโลได้แบ่งปันประสบการณ์เรื่องนี้ว่า กิจการ 16:6-7 6 พระวิญญาณบริสุทธิ์ห้ามมิให้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าในแคว้นเอเชีย ท่านเหล่านั้นจึงไปทั่วแว่นแคว้นฟรีเจียกับกาลาเทีย7 เมื่อลงไปยังที่ตรงข้ามกับแคว้นมิเซียแล้ว ก็พยายามจะไปยังแว่นแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่ทรงโปรดให้ไป เราจะเห็นการดำเนินชีวิตของอ.เปาโลและผู้ที่ร่วมทีมกับท่าน ดำเนินไปตามพระวิญญาณทุกย่างก้าว การเกิดผลของอ.เปาโลและทีมของท่าน หมอลูกาก็เป็นคนหนึ่ง ผลจากคนเหล่านี้อยู่นานนับพันปีจนถึงเราในวันนี้ คำถามสำหรับวันนี้ว่า เรากำลังดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณหรือตามความคิดที่มารวางกับดักเหยื่อล่อธรรมชาติเก่าของเราให้ติดกับ….
2.รู้จังหวะและสาระของการสื่อสาร กิจการ 2:5,8-12
5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม…..8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย10 ในแคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลียและประเทศอียิปต์ในแขวงเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน และคนมาจากกรุงโรม ทั้งพวกยิวกับคนเข้าจารีตยิว11 ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง” 12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน” คนยิวที่เดินทางมาจากทั่วโลกเพื่อมากรุงเยรูซาเล็มเพื่อพิธีกรรมทางศาสนา หรือแสดงถึงชีวิตที่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน เหมือนคนที่จาริกแสวงบุญ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pilgrimage เวลาเราพูดถึงคนที่จาริกแสวงบุญ เราจะมองคนเหล่านี้เป็นคนเอาพระเอาเจ้า เพราะฉะนั้นบรรยากาศของคนที่เดินทางมากรุงเยรูซาเล็มก็คือการมาหาพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกว่า 5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม….. คำว่า เกรงกลัวพระเจ้า ภาษากรีกแปลว่า คนที่ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง คิดอย่างรอบคอบ มีใจศรัทธา และเคร่งครัดในศาสนา คนเหล่านี้ได้รับการสื่อสารอย่างเฉพาะเจาะจงเรื่องมหกิจของพระเจ้าเป็นภาษาที่ตนเองเข้าใจ เป็นภาษาบ้านเกิด นั่นหมายถึงคนยิวเหล่านี้ไปเติบโตในต่างแดน ประเทศรอบข้างอิสราเอล ภาษาในแคว้น ประเทศ เมืองต่างๆที่พระคัมภีร์บันทึกตอนนี้แสดงว่า มีมากมายหลายภาษา และคนที่เกรงกลัวพระเจ้าเหล่านี้ได้ยินชัดเจนและเข้าใจ ข้าพเจ้าจินตนาการว่า การพูดภาษาอื่นๆของสาวกภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการพูดอย่างมีระเบียบ ลำดับ เหมือนกับที่พระคัมภีร์บันทึกลำดับภาษาต่างๆที่พวกเขาได้ยิน ถ้าสาวกพูดพร้อมๆกัน คงวุ่นวายเหมือนหอบาเบล แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เป็นการพูดที่ไม่ใช่แย่งกันพูด แต่เป็นไปตามจังวะการนำของพระวิญญาณ แสดงว่า สาวกรอกัน และรู้จังหวะเคลื่อนไปตามการนำของพระวิญญาณ ที่เร้าใจให้พูดอย่างเป็นระเบียบ คนจำนวนมากได้ยินเป็นลำดับไปด้วย จึงสามารถจับใจความว่า เนื้อความหมายถึงมหกิจของพระเจ้า นักวิชาการทางพระคัมภีร์ตีความเรื่องมหกิจของพระเจ้า ดังนี้ คือการพูดถึงการไถ่ถอน การให้อภัย การไถ่โทษ การปกป้อง การช่วยให้รอดโดยพระเมสสิยาห์ โดยการเชื่อฟังของพระองค์ การทนทุกข์ การตายของพระองค์ และการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ ถ้าสาระของมหกิจของพระเจ้าเป็นเรื่องราวเหล่านี้ ยิ่งต้องมีการลำดับที่แม่นยำ เหล่าสาวกที่กำลังเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถูกเร้าใจโดยพระวิญญาณให้พูดตามที่พระวิญญาณให้พูด แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เขาจะต้องรับรู้ความรู้สิ่งที่เขาจะพูด เพราะนี่คือคำพยานประสบการณ์ที่พวกสาวกมีกับพระเยซู แต่เป็นการเป็นพยานโดยพระวิญญาณเป็นผู้กำกับ เหมือนคอนดักเตอร์ที่กำลังนำวงออกเครสตร้าซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีหลายชิ้นให้ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวที่ไพเราะ จนสามารถแตะไปถึงใจของผู้ฟัง และคนฟังก็มีวิธีคิดวิธีวิเคราะห์ของคนที่หมอลูกาบันทึกว่า เป็นพวกยิวที่เกรงกลัวพระเจ้า คนเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงความศรัทธา แต่มีชีวิตที่ระมัดระวังอย่างที่ศรัทธาซึ่งแสดงออกเป็นความสามารถในการรับการสื่อสารจากพระเจ้า และพระเจ้าต้องการสื่อสารกับคนเช่นนี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่หยุดอยู่แค่รับการสื่อสาร แต่เขาคิดเป็นฟเป็นคนที่คิดรอบคอบ หมอลูกาจึงบันทึกวิธีคิดของคนเหล่านี้ว่า 12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน” พวกเขาต้องการจะรู้เพิ่มจากที่ได้ยินได้เห็นผลที่เกิดจากคนที่ดำเนินตามพระวิญญาณว่า พระเจ้ากำลังสื่อสารอะไรกับพวกเขา เขาจึงพูดว่า “นี่อะไรกัน” แปลว่า สิ่งที่ได้ยินมีความหมายกับชีวิตของพวกเขาอย่างไร และภายหลังเรารู้ว่าคนเหล่านี้รวมอยู่ในคนที่รับเชื่อกับเปโตรถึงสามพันคน และนำข่าวประเสริฐกลับไปยังบ้านเมืองของตน เป็นการทำพันธกิจข้ามวัฒนธรรมครั้งแรกทีเดียว ณ ที่เดียว เกิดคำพยานอย่างที่พระเยซูได้ตรัสกับเหล่าสาวก กิจการ 1:8 8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” นี่คือปฏิกิริยาแบบโดมิโน่ที่เริ่มต้นจากคนที่เกิดผลโดยพระวิญญาณและรู้จังหวะและสาระในการสื่อสาร ข่าวประเสริฐจะถูกส่งต่อไปถึงคนที่เกรงกลัวพระเจ้า แต่ความจริงอันหนึ่งที่เราควรตระหนักก็คือ ในท่ามกลางคนที่ศรัทธาในพระเจ้า ก็มีคนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งหมอลูกาก็บันทึกไว้ด้วย
3.สามารถให้คำตอบกับคนที่ไม่เข้าใจ กิจการ 2:13-15
13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่” 14 ฝ่ายเปโตรได้ยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และได้กล่าวแก่คนทั้งปวงด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยูเดียและบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า
ในบันทึกตอนนี้ ใช้คำว่า บางคนเยาะเย้ย ภาษากรีกแปลว่า คนที่แตกต่าง คือไม่ใช่คนที่เกรงกลัวพระเจ้า คนเหล่านี้ไม่เข้าใจภาษาที่เหล่าสาวกพูดตามที่พระวิญญาณโปรดให้พูด เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแรกที่พระวิญญาณต้องการจะสื่อสาร ดังนั้น คนเหล่านี้จึงฟังไม่ออก และไม่รู้ว่า สาวกพูดอะไร และเมื่อไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองได้ยิน ก็เหมาว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่”เหล้าองุ่นใหม่ จะมีดีกรีแรง ทำให้เมาเร็ว เมาหนัก แต่ในข้อต่อจากนี้ เปโตรได้ลุกขึ้นพูดภาษาท้องถิ่น แก้ข้อกล่าวหาของคนที่เยาะเย้ยเหล่านี้ ด้วยเรื่องของเวลา 15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า คนที่แตกต่างเหล่านี้คือใคร คำตอบอยู่ที่ข้อ 14 ฝ่ายเปโตรได้ยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และได้กล่าวแก่คนทั้งปวงด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยูเดียและบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด คนที่แตกต่างเหล่านี้ คือพวกยิวที่อยู่ในอิสราเอล อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ไม่เข้าใจภาษาต่างชาติที่พวกสาวกพูดตามที่พระวิญญาณโปรดให้พูด และคนเหล่านี้เมื่อไม่เข้าใจก็ตอบสนองด้วยการเยาะเย้ย นี่เป็นบทเรียนสำหรับเราทั้งหลายว่า อย่าเป็นคนเยาะเย้ยสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ เพราะนั่นอาจจะเป็นการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า แต่จงหันกลับมามองดูตัวเองว่า ทำไมถึงไม่เข้าใจ เป็นเพราะเราดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากคนที่เกรงกลัวพระเจ้า เป็นคนที่ศรัทธาแต่ไม่ระมัดระวังและไม่คิดอย่างรอบคอบหรือเปล่า สุภาษิต21:24 24 “คนมักเยาะเย้ย” เป็นชื่อของคนเย่อหยิ่งและคนจองหอง ผู้ประพฤติตัวด้วยความเย่อหยิ่งยโส คนที่ไม่เข้าใจ มักจะเยาะเย้ย นั่นหมายความว่า คนๆนั้นไม่ยอมหาคำตอบให้กับความไม่เข้าใจ แต่ได้สรุปความไม่เข้าใจนั้น เป็นคำตัดสิน กล่าวโทษ พิพากษาคนอื่น สดุดี 119:42 42 แล้วข้าพระองค์จะมีคำตอบแก่ผู้ที่เยาะเย้ยข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์วางใจในพระวจนะของพระองค์ คนที่เยาะเย้ยโดยเฉพาะการเยาะเย้ยคนที่วางใจในพระวจนะ จะหน้าแตก เพราะเขาเยาะเย้ยอย่างคนที่ไม่เข้าใจ ไม่มีคำตอบ แต่พระคัมภีร์ก็ยังให้เรารับมือกับคนประเภทแบบนี้เหมือนกับที่ผู้เขียนสดุดีก็จะต้องหาคำตอบให้กับคนที่เยาะเย้ย สุภาษิต 26:4-5 4 อย่าตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา เกรงว่าเจ้าเองจะเป็นเหมือนเขาเข้า 5 จงตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา เกรงว่าเขาจะฉลาดในสายตาของเขาเอง หากใครในท่ามกลางพวกเรา กำลังเผชิญกับการเยาะเย้ย ถากถาง ซ้ำเติม จงหันหน้าเข้าหาพระวจนะของพระเจ้า แล้วคุณจะมีคำตอบให้กับคนที่เยาะเย้ย อย่าเก็บคำเยาะเย้ยมาทำให้ตัวเองเจ็บใจ หรือเป็นรากขมขื่นที่ให้ตัวเองและคนรอบข้างเสียหาย แต่จงวางใจในพระวจนะของพระเจ้า ยึดพระวจนะของพระเจ้า ดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วเราจะหาคำตอบให้กับคนที่ไม่เข้าใจได้ ขอพระเจ้าทรงโปรดหนุนใจให้พี่น้องจงต่อสู้เพื่อชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์…โดยพระวิญญาณ
“เกิดผลในพระคริสต์…โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
1.เกิดผลเป็นธรรมชาติใหม่
2.รู้จังหวะและสาระของการสื่อสาร
3.สามารถให้คำตอบกับคนที่ไม่เข้าใจ