“ชีวิตที่เกิดผล…นำคนกลับใจใหม่”
สำหรับคนที่ยังอยู่ในชีวิตเก่า ไม่ง่ายเลยที่จะกลับใจใหม่ และอยากจะบอกว่า การไปเตือนคนที่ยังอยากอยู่ในชีวิตเก่า ให้เลิกพฤติกรรมเก่าๆ เลิกนิสัยแย่ๆ เลิกอะไรๆที่เป็นบาป คือการไปแหย่รังแตน บาดเจ็บทุกราย และอาจถึงตายได้ ก็คนมันชอบ คนมันอยาก จึงมีสำนวนที่ว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง ความปรารถนาในกิเลศตัณหาของคนเหมือนน้ำเชี่ยว คนห้ามก็คือคนที่กำลังเอาเรือไปขวาง มีแต่พังกับพัง แล้วยังไง ถ้าเราจะดำเนินชีวิตอย่างคนที่มีชีวิตที่เกิดผล….นำคนกลับใจใหม่ หมายความว่าอย่างไร บางคนอาจเข้าใจว่า การนำคนกลับใจใหม่ ทำได้แค่วิธีห้ามกับวิธีเตือน แต่ความจริง ยังมีวิธีอื่นนอกเหนือจากนี้ที่จะนำคนกลับใจใหม่ ยากอบ 5:19-20 19 พี่น้องของข้าพเจ้า ถ้าใครในพวกท่านถูกหลอกให้หลงผิดไปจากความจริงและมีคนนำเขากลับมา(กลับใจใหม่ 1971) 20 ให้คนนั้นรู้เถิดว่าผู้ที่นำคนบาปกลับจากทางผิดของเขา จะช่วยวิญญาณจิตของคนบาปนั้นให้รอดจากความตาย และจะทำให้บาปมากมายได้รับการอภัย(2011)ฉบับแปล 1971 ใช้คำว่า “ชักจูง” (ให้เขากลับใจใหม่) กับคำว่า “ช่วย” (คนบาปให้พ้นทางผิดของเขา) รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า พาเขากลับมาตรงกันข้าม คำว่า กลับใจใหม่ แปลว่า หันกลับมาตรงกันข้าม ในที่นี้ไม่ได้ใช้คำว่า กลับใจใหม่ แต่ใช้คำว่า กลับมาตรงกันข้ามกับทิศทางของความบาป ความบาปแปลว่า พลาดไปจากเป้า (น้ำพระทัยของพระเจ้า) การนำคนกลับจากการพลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าก็คือการพากลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ต้องการให้ใครก็ตามถูกพิพากษาลงโทษ 2เปโตร 3:9 พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ ความหมายของคำว่า “พินาศ” คือความตายชั่วนิรันดร์ ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด แต่ตายแบบดับสูญ ทำอย่างไรที่จะนำคนให้กลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า เป็นคำถามเพื่อหาคำตอบโดย ไม่ใช้วิธีห้าม วิธีเตือน (แบบกำปั้นทุบดิน) และไม่ใช่การเอาตัวเองไปร่วมทำบาปด้วยกัน เหมือนกับคนที่จะฉุดคนขึ้นมาจากเหว คนฉุดจะต้องยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าจึงจะมีแรงดึงคนที่อยู่ในเหวขึ้นมาได้ หากอยู่ในระดับเดียวกัน หรือต่ำกว่า มีแต่จะพากันลงเหว ดังนั้น ชีวิตที่เกิดผล….นำคนให้กลับใจใหม่จึงต้องเป็นชีวิตที่มีกำลัง มีแรงที่จะนำคน หากไม่มีเรี่ยวแรง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำคนให้กลับใจใหม่(หรือนำคนไปสู่การเปลี่ยนแปลง) ทุกวันนี้ เราอยากเห็นใครกลับใจใหม่บ้าง เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่บ้าง คนนั้นไม่ไกลจากเรา อาจเป็นลูก เป็นพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนที่เรารู้จักมักคุ้น หรือคนแปลกหน้าเพิ่งพบปะกันไม่นาน เราอยากเห็นคนดี มากกว่าเห็นคนเลวในสังคมของเรา ใครจะเป็นคนเริ่ม คงหนีไม่พ้น การเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน หากเราแต่ละคนทำบทบาทหน้าที่ของเรา ช่วยกันนำคนให้กลับมาหาพระเจ้า สังคมจะน่าอยู่กว่านี้มากมาย คำตอยอยู่ที่คริสเตียน ต้องเป็น ชีวิตที่เกิดผล…นำคนกลับใจใหม่ ชีวิตที่เกิดผลต้องพึ่งพาฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และยังต้องเข้าสู่กระบวนการภาคปฏิบัติ นั่นคือ คริสเตียนต้องเป็นนักปฏิบัติ (ไม่ใช่เคร่งศาสนา) ไม่ใช่แค่มีความรู้เพียงแค่สมองอย่างเดียว และนี่คือเส้นทางของชีวิตที่เกิดผลของสาวกของพระเยซูรุ่นแรกในหนังสือซีรี่ส์วันนี้ กิจการ 5:30-42 30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย” 33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสีและเป็นบาเรียน เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภา แล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาส อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อย แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาปสูญไป37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไป ผู้นั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายไป38 ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า” 40 เขาทั้งหลายจึงยอมฟังกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครทูตเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป41 พวกอัครทูตจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดี ที่เห็นว่าตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น42 ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆ วันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ เหตุการณ์นี้ยังอยู่ในสภาแซนเฮดดริน สภาสูงของพวกยิวในเวลานั้น ซึ่งสภานี้จะประกอบไปด้วยพวกฟาริสีและสะดูสีประจำการ แต่เนื่องการเรียกประชุมครั้งนี้เป็นความจงใจอย่างไม่ธรรมดา มหาปุโรหิตจึงได้เรียกประชุมพฤฒสภาพของชนอิสราเอลทั้งหมด นั่นแปลว่า จะมีคนที่ไม่ประจำการมาประชุมอีกด้วย คาดว่า คนที่เข้าประชุมครั้งนี้มีประมาณร้อยกว่าคน เป้าหมายคือ เพื่อจัดการกับพวกอัครทูต (สาวกของพระเยซู) เมื่อพวกอัครทูตถูกทหารพระวิหารไปเชิญมาจากการกำลังประกาศพระนามพระเยซูในบริเวณพระวิหาร อันเนื่องจากพวกอัตรทูตได้รับการช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ของพระเจ้า ทำให้พวกอัครทูตไม่ได้อยู่ในคุกหลวงอย่างที่พวกมหาปุโรหิตเข้าใจ เมื่อมหาปุโรหิตได้เจอพวกอัครทูต คำแรกก็คือ 28 “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”นี่เป็นการตำหนิในการไม่เชื่อฟังคำสั่งและและยังตั้งข้อกล่าวหาต่อพวกอัครทูตว่า ต้องการจะรื้อฟื้นการตายของพระเยซูให้เป็นความผิดของพวกมหาปุโรหิตให้ได้ 29 ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ หลังจากเปโตรกับพวกอัครทูตได้แก้คำตำหนิเรื่องการไม่เชื่อฟังคำห้ามประกาศพระนามพระเยซูของมหาปุโรหิตแล้ว ลำดับต่อไปคือการแก้ข้อกล่าวหา (ที่มหาปุโรหิตใช้กลวิธีแบบเจ้าเล่ห์ปกป้องตนเองด้วยการทำให้ความผิดของตนเองกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อสาวกของพระเยซู (เราคงจำกันได้ว่า ตอนที่พวกทหารไม่พบศพของพระเยซู มหาปุโรหิตได้ใส่ร้ายว่าพวกสาวกขโมยศพของพระเยซูไป) มาถึงครั้งนี้ สาวกยังคงประกาศว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย มหาปุโรหิตก็โบ้ยอีกว่า เป็นการหาเรื่องว่ามหาปุโรหิตทำให้พระเยซูตาย เปโตรและพวกอัครทูต จึงต้องแก้เกมความเจ้าเล่ห์ของมหาปุโรหิตอย่างตรงไปตรงมา ด้วยการพูดความจริง และไม่ได้ยอมรับข้อกล่าวหาที่มาจากการแก้ตัวของมหาปุโรหิต ด้วยการกล่าวต่อไปว่า 30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิส ราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย”ดังนั้น การประกาศพระนามของพระเยซูไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อประจานความผิดของพวกมหาปุโรหิต แต่เป็นการ 20 “….ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง”นี่เป็นการเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าผ่านมาทางทูตสวรรค์ และความจริงอีกอันหนึ่งก็คือ คำสอนที่พวกอัครทูตกำลังประกาศพระนามของพระเยซู ไม่ได้มาจากพระอื่น แต่มาจากพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่พวกมหาปุโรหิตเชื่อ เปโตรจึงใช้คำว่า พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา (อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ) เป็นการบอกว่า พวกอัครทูตไม่ได้กำลังสอนลัทธิใหม่ แต่กำลังกล่าวถึงการทำกิจของพระเจ้าในท่ามกลางคนอิสราเอล คือการทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคนที่เชื่อฟังพระเจ้าในการเป็นพยานถึงเรื่องนี้ ก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในผู้ที่เชื่อฟังก็ทรงเป็นพยานร่วมด้วย ด้วยการทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญ มีการหายโรค การขับผี คนมีความหวัง มีพลังแห่งชีวิตใหม่เกิดขึ้น เปโตรกำลังนำเสนอเนื้อหาเพื่อจะนำคนให้กลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า แต่คนที่อยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างมหาปุโรหิตและพรรคพวก ทำยังไง ก็ไม่ยอม และผลจากการไม่ยอมทำให้แสดงอารมณ์ออกมาด้วยการโกรธและมุ่งทำลาย 33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย ในยุคของเราก็มีคนที่ไม่ยอมจำนนต่อความจริง ไม่ยอมกลับมาอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อคนของพระเจ้าเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ซ่อนเร้นในตัวตนของคนๆนั้น คนเหล่านี้มักจะแสดงออกมาเป็นความโกรธ โทสะแรง พลุ่งขึ้น อย่างที่พระคัมภีร์กิจการได้บันทึกโดยหมอลูกาที่ให้รายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย อารมณ์ความรู้สึกของคน รากศัพท์ภาษากรีกตอนนี้บันทึกอาการโทสะพลุ่งขึ้น ด้วยคำว่า หัวใจถูกตัดด้วยเลื่อยออกเป็นชิ้นๆ ถ้าเป็นสำนวนบ้านเราก็อาจจะเทียบเท่ากับสำนวนคำว่า จี้ใจดำ ซึ่งเป็นคำที่ทำให้เกิดความโมโหมากๆ ความคิดที่จะฆ่าพวกอัครทูตอาจไม่ได้แสดงออกนอกหน้า แต่คนใกล้ๆก็น่าจะรู้ ซึ่งคนที่ใกล้ๆเวลานั้น ก็คือกามาลิเอล 34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสีและเป็นบาเรียน เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภา แล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี ที่นี่ เราได้เห็น ฟาริสี บาเรียนที่มีนิสัยและจิตใจดีงาม ความจริง ฟาริสีและบาเรียนควรเป็นคนที่นิสัยและจิตใจดีงาม แต่ในยุคของพระเยซูและพวกอัครทูต กลับมีฟาริสีและบาเรียนนิสัยไม่ดี และจิตใจชั่วร้ายเสียส่วนใหญ่ แต่พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้เราได้เห็นฟารีสี (คนเคร่งศาสนายิว) บาเรียน (ดร.ทางกฎหมาย) คนหนึ่งชื่อกามาลิเอล ได้ห้ามปรามพวกมหาปุโรหิตและพรรคพวกไม่ให้ฆ่าพวกอัครทูต ไม่ใช่เพราะกามาลิเอลคล้อยตามความเชื่อของพวกอัครทูต แต่สิ่งที่อัครทูตกล่าวคือการแสดงความเป็นคนยิวด้วยกันที่กำลังเป็นพยานการทำกิจของพระเจ้า ทำให้เกิดสิ่งสะกิดใจกามาลิเอล ทำให้เขาต้องลุกขึ้นพูดห้ามปรามและยกตัวอย่างของคนสองคน ได้แก่ธุดาสกับยูดาส ซึ่งอยู่ในประวัตศาสตร์ก่อนสมัยของพระเยซู ธุดาสยกตัวเองว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ และมีคนติดตามจำนวนมาก ทำให้เป็นที่เพ่งเล็งของทางโรม ภายหลังก็ถูกปราบปรามโดยทางการโรม ส่วนยูดาสก็ยกตัวเองเป็นผู้นำและพาผู้ติดตามให้ไม่ชำระภาษีแก่โรม ก็คือ การแข็งข้อกบฏต่อโรม ภายหลังก็ถูกปราบปรามโดยทางการโรม หากเราจำได้ มีครั้งหนึ่งที่พวกฟาริสีพยายามทำให้พระเยซูติดกับด้วยเรื่องการเสียส่วยให้กับจักรพรรดิซีซาร์ มัทธิว 22:17-18,21 17 เหตุฉะนั้นขอโปรดให้พวกข้าพเจ้าทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้แก่จักรพรรดิซีซาร์นั้น ควรหรือไม่”18 พระเยซูทรงทราบเจตนาร้ายของเขาจึงตรัสว่า “โอ คนหน้าซื่อใจคด มาจับผิดเราทำไม…..แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” พระเยซูไม่ได้มาเพื่อให้คนยิวแข็งข้อหรือกบฏต่อโรม ซึ่งในใจของคนยิวล้วนอยากกบฏและแข็งข้อต่อโรมอย่างมาก และกำลังมองหาผู้นำที่จะนำพวกเขาให้ได้ทำอย่างที่ใจอยาก เหมือนกับเราในยุคนี้ ที่มีแนวโน้มอยากจะทำบาป และเราก็มักมองหาคนที่จะนำเราให้เป็นอย่างนั้น ดังนั้น การที่กามาลิเอลห้ามปรามไม่ให้ทำร้ายพวกอัครทูต เกิดจากจิตใจที่ดีงามของกามาลิเอล ส่วนการยกตัวอย่างสองคนที่ภายหลังพินาศทั้งคู่ คือการที่กามาลิเอลก็ยังไม่เห็นด้วยกับการประกาศยกย่องพระเยซูเป็นพระคริสต์ แต่คำว่า พระคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์ในใจของคนยิวทุกคน ก็ยังคงเป็นที่คาดหวังว่าจะเป็นผู้ปลดปล่อยยิวออกจากอาณาจักรโรม นั่นก็ยังคงนำให้แข็งข้อกบฏกับโรม ซึ่งกามาลิเอลได้ละไว้ให้คนเหล่านี้คิด…ถึงโอกาสที่พวกอัครทูตจะพินาศอย่างสองคนในตัวอย่างมีสูง จึงไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวให้ตนเองแปดเปื้อน 38 ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง นี่คือวิสัยของฟาริสีที่ยังคงรักษาตัวรอดเป็นยอดดี และคำสุดท้ายที่อยู่หมัดก็คือ 39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า”ชีวิตที่เกิดผล…นำคนให้กลับใจใหม่ คือการกลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า ในตอนนี้ พระเจ้าทรงใช้พวกอัครทูตที่ยังยืนหยัดเชื่อพระเจ้ายิ่งกว่ามนุษย์ มีผลทำให้กามาลิเอลมาถึงบทบาทนำคนให้กลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้าด้วยเช่นกัน และบทเรียนสำหรับเราในวันนี้ สำหรับชีวิตที่เกิดผล…นำคนกลับใจใหม่
1.มีราคาที่ต้องจ่าย กิจการ 5:40
40 เขาทั้งหลายจึงยอมฟังกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครทูตเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป พวกอัครทูตไม่รู้ว่า กามาลิเอลพูดอะไรกับพวกมหาปุโรหิต เพราะถูกกันออกไปนอกห้องชั่วคราว และเมื่อถูกเรียกกลับเข้ามาก็ถูกเฆี่ยนโดยไม่มีคำอธิบาย หรือบทสรุปการไต่สวน การเฆี่ยนในที่นี้คือการเฆี่ยน 39ทีอย่างที่พระเยซูถูกเฆี่ยน พวกอัครทูตสิบสองคนถูกเฆี่ยนหมดทุกคน เป็นการเฆี่ยนที่สร้างริ้วรอยแผลที่น่าอับอาย เป็นการลงโทษที่ทำให้เกิดความอับอาย เพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่ถูกข้อหาทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม การกระทำเช่นนี้เพื่อให้เกิดการเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่ง่ายนักสำหรับคนที่ไม่ได้ความผิด แต่ถูกลงโทษอย่างคนที่ทำความผิดร้ายแรง และถูกประจานด้วยบาดแผลบนเนื้อตัวของเขาตลอดไป ชีวิตที่เกิดผล….นำคนให้กลับใจใหม่ หรือนำคนให้หันกลับมาอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า หรือนำให้แผนการพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไป มีราคาที่ต้องจ่าย และที่นี่ คือเส้นทางของคนที่มีชีวิตที่เกิดผลทุกคนต้องเดินผ่าน เพียงแต่ว่า ราคาที่ต้องจ่ายในยุคของเราวันนี้ อาจแปรสภาพไปเป็นรูปแบบอื่น เราไม่สามารถจะมีชีวิตที่เกิดผลในพระเจ้าและนำคนกลับใจใหม่โดยปฏิเสธการจ่ายราคาที่ต้องจ่าย มีคริสเตียนไม่น้อยที่พยายามจะมีชีวิตที่เกิดผล ด้วยการประกาศพระนามพระเยซู แต่หนีการจ่ายราคา บางคนแค่เอาใบปลิวไปแจก แล้วก็ไม่เป็นพยาน แจกแต่ใบปลิวอย่างเดียว บางคนไปพูดเรื่องพระเจ้ามากมาย แต่ชีวิตไม่เป็นพยาน แล้วก็ทิ้งท้ายไว้ให้คนที่ฟังคิดเอาเอง เรากำลังหนีความรับผิดชอบที่ต่อเนื่อง และบางคนก็พูดความจริงไม่หมด เพราะกลัวต้องจ่ายราคาเป็นการต่อต้าน หรือการถูกปฏิเสธที่ตนเองไม่อยากจะเผชิญ ดูเหมือนเราจะพยายามเกิดผลแบบไปไม่สุดซอย ไปครึ่งๆกลางๆ และอะไรเกิดขึ้นกับคำว่าคริสเตียน คนที่เคยมีประสบการณ์กับคริสเตียนที่พยายามทำอะไรครึ่งๆกลางๆ กลายเป็นประสบการณ์ในทางลบ เพราะคริสเตียนไม่ยอมจ่ายราคาที่ต้องจ่าย วิถีชีวิตคริสเตียนเราทุกวันนี้ กลายเป็นการดำเนินชีวิตกลัวการจ่ายราคาแห่งการเกิดผล…นำคนกลับใจใหม่ เรากลัวเปลืองตัว กลัวลำบาก กลัวเสียเวลา กลัวเสียเงินเสียค่าใช้จ่าย ถ้าจะใช้เวลากับคนบาปให้เขาหันกลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้าหรือเข้าใกล้พระเจ้า ความกลัวต่างๆนาๆ ทำให้คริสเตียนไม่น้อยดำเนินชีวิตทำให้คนยิ่งห่างไกลจากพระเจ้า มัทธิว 12:30 30 ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป ความหมายของพระเยซูคริสต์เจ้าตอนนี้หมายถึง การดำเนินชีวิตของเราในวันนี้ กำลังทำให้คนห่างไกลพระเจ้าหรือยิ่งเข้ามาใกล้พระเจ้า วิธีพูด วิธีปฏิสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง เพื่อนบ้าน คนที่ทำงาน ลูกค้า เจ้านาย หรือคนที่เราเป็นลูกค้าเขาอยู่ เราใช้ชีวิตแบบไหนในโลกนี้ เรากลมกลืนกับคนเหล่านั้น จนแยกไม่ออกว่า เราเหมือนเขา หรือเขาเหมือนเรา การข่มเหงของมหาปุโรหิตในยุคนั้นทำด้วยวิธี เฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป เพื่อสร้างริ้วรอยไว้ให้พวกอัครทูตให้หยุดรวบรวมคนเข้าใกล้พระเจ้า แล้วริ้วรอยแห่งการถูกเฆี่ยนในยุคนี้คืออะไร อย่าให้ความล้มเหลวในการนำคนอย่างมหาปุโรหิต(คนที่ไม่ยอมกลับใจ) กลายเป็นความกลัวและหยุดที่จะรวบรวมคนให้เข้าหาพระเจ้า คำกำชับไม่ให้ออกพระนามพระเยซูในยุคของเรา คืออะไร (คนที่มีอำนาจที่เราต้องเชื่อฟังหรือเปล่า) เราตระหนักหรือไม่ว่า เรามีคำที่มาจากพระเจ้าที่เราต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว 20 “….ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง”หากเรากลัวการจ่ายราคาเมื่อต้องเชื่อฟังพระเจ้า เรากำลังเลือกที่จะรับค่าจ้างในการเชื่อฟังคำกำชับของมนุษย์ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสถึงผู้รับค่าจ้าง จะไม่ยอมจ่ายราคา (สละชีวิตของตนเพื่อแกะ) ยอห์น 10:11-13 11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ12 ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป13 เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย เปโตรและพวกอัครทูตเป็นผู้เลี้ยงที่ไม่หนี แต่ยอมจ่ายราคา เพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกจ้าง การอยู่เพื่อจ่ายราคา คือการแสดงตนเองเป็นผู้เลี้ยงแกะ พระเยซูได้ตรัสกับเปโตรถึงสามครั้ง ยอห์น 21:17 17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “เจ้ารักเราหรือ” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด นั่นคือนัยยะที่บอกว่า คริสเตียนที่รักพระเยซูจะต้องเลี้ยงแกะของพระองค์เช่นกัน คือการจ่ายราคา มิใช่รับค่าจ้าง วันนี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอย่างลูกจ้างหรือผู้จ่ายราคา
2.ความรู้สึกร่ำรวยความยินดี กิจการ 5:41-42
41 พวกอัครทูตจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดี ที่เห็นว่าตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น42 ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆ วันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
คำว่า ความยินดี รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า ความรู้สึกสดชื่น ความสุขสงบ ความรู้สึกร่ำรวยความยินดี (มีมากมาย) แท้จริงพระเยซูได้พยากรณ์ถึงสาวกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะพบความสุขได้อย่างไร มัทธิว 5:11 11 “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข และก็เกิดขึ้นจริงในกิจการบทที่ห้านี้ ทุกวันนี้ เราได้เห็นผู้คนมากมายกำลังดำเนินชีวิตอย่างคนที่ซื้อหาความยินดี (ความรู้สึกสดชื่น ความสุขสงบ แต่ไปไม่ถึงความร่ำรวยความยินดี) ความยินดีหมดไปเมื่อเงินหมด เวลาพักหมด ความยินดีถูกจำกัดไว้ด้วยเงื่อนไข สถานการณ์ที่ดีอย่างเดียว แย่ไม่ได้ ความยินดีเหมือนถูกขโมยไป มีการ์ตูนล้อการเมืองอันหนึ่ง วาดภาพว่า ความสุขที่คืนให้กับประชาชนเวลานี้คือของจริงหรือเปล่า แล้วก็เขียนภาพคนหน้าเหลี่ยมกำลังถือโซ่ล่ามความสุขของจริงเอาไว้ ข้าพเจ้าอยากจะเปลี่ยนภาพคนที่ถือโซ่นี้ คือตัวเราเอง เราพยายามไปหาความสุขจากที่อื่นๆด้วยการกิน การดื่ม เที่ยวเล่น หรือแม้กระทั่งเป็นพาลเกเร แต่ความจริงความสุขอยู่ใกล้ตัวเรามาก คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูเรื่องเป็นสุข หากเราไปอ่านดีๆ เราจะพบว่า ล้วนเป็นความสุขที่อยู่ใกล้ตัวเราทั้งนั้น มัทธิว 5:3-12 3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา 4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม 5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก 6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์ 7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ 8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า 9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร 10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา 11 “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน คำสอนของพระเยซูกำลังบอกเราว่า ไม่ต้องไปกระเสือกกระสนกับการแสวงหาความสุขด้วยวิธีต่างๆนาๆ เพียงแต่เราสำรวจตัวเราเองในแต่ละวันให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เราจะมีความรู้สึกสดชื่น ร่ำรวยความยินดี โดยไม่ต้องไปเสียสตังค์ และวิถีชีวิตของเราจะเป็นชีวิตที่เกิดผล….นำคนกลับใจใหม่ คือหันกลับมาสู่น้ำพระทัยพระเจ้าได้ทุกวันอย่างพวกอัครทูต 42 ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆ วันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ แม้ว่าจะมีรอยเฆี่ยน มีคำขู่กำชับ คำห้าม แต่พวกอัครทูตร่ำรวยความยินดีและยังสามารถดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังคำของพระเจ้ายิ่งกว่าคำของมนุษย์ ด้วยความสุขความยินดีที่เปี่ยมล้น มิใช่ด้วยความขมขื่น ทุกๆวัน เรากำลังประกาศว่า พระเยซูเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์) พระผู้นำในชีวิตของเราเพื่อเราจะเชื่อฟังพระเจ้า หรือเรากำลังประกาศผู้นำคนอื่นที่จะนำเราหันออกไปอยู่ตรงกันข้ามกับต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เราสำรวจตัวเราเวลานี้
“ชีวิตที่เกิดผล…นำคนกลับใจใหม่”
1.มีราคาที่ต้องจ่าย
2.ความรู้สึกร่ำรวยความยินดี