“ชีวิตที่เกิดผล….ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนมากกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง”

จิตแพทย์กำลังรักษาคนไข้เป็นกลุ่มและเป็นหญิงแม่ลูกอ่อน 4 คนพร้อมลูกน้อย “พวกคุณทั้งสี่ล้วนแต่มีสิ่งครอบงำจิตใจ” จิตแพทย์กล่าวกับคนไข้แล้วหันไปทางคุณแม่คนแรก “คุณมีจิตใจจ่ออยู่ที่เรื่องกิน เพราะเหตุนี้คุณถึงได้ตั้งชื่อลูกว่า ลูกกวาด” หมอหันไปทางคุณแม่คนที่สอง “คุณเองก็คิดถึงแต่เรื่องเงิน จึงตั้งชื่อลูกว่าสตางค์”  “ส่วนคุณ…”หมอชี้ไปที่คุณแม่คนที่สาม “คุณหมกหมุ่นอยู่กับของมึนเมา คุณก็เลยตั้งชื่อลูกว่า เบียร์” ไม่ทันที่หมอจะพูดอะไรต่อ คุณแม่คนที่สี่ รีบคว้ามือลูกแล้วกระซิบบอกว่า “เรากลับกันเถอะ บักหำ”  เรื่องเล่านี้อาจดูตลกๆแกมทะลึ่ง แต่ก็เป็นความจริงในชีวิตของคนมากมาย  ความจริงพระคัมภีร์ได้พูดถึงสิ่งที่ครอบงำจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่  ที่เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนไม่อาจจะมองข้ามได้ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก ฟิลิปปี 3:18-19 18 เพราะ​ว่า มี​คน​หลาย​คน​ที่​ประพฤติ​ตัว​เป็น​ศัตรู​ต่อ​กางเขน​ของ​พระ​คริสต์​ ซึ่ง​ข้าพเจ้า​ได้​บอก​ท่าน​ถึง​เรื่อง​ของ​เขา​หลาย​ครั้ง​แล้ว และ​บัดนี้​ยัง​บอก​ท่าน​อีก​ด้วย​น้ำตา​ไหล​19 ปลายทาง​ของ​คน​เหล่า​นั้น​คือ​ความ​พินาศ ​พระ​ของ​เขา​คือ​กระเพาะ เขา​ยก​ความ​ที่​น่า​อับ​อาย​ของ​เขา​ขึ้น​มา​โอ้​อวด เขา​สนใจ​ใน​วัตถุ​ทาง​โลก​  อ.เปาโลได้กล่าวถึงสิ่งที่ครอบงำจิตใจของคนที่นำไปสู่ความพินาศ นั่นคือ เรื่องของการกิน คนไทยมีสำนวนเรื่องการดำรงชีพอยู่รอดเกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้อง ที่ทุกวันนี้ ต้องทำงานหากิน ต้องอดหลับอดนอน หรือการอยู่ไปวันๆก็เกี่ยวข้องกับเรื่องกินทั้งสิ้น ถึงเวลาเช้า เวลาเที่ยง เวลาเย็น ก็ต้องกิน กลายเป็นวิถีชีวิต เป็นหน้าที่ประจำวันที่เรื่องกินกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนมีคำพูดหนึ่งออกแนวๆเสียดสี ทำนองว่า จะอยู่เพื่อกิน หรือจะกินเพื่ออยู่  คำสอนในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการกิน  โรม 14:17 17 เพราะ​ว่า​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​นั้น​ไม่ใช่​การ​กิน​และ​การ​ดื่ม แต่​เป็น​ความ​ชอบธรรม​และ​สันติ​สุข และ​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี​ใน​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​  นั่นหมาย ความว่า เรื่องกินและดื่มไม่ใช่สาระสำคัญที่สุด แต่เรื่องจิตวิญญาณมาก่อน  เมื่อครั้งที่พระเยซูถูกมารทดลองเรื่องของการกิน พระเยซูทรงตอบโต้ด้วยพระวจนะว่า มัทธิว 4:4  4 ฝ่าย​พระ​องค์​ตรัส​ตอบ​ว่า “มี​พระ​คัมภีร์​เขียน​ไว้​ว่า ‘มนุษย์​จะ​บำรุง​ชีวิต​ด้วย​อาหาร​สิ่ง​เดียว​หา​มิได้ แต่​บำรุง​ด้วย​พระ​วจนะ​ทุก​คำ ซึ่ง​ออกมา​จาก​พระ​โอษฐ์​ของ​พระ​เจ้า’  แม้แต่มารซาตานก็ใช้เรื่องกินเป็นเรื่องทดลองเรื่องแรก  พระเยซูรับมือกับการทดลองด้วยการใส่ใจกับสิ่งที่มาจากพระเจ้าผู้อยู่เบื้องบน มากกว่าเรื่องของกระเพาะที่อยู่เบื้องล่าง  พระคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงผลจากการใส่ใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง เรื่องการกิน ปลาย ทางคือความพินาศ   คำถามก็คอว่า  แล้วระหว่างทางก่อนถึงความพินาศ ชีวิตจะเป็นอย่างไร คำตอบอยู่ที่ กาลาเทีย 6:8  8 ผู้​ที่​หว่าน​ใน​ย่าน​เนื้อ​หนัง​ของ​ตน ​ก็​จะ​เกี่ยว​เ​ก็​บ​ความ​เปื่อย​เน่า​จาก​เนื้อ​หนัง​นั้น แต่​ผู้​ที่​หว่าน​ใน​ย่าน​พระ​วิญญาณ ​ก็​จะ​เกี่ยว​เ​ก็​บ​ชีวิต​นิรันดร์​จาก​พระ​วิญญาณ​นั้น​ คำว่า หว่าน ก็คือ การให้ความสนใจ  หากเราให้ความสนใจกับเรื่องของเนื้อหนัง  เราก็จะรับผลจากสิ่งย้อนกลับมาเป็นความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนัง  รากศัพท์ภาษากรีกตรงนี้แปลว่า ความเสื่อม (อย่างต่อเนื่อง) และการลงโทษ เพราะเนื้อหนังมีแต่จะเสื่อมไป แต่จิตวิญญาณให้ชีวิตที่จำเริญขึ้น  พระคัมภีร์ตอนนี้ยังกล่าวถึงการหว่านในย่านพระวิญญาณ ก็คือการให้ความสนใจสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบน เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงแต่สิ่งที่มาจากพระเยซูเท่านั้น ยอห์น 14:26 26 แต่​องค์​ผู้ช่วย​คือ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ซึ่ง​พระ​บิดา​จะ​ทรง​ใช้​มา​ใน​นาม​ของ​เรา​นั้น จะ​ทรง​สอน​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ทุก​สิ่ง และ​จะ​ให้​ท่าน​ระลึก​ถึง​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​ได้​กล่าว​ไว้​แก่​ท่าน​แล้ว​ หลายคนมักจะมีคำถามกับตัวเองว่า เมื่อไรที่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงชัดเจนในชีวิตของตน ข้าพเจ้าให้ข้อสังเกตว่า หากเราหยุดการหว่านย่านเนื้อหนังหรือหยุดการให้ความสำคัญกับความต้องการของตนเอง เมื่อนั้น ผลพระวิญญาณ หรือสิ่งที่เราจะเกี่ยวเก็บในย่านพระวิญญาณจะเด่นชัดขึ้นมาทันที  เนื่องจากความผลที่ได้จากการเกี่ยวเก็บในความเปื่อยเน่าของเนื้อหนังได้บดบังผลพระวิญญาณ มาระโก 4:18-19 18 และ​พืช​ซึ่ง​หว่าน​กลาง​หนาม​นั้น ได้แก่​บุคคล​ที่​ได้​ฟัง​พระ​วจนะ​19 แล้ว​ความ​กังวล​ตาม​ธรรมดา​โลก และ​ความ​ลุ่ม​หลง​ใน​ทรัพย์​สมบัติ และ​ความ​โลภ​ใน​สิ่ง​อื่นๆ ได้​เข้า​มา​และ​รัด​พระ​วจนะ​นั้น จึง​ไม่​เกิดผล​  นี่ก็เป็นภาพของการใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง จนชีวิตไม่สามารถเกิดผลได้ เหมือนพืชที่หว่านกลางหนาม ดังนั้น  ชีวิตที่จะเกิดผล…ควรต้องใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนมากกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง เราจะมาดูชีวิตที่เกิดผลของคริสเตียนยุคแรกอย่างสเทเฟน ที่ใส่ใจในสิ่งที่อยู่เบื้องบนแล้วเกิดอะไรขึ้น กิจการ 7:1-3,8,17,35,37,39,45-60(สเทเฟนสู้คดี) 1 มหา​ปุโรหิต​ประจำการ จึง​ถาม​ว่า “เรื่อง​นี้​จริง​หรือ”2 ฝ่าย​สเทเฟน​จึง​ตอบ​ว่า “ดูก่อน​พี่​น้อง​และ​ท่าน​ผู้ใหญ่​ทั้ง​หลาย ขอ​ฟัง​เถิด ​พระ​เจ้า​ผู้​กอปร​ด้วย​พระ​สิริ​ได้​ปรากฏ​แก่​อับราฮัม​บิดา​ของ​เรา…3 และ​ได้​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า ‘เจ้า​จง​ออก​จาก​เมือง​และ​ญาติ​พี่​น้อง​ของ​เจ้า ไป​ยัง​ดินแดน​ที่​เรา​จะ​สำแดง​ให้​เจ้า’….8 ​พระ​เจ้า​จึง​ได้​ทรง​ตั้ง​พันธสัญญา​พิธี​เข้า​สุหนัตไว้​กับ​อับราฮัม เหตุ​ฉะนั้น​เมื่อ​อับราฮัม​มี​บุตร​ชื่อ​อิสอัค จึง​ให้​เข้า​สุหนัต​​ใน​วันที่​แปด อิสอัค​มี​บุตร​ชื่อ​ยาโคบ และ​ยาโคบ​มี​บุตร​สิบ​สอง​คน​ซึ่ง​เป็น​บรรพ​บุรุษ​ของ​เรา…​17 “ใกล้​เวลา​ตาม​พระ​สัญญา​ซึ่ง​พระ​เจ้า​ได้​ตรัส​กับ​อับราฮัม ชน​ชาติ​อิสราเอล​ได้​ทวี​มาก​ขึ้น​ใน​ประเทศ​อียิปต์​….35 “โมเสส​ผู้​นี้​ซึ่ง​ถูก​เขา​ปฏิเสธ โดย​กล่าว​ว่า ‘ใคร​ได้​ตั้ง​เจ้า​ให้​เป็น​ผู้​ครอบ​ครอง​และ​ผู้​พิพากษา​พวก​เรา’ โดย​มือ​ของ​ทูตสวรรค์ ซึ่ง​ได้​ปรากฏ​แก่​ท่าน​ที่​พุ่ม​ไม้ ​พระ​เจ้า​ทรง​ใช้​โมเสส​คน​นี้​แหละ ให้​เป็น​ทั้ง​ผู้​ครอบ​ครอง​และ​ผู้ช่วย​ให้​พ้น​….37 โมเสส​คน​นี้​แหละ​ได้​กล่าว​แก่​ชน​ชาติ​อิสราเอล​ว่า ‘พระ​เจ้า​จะ​ทรง​ประทาน​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ผู้​หนึ่ง​ให้​เกิด​มา​เพื่อ​ท่าน จาก​พี่​น้อง​ของ​ท่าน เหมือน​อย่าง​ที่​ให้​ข้าพเจ้า​เกิด​มา’….39 บรรพ​บุรุษ​ของ​เรา​ไม่​ยอม​ฟัง​โมเสส​ผู้​นี้ แต่​ได้​ผลัก​ไส​ท่าน​ให้​ไป​จาก​เขา ด้วย​มี​ใจ​ปรารถนา​จะ​กลับไป​ยัง​แผ่นดิน​อียิปต์​….45 ฝ่าย​บรรพ​บุรุษ​ของ​เรา​เมื่อ​ได้รับ​เต็นท์​นั้น​จึง​ขน​ตาม​โยชูวา​ไป เมื่อ​ได้​เข้า​ยึด​แผ่นดิน​ของ​บรรดา​ประชาชาติ ซึ่ง​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ขับ​ไล่​ไป​ให้​พ้น​หน้า​บรรพ​บุรุษ​ของ​เรา เต็นท์​นั้น​ก็​มี​สืบ​มา​จนถึง​สมัย​กษัตริย์​ดาวิด​46 ดาวิด​นั้น​มี​ความ​ชอบ​เฉพาะ​พระ​เจ้า และ​ขอ​พระ​อนุญาต​ที่​จะ​หา​พระ​นิเวศ​สำหรับ​พระ​เจ้า​ของ​ยาโคบ47 แต่​ซาโลมอน​เป็น​ผู้​ได้​ทรง​สร้าง​พระ​นิเวศ​สำหรับ​พระ​องค์48 ถึง​กระนั้น​ก็​ดี​องค์​ผู้​สูงสุด​หา​ได้​ประทับ​ใน​พระ​นิเวศ ซึ่ง​มือ​มนุษย์​ได้​ทำ​ไว้​ไม่ ตาม​ที่​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ได้​กล่าว​ไว้​ว่า 49 ‘สวรรค์​เป็น​บัลลังก์​ของ​เรา และ​แผ่นดิน​โลก​เป็น​แท่น​รองเท้า​ของ​เรา เจ้า​จะ​สร้าง​นิเวศ​อะไร​สำหรับ​เรา หรือ​ที่​พำนัก​ของ​เรา​อยู่​ที่​ไหน 50 สิ่ง​เหล่า​นี้​มือ​ของ​เรา​ได้​ทำ​ไว้​ทั้งสิ้น​มิใช่​หรือ’51 “โอ คน​ชาติ​หัวแข็ง​ใจ​ดื้อ​หู​ตึง ท่าน​ทั้ง​หลาย​ขัดขวาง​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​อยู่​เสมอ บรรพ​บุรุษ​ของ​ท่าน​ทำ​อย่างไร ท่าน​ก็​ทำ​อย่าง​นั้น​ด้วย52 มี​ใคร​บ้าง​ใน​พวก​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ซึ่ง​บรรพ​บุรุษ​ของ​ท่าน​มิได้​ข่ม​เหง และ​เขา​ได้​ฆ่า​บรรดา​คน​ที่​พยากรณ์​ถึง​การ​เสด็จ​ของ​องค์​ผู้​ชอบธรรม บัดนี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้​อายัด​พระ​องค์​ไว้​และ​ฆ่า​เสีย​53 คือ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ผู้​ที่​ได้รับธรรม​บัญญัติ​จาก​เหล่า​ทูตสวรรค์ แต่​หา​ได้​ประพฤติ​ตาม​ธรรม​บัญญัติ​นั้น​ไม่” 54 เมื่อ​เขา​ทั้ง​หลาย​ได้​ยิน​ดังนั้น​ก็​รู้สึก​บาด​ใจ และ​ขบ​เขี้ยว​เคี้ยว​ฟัน​เข้า​ใส่​สเทเฟน​55 ฝ่าย​สเทเฟน​ป​ระ​กอบ​ด้วย​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ได้​เขม้น​ดู​สวรรค์​เห็น​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า และ​พระ​เยซู​ทรง​ยืน​อยู่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​56 แล้ว​ท่าน​ได้​กล่าว​ว่า “ดู​เถิด ข้าพเจ้า​เห็น​ท้องฟ้า​แหวก​เป็น​ช่อง และ​บุตร​มนุษย์​ยืน​อยู่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า”57 แต่​เขา​ทั้ง​หลาย​ร้อง​เสียง​ดัง​และ​อุด​หู​วิ่ง​กรู​กัน​เข้า​ไป​ยัง​สเทเฟน​58 แล้ว​ขับ​ไล่​ท่าน​ออก​จาก​กรุง​และ​เอา​หิน​ขว้าง ฝ่าย​คน​ที่​เป็น​พยาน​ปรักปรำ​สเทเฟน​ ได้​ฝาก​เสื้อผ้า​ของ​ตน​วาง​ไว้​ที่​เท้า​ของ​ชาย​หนุ่ม​คน​หนึ่ง​ชื่อ​เซาโล​59 เขา​จึง​เอา​หิน​ขว้าง​สเทเฟน​ เมื่อ​กำลัง​อ้อน​วอน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​อยู่​ว่า “ข้า​แต่​พระ​เยซู​เจ้า ขอ​ทรง​โปรด​รับ​จิต​วิญญาณ​ของ​ข้า​พระ​องค์​ด้วย”60 ​สเทเฟน​ก็​คุกเข่า​ลง​ร้อง​เสียง​ดัง​ว่า “ข้า​แต่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​โปรด​อย่า​ทรง​ถือ​โทษ​เขา​เพราะ​บาป​นี้” เมื่อ​กล่าว​เช่นนี้​แล้ว​ก็​ล่วง​หลับ​ไป​   การจับสเทเฟนมาที่สภาซานเฮดดรินก็เนื่องจาก10 คน​เหล่า​นั้น​สู้​คำ​ที่​ท่าน​กล่าว​อัน​ประกอบ ด้วย​สติปัญญา และ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ไม่ได้  พวกยิวนิยมกรีกมาไล่เลียงกับสเทเฟนก็เพื่อจะแสดงความรู้ที่ตนคิดว่ามีดีกว่าคนอื่น แต่เมื่อไม่สามารถสู้คำของสเทเฟนได้ จึงสร้างการจราจลและใช้เป็นโอกาสจับสเทเฟนมาที่สภาซานเฮดดริน ซึ่งเป็นที่ที่มีคนที่มีตำแหน่ง มีอาวุโส  เป็นผู้รู้ เป็นอาจารย์ นักปราชญ์ คนมีปัญญา มีความรู้เรื่องธรรมบัญญัติอย่างแตกฉาน และตั้งข้อกล่าวหาเพื่อสเทเฟนจะต้องถูกไต่สวนในประเด็นเกี่ยวกับศาสนา และการไต่สวนก็เริ่มต้นโดย 1 มหา​ปุโรหิต​ประจำการ จึง​ถาม​ว่า “เรื่อง​นี้​จริง​หรือ”สเทเฟนจึงต้องสู้คดีนี้ด้วยการ  เริ่มต้นเรียบเรียง บรรพบุรุษตั้งแต่อับราฮัม  อิสอัค ยาโคบ และชนเผ่าอิสราเอลสิบสองเผ่า จนมาถึงโมเสส  โยชูวา ดาวิด และบรรดาผู้เผยพระวจนะ จนถึงปัจจุบัน ต่างมุ่งเป้าหมายไปถึงองค์ผู้ชอบธรรมที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ให้เสด็จมาในภายหลัง ไม่ใช่ประเด็นของวิหารหรือธรรมบัญญัติของโมเสสที่คนยิวและพวกมหาปุโรหิตต่างหลงประเด็น และมุ่งที่จะปกป้องอย่างงมงายโดยเอาพระเจ้ามาอ้าง จนได้ฆ่าคนบริสุทธิ์ ชอบธรรมที่พระเจ้าได้ประทานให้มา คำสู้คดีของสเทเฟนคือการวิเคราะห์ถึงการใส่ใจของคนพวกนี้อยู่ที่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง คือ วิหารและธรรมบัญญัติ ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญที่สุดของพระเจ้าเลย และในความเป็นจริงเกี่ยวกับวิหารก็คือไม่ใช่ที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่มนุษย์พยายามจะให้เป็น  48 ถึง​กระนั้น​ก็​ดี​องค์​ผู้​สูงสุด​หา​ได้​ประทับ​ใน​พระ​นิเวศ ซึ่ง​มือ​มนุษย์​ได้​ทำ​ไว้​ไม่ ตาม​ที่​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ได้​กล่าว​ไว้​ว่า 49 ‘สวรรค์​เป็น​บัลลังก์​ของ​เรา และ​แผ่นดิน​โลก​เป็น​แท่น​รองเท้า​ของ​เรา เจ้า​จะ​สร้าง​นิเวศ​อะไร​สำหรับ​เรา หรือ​ที่​พำนัก​ของ​เรา​อยู่​ที่​ไหน 50 สิ่ง​เหล่า​นี้​มือ​ของ​เรา​ได้​ทำ​ไว้​ทั้งสิ้น​มิใช่​หรือ  ให้เราระวังวิญญาณศาสนาที่จะทำให้เราหลงประเด็น และไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญ  และดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างไร้แก่นสาร  ซึ่งเป็นลักษณะของคนในยุคสุดท้าย  2ทิโมธี 3:4-5 ….รัก​ความ​สนุก​ยิ่ง​กว่า​รัก​พระ​เจ้า​5 ถือ​ศาสนา​แต่​เปลือก​นอก ส่วน​แก่น​แท้​ของ​ศาสนา​เขา​ไม่​ยอมรับ พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังหมายถึงคริสเตียนที่หลงไปกับลักษณะของคนในยุคสุดท้าย มีแต่คนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นที่จะถือศาสนาแต่เปลือกนอก และรักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า นั่นคือการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างผิดทิศผิดทาง  และยังต่อต้านสิ่งที่มาจากเบื้องบน ซึ่งสเทเฟนได้กล่าวโดยพระวิญญาณต่อไปว่า 51 “โอ คน​ชาติ​หัวแข็ง​ใจ​ดื้อ​หู​ตึง ท่าน​ทั้ง​หลาย​ขัดขวาง​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​อยู่​เสมอ บรรพ​บุรุษ​ของ​ท่าน​ทำ​อย่างไร ท่าน​ก็​ทำ​อย่าง​นั้น​ด้วย52 มี​ใคร​บ้าง​ใน​พวก​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ซึ่ง​บรรพ​บุรุษ​ของ​ท่าน​มิได้​ข่ม​เหง และ​เขา​ได้​ฆ่า​บรรดา​คน​ที่​พยากรณ์​ถึง​การ​เสด็จ​ของ​องค์​ผู้​ชอบธรรม บัดนี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้​อายัด​พระ​องค์​ไว้​และ​ฆ่า​เสีย​53 คือ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ผู้​ที่​ได้รับธรรม​บัญญัติ​จาก​เหล่า​ทูตสวรรค์ แต่​หา​ได้​ประพฤติ​ตาม​ธรรม​บัญญัติ​นั้น​ไม่”  ในปัจจุบันนี้ คนที่รู้จักธรรมบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ คริสเตียนคือคนที่จะข่มเหงผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพราะผู้เผยพระวจนะจะมาเพื่อจะเตือนคริสเตียนเท่านั้น คริสเตียนคือคนที่จะฆ่าหรือหยุดบรรดาคนที่พูดถึงการเสด็จมาของพระเยซู มีคำถามต่อไปว่า วันนี้การข่มเหงส่วนใหญ่มาจากคริสเตียนหรือคนที่อยู่ในสังคมคริสเตียน????  ก็เหมือนกับที่สเทเฟนกำลังเผชิญกับกลุ่มคนที่บอกว่าเขารู้จักพระเจ้า 53 คือ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ผู้​ที่​ได้รับธรรม​บัญญัติ​จาก​เหล่า​ทูตสวรรค์ แต่​หา​ได้​ประพฤติ​ตาม​ธรรม​บัญญัติ​นั้น​ไม่”  นี่คือคำที่บอกว่า คนที่หมิ่นธรรมบัญญัติของโมเสสจริงๆก็คือพวกยิวที่อายัดพระเยซูและฆ่าพระองค์ เป็นพวกฆาตกร และกล่าวหาเท็จต่อผู้บริสุทธิ์ ซึ่งคนยิวเหล่านี้รู้อยู่แก่ใจดี  54 เมื่อ​เขา​ทั้ง​หลาย​ได้​ยิน​ดังนั้น​ก็​รู้สึก​บาด​ใจ และ​ขบ​เขี้ยว​เคี้ยว​ฟัน​เข้า​ใส่​สเทเฟน  การสู้คดีของสเทเฟนจบลงด้วยการตั้งโจทย์ฟ้องกลับ ซึ่งความจริง คนยิวเหล่านี้จะต้องสู้คดี แต่กลับล้มคดี ด้วยการใช้ศาลเตี้ย ยังไม่มีการตัดสินจากสภาซานเฮดดริน ยังไม่มีการไต่สวน เป็นความแตกต่างที่เห็นชัดระหว่างคนที่ใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน กับคนที่ใส่ใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง และเป็นบทเรียนสำหรับเราดังนี้

1.การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนให้ความเข้มแข็ง กิจการ 7:54-56

54 เมื่อ​เขา​ทั้ง​หลาย​ได้​ยิน​ดังนั้น​ก็​รู้สึก​บาด​ใจ และ​ขบ​เขี้ยว​เคี้ยว​ฟัน​เข้า​ใส่​สเทเฟน 55 ฝ่าย​สเทเฟน​ป​ระ​กอบ​ด้วย​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ได้​เขม้น​ดู​สวรรค์​เห็น​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า และ​พระ​เยซู​ทรง​ยืน​อยู่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​56 แล้ว​ท่าน​ได้​กล่าว​ว่า “ดู​เถิด ข้าพเจ้า​เห็น​ท้องฟ้า​แหวก​เป็น​ช่อง และ​บุตร​มนุษย์​ยืน​อยู่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า”   คนที่ใส่ใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง จะไม่แข็งแรงพอที่จะรับความจริงเกี่ยวกับความบกพร่องของตนเอง   และไม่เผชิญกับการการยอมรับผิด และก็จะทำผิดซ้ำสอง ซ้ำสาม สร้างปมแห่งการโกหกมากขึ้น เราคงเคยเห็นคนที่พาล เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง  และบางคนถูกไล่เบี้ยจะจนมุมตอบไม่ได้ ก็จะเฉไฉด้วยคำว่า ไม่รู้  กษัตริย์ดาวิดเคยพยายามโกหกซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกปิดความผิด ความบาปเรื่องการผิดประเวณีและการเป็นฆาตรกรของตนเอง แต่เมื่อนาธานมาไล่เบี้ยจนดาวิดต้องยอมรับความจริง ดาวิดก็ยอมรับว่าตนเองนั้นได้ทำผิด และเลิกการโกหกหลอกลวงนั้น  ในพระคัมภีร์มีเรื่องราวคนของพระเจ้าที่มีโอกาสผิดพลาดและอ่อนแอ แต่คนเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนจากความอ่อนแอมาเป็นความเข้มแข็งด้วยการเปลี่ยนจุดใส่ใจจากเบื้องล่างมาสู่การใส่ใจเบื้องบน ด้วยการฟังและยอมรับคำเตือนจากเบื้องบน คำถาม เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่คือคำเตือนจากเบื้องบน  จุดสังเกตง่ายๆก็คือ คำเตือนใดก็ตามที่พยายามหยุดเราจากการใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง พยายามหยุดการกระทำบาปใดๆ และพยายามให้หันกลับมาสนใจน้ำพระทัยพระเจ้า นั่นแหล่ะคือคำเตือนจากเบื้องบนสดุดี 32:8-9  8 เรา​จะ​แนะนำ​และ​สอน​เจ้า​ถึง​ทาง​ที่​เจ้า​ควร​จะ​เดิน​ไป เรา​จะ​ให้​คำปรึกษา​แก่​เจ้า​ด้วย​จับ​ตา​เจ้า​อยู่ 9 อย่า​เป็น​เหมือน​ม้า​หรือ​ล่อ ที่​ปราศจาก​ความ​เข้าใจ ซึ่ง​ต้อง​ติด​สาย​ผ่า​ปาก​และ​บังเหียน มิฉะนั้น​มัน​ก็​ไม่​ไป​กับ​เจ้า  พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงคำว่า เสรีภาพ  2โครินธ์ 3:17 องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​เป็น​พระ​วิญญาณ และ​พระ​วิญญาณ​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​อยู่​ที่​ไหน เสรีภาพ​ก็​มี​อยู่​ที่​นั่น​ พระเจ้าไม่เคยทำให้ใครเป็นหุ่นยนต์ พระองค์ให้เสรีภาพกับคนที่มีความเข้าใจ แต่สำหรับคนที่ไม่ยอมรับคำแนะนำจากพระเจ้าและไม่ยอมที่จะเข้าใจ คนๆนั้นก็กำลังทำตัวเหมือนสัตว์ที่จะต้องถูกจับให้อยู่ในที่ที่มันจะต้องสิ้นอิสระเสรีภาพ ข้าพเจ้าอยากจะใช้คำที่นุ่มนวลกว่านี้ ก็คือการเป็นเหมือนเด็กที่ต้องถูกบังคับให้ทำตามคำแนะนำอย่างไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ตามใจชอบ  พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่พระเจ้าจะใช้มนุษย์บางคนที่เราจะต้องอยู่ใต้บังคับของคนๆนั้น โรม 13:3-4 3 เพราะ​ว่า​ผู้​ครอบ​ครอง​นั้น​ไม่​น่า​กลัว​เลย​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​ความ​ดี แต่​ว่า​เป็น​ที่​น่า​กลัว​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​ความ​ชั่ว ท่าน​ไม่​อยากจะ​กลัว​ผู้​มี​อำนาจ​หรือ ถ้า​เช่นนั้น​ก็​จง​ประพฤติ​แต่​ความ​ดี แล้ว​ท่าน​ก็​จะ​ได้​เป็น​ที่​พอใจ​ของ​ผู้​มี​อำนาจ​นั้น​4 เพราะ​ว่า​ผู้​ครอบ​ครอง​นั้น เป็น​ผู้รับ​ใช้​ของ​พระ​เจ้า​เพื่อให้​ประโยชน์​แก่​ท่าน แต่​ถ้า​ท่าน​ทำ​ความ​ชั่ว​ก็​จง​กลัว​เถิด เพราะ​ว่า​ผู้​ครอบ​ครอง​นั้น​หา​ได้​ถือ​ดาบ​ไว้​เฉยๆ ไม่ ท่าน​เป็น​ผู้รับ​ใช้​ของ​พระ​เจ้า และ​จะ​เป็น​ผู้​ลง​พระ​อาชญา​แทน​พระ​เจ้า​แก่​ทุก​คน​ที่​ประพฤติ​ชั่ว​  รากศัพท์ของคำว่า ประพฤติชั่ว ที่พระคัมภีร์ใช้ตอนนี้   แปลได้สามความหมาย ได้แก่  ทำสิ่งที่ไร้ค่า  ทุจริต และทำสิ่งที่เป็นอันตราย ผู้รับใช้ที่พระเจ้าตั้งให้เป็นผู้ครอบครองจะทำหน้าที่ ​ลง​พระ​อาชญา​แทน​พระ​เจ้า​แก่​ทุก​คน​ที่​ประพฤติ​ชั่ว​  แต่ผู้ที่ใส่ใจกับสิ่งที่มาจากเบื้องบน จะสามารถยืนอยู่ต่อหน้าผู้ครอบครองได้ 3 เพราะ​ว่า​ผู้​ครอบ​ครอง​นั้น​ไม่​น่า​กลัว​เลย​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​ความ​ดี คือคำที่แสดงถึงคนที่ปราศจากความกลัว เป็นคนที่เข้มแข็ง  มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนที่เกรี้ยวกราดและใช้ความก้าวร้าวคือคนที่กำลังมีความกลัว  54 เมื่อ​เขา​ทั้ง​หลาย​ได้​ยิน​ดังนั้น​ก็​รู้สึก​บาด​ใจ และ​ขบ​เขี้ยว​เคี้ยว​ฟัน​เข้า​ใส่​สเทเฟน อาการบาดใจ หมายถึงรับไม่ได้กับความจริงที่สเทเฟนสะท้อนในพฤติกรรมของคนเหล่านั้นว่าเป็นคนที่ทำผิดข้อกล่าวหานั้นเอง สำหรับสเทเฟน การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนทำให้เขาสามารถสู้คำโกหกของคนได้  55 ฝ่าย​สเทเฟน​ป​ระ​กอบ​ด้วย​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ได้​เขม้น​ดู​สวรรค์… ซึ่งในภายหลัง อ.เปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือ โคโลสี 3:1-2 1 ถ้า​ท่าน​รับ​การ​ทรง​ชุบ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​ด้วย​กัน​กับ​พระ​คริสต์​แล้ว ​ก็​จง​แสวงหา​สิ่ง​ซึ่ง​อยู่​เบื้อง​บน​ใน​ที่​ซึ่ง​พระ​คริสต์​ทรง​สถิต​อยู่ คือ​ประทับ​ข้าง​ขวา​ของ​พระ​เจ้า2 จง​เอา​ใจ​ใส่​สิ่ง​ที่​อยู่​เบื้อง​บน ไม่ใช่​สิ่ง​ซึ่ง​อยู่​ที่​แผ่นดิน​โลก​  เป็นไปได้ไม๊ที่อ.เปาโลจะจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ยังเป็นเซาโลในเหตุการณ์วันที่สเทเฟนถูกหินขว้างตาย การใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องบนเพื่อให้ได้เห็น ​ที่​ซึ่ง​พระ​คริสต์​ทรง​ประทับ​ข้าง​ขวา​ของ​พระ​เจ้า  เป็นเรื่องเดียวกันกับที่สเทเฟนมองเห็น 56 แล้ว​ท่าน​ได้​กล่าว​ว่า “ดู​เถิด ข้าพเจ้า​เห็น​ท้องฟ้า​แหวก​เป็น​ช่อง และ​บุตร​มนุษย์​ยืน​อยู่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า”   ดังนั้น การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบน เป็นความเข้มแข็งที่สุดของการผู้ที่มีชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์

2.แต่การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่างทำให้กลายเป็นเหยื่อ  กิจการ 7:57-60

57 แต่​เขา​ทั้ง​หลาย​ร้อง​เสียง​ดัง​และ​อุด​หู​วิ่ง​กรู​กัน​เข้า​ไป​ยัง​สเทเฟน​58 แล้ว​ขับ​ไล่​ท่าน​ออก​จาก​กรุง​และ​เอา​หิน​ขว้าง ฝ่าย​คน​ที่​เป็น​พยาน​ปรักปรำ​สเทเฟน​ ได้​ฝาก​เสื้อผ้า​ของ​ตน​วาง​ไว้​ที่​เท้า​ของ​ชาย​หนุ่ม​คน​หนึ่ง​ชื่อ​เซาโล​59 เขา​จึง​เอา​หิน​ขว้าง​สเทเฟน​ เมื่อ​กำลัง​อ้อน​วอน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​อยู่​ว่า “ข้า​แต่​พระ​เยซู​เจ้า ขอ​ทรง​โปรด​รับ​จิต​วิญญาณ​ของ​ข้า​พระ​องค์​ด้วย”60 ​สเทเฟน​ก็​คุกเข่า​ลง​ร้อง​เสียง​ดัง​ว่า “ข้า​แต่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​โปรด​อย่า​ทรง​ถือ​โทษ​เขา​เพราะ​บาป​นี้” เมื่อ​กล่าว​เช่นนี้​แล้ว​ก็​ล่วง​หลับ​ไป  เวลาคนพาลต้องการเอาชนะ  สิ่งที่แสดงออกก็คือการส่งเสียงดังเอาไว้ก่อน  และบรรยากาศในเวลานั้น การส่งเสียงดังเกิดจากความไม่พอใจ และเป็นการปลุกระดมความไม่พอใจในคนที่ถูกกระตุ้นให้ร่วมความรู้สึกไม่พอใจ นี่เป็นความอ่อนไหวของคนที่พร้อมเป็นเหยื่อของสิ่งที่เรียกว่า จิตวิทยาหมู่ มีการให้คำนิยามคำว่า จิตวิทยาหมู่   คือการกระตุ้นคนหมู่มาก ด้วยอาการป่วยบางอย่าง หรือความเชื่อทางศาสนาบางอย่าง โดยคนหนึ่งเริ่ม และคนอื่นๆทำตาม รู้สึกตาม เหมือนกับ คนยิวในเวลานั้น  คนหนึ่งแสดงความไม่พอใจต่อคนๆหนึ่งโดยใช้เรื่องการหมิ่นศาสนามาเป็นข้ออ้าง  คนอื่นๆก็ทำตาม ด้วยการร้องเสียงดังตามกัน 57 แต่​เขา​ทั้ง​หลาย​ร้อง​เสียง​ดัง​และ​อุด​หู​วิ่ง​กรู​กัน​เข้า​ไป​ยัง​สเทเฟน การอุดหู รากศัพท์คำนี้แปลว่า การดับการฟัง ด้วยการใช้นิ้วอุดหู เป็นการปิดหูไม่ฟังอีกต่อไป  ซึ่งสเทเฟนได้บอกให้คนเหล่านี้แหงนฟ้ามองดูการสำแดงจากเบื้องบน  แต่คนเหล่านี้ไม่ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบน  เขากลับใส่ใจกับความรู้สึกเจ็บปวดกับการรับไม่ได้กับความจริงที่เปิดเผยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านสเทเฟนว่า พวกเขากำลังเดินผิดทาง และเป็นทางเดียวกันกับบรรพบุรุษที่ต่อต้านพระเจ้า  ความอ่อนแอของคนที่ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่างก็คือการสนใจแต่ตนเอง  จนกลายเป็นเหยื่อของพวกมากลากไป สู่การเป็นฆาตรกร  ความจริงกระบวนการตัดสินคนยิวให้ขว้างด้วยก้อนหินนั้น  ธรรมบัญญัติของโมเสสได้กำหนดไว้อย่างเป็นขั้นตอน แต่ในสถานการณ์ที่เกิดกับสเทเฟน  กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รอการตัดสินผ่านสภาซานเฮดดริน  แต่อาศัยความโกรธของคนจำนวนมาก หรือจะเรียกว่า การจลาจล เหมือนกับคราวที่จับสเทเฟนมาสภาซานเฮดดริน ก็ใช้บรรยากาศการจลาจล ตอนนี้ก็เช่นกัน การใช้กฎหมู่โดยไม่ใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นความอ่อนแอของสังคม  บรรยากาศเป็นการทำร้ายโดยใช้รูปแบบการลงโทษทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง  58 แล้ว​ขับ​ไล่​ท่าน​ออก​จาก​กรุง​และ​เอา​หิน​ขว้าง ฝ่าย​คน​ที่​เป็น​พยาน​ปรักปรำ​สเทเฟน​ ได้​ฝาก​เสื้อผ้า​ของ​ตน​วาง​ไว้​ที่​เท้า​ของ​ชาย​หนุ่ม​คน​หนึ่ง​ชื่อ​เซาโล​ คนที่ปรักปรำสเทเฟน ต้องเป็นคนแรกที่ขว้างก้อนหิน และบันทึกนี้ว่า เขาได้ฝากเสื้อไว้กับเซาโล  สเทเฟนได้แก้คดีแล้ว  และยังไม่มีการประกาศความผิดของเขา  สเทเฟนถูกหินขว้างขณะกำลังอธิษฐาน และขอพระเจ้ายกโทษให้กับคนเหล่านี้  นี่คือความเข้มแข็งที่สุดใช่ไม๊?  59 เขา​จึง​เอา​หิน​ขว้าง​สเทเฟน​ เมื่อ​กำลัง​อ้อน​วอน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​อยู่​ว่า “ข้า​แต่​พระ​เยซู​เจ้า ขอ​ทรง​โปรด​รับ​จิต​วิญญาณ​ของ​ข้า​พระ​องค์​ด้วย”60 ​สเทเฟน​ก็​คุกเข่า​ลง​ร้อง​เสียง​ดัง​ว่า “ข้า​แต่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​โปรด​อย่า​ทรง​ถือ​โทษ​เขา​เพราะ​บาป​นี้” อย่าให้เรากลายเป็นคนอ่อนแอและตกเป็นเหยื่อของจิตวิทยาหมู่แบบนี้ ซึ่งในยุคของเราก็กำลังเกิดขึ้นกับคนในศาสนาหนึ่งที่ถูกกระตุ้นให้เกรี้ยวกราดได้ง่ายๆ อาฆาตแค้นและมุ่งทำร้ายคนต่างศาสนาอย่างง่ายๆ  จิตวิทยาหมู่ ในยุคของเราถูกใช้ผ่านสื่อต่างๆ มีผลสำรวจพบว่า คนเราใช้เวลากับเฟซบุ้ค ทวิตเตอร์  ไลน์ แชต ต่างๆ วันละไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง แทบจะตลอดการทำงานที่คนหนึ่งทำงานวันละแปดชั่วโมง  ระวัง…คุณอาจตกเป็นเหยื่อของจิตวิทยาหมู่อีกมากมายที่พวกตกขอบนิยมความรุนแรงกำลังใช้เป็นเครื่องมือระดมให้คนมาร่วมกระทำผิดในสนามรบ  และนี่คือความอ่อนแอของคนที่ใช้เวลาใส่ใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง   ฟิลิปปี 4:8-9  8 ดูก่อน​พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย ใน​ที่สุด​นี้​ขอ​จง​ใคร่ครวญ​ถึง​สิ่ง​ที่​จริง สิ่ง​ที่​น่า​นับ​ถือ สิ่ง​ที่​ยุติธรรม สิ่ง​ที่​บริสุทธิ์ สิ่ง​ที่​น่ารัก สิ่ง​ที่​ทรง​คุณ คือ​ถ้า​มี​สิ่ง​ใด​ที่​ล้ำ​เลิศ สิ่ง​ใด​ที่​ควร​แก่​การ​สรรเสริญ ​ก็​ขอ​จง​ใคร่ครวญ​ดู​9 จง​กระทำ​ทุก​สิ่ง​ที่​ท่าน​ได้​เรียนรู้​และ​ได้รับ​ไว้ ได้​ยิน และ​ได้​เห็น​ใน​ข้าพเจ้า​แล้ว และ​พระ​เจ้า​แห่ง​สันติ​สุข​จะ​ทรง​สถิต​กับ​ท่าน​

“ชีวิตที่เกิดผล….ใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนมากกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง”

1.การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องบนให้ความเข้มแข็ง

2.แต่การใส่ใจสิ่งที่อยู่เบื้องล่างทำให้กลายเป็นเหยื่อ   

By admin