“ชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดี”
เมล็ดบางชนิดถ้าลองได้ตกลงในดิน เป็นต้องงอกเงยเกิดผล เช่นเดียวกัน มีคนบางประเภทเมื่อเขาหยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ พระเยซูคริสต์ทรงเปรียบเทียบความเชื่อของผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ เป็นเหมือนกับเมล็ดพืช มัทธิว17:20 ….ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อน สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้ จะไม่มีเลย” คำว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้ จะไม่มีเลย ดูเหมือนพระเยซูคริสต์เจ้ากำลังบอกกับสาวกว่า หากพวกเขามีความเชื่อเท่าเมล็ดพืช พวกสาวกจะถูกจัดอยู่ในคนบางประเภทที่ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ คำว่า เมล็ดพืช ที่นี่ พระเยซูคริสต์ได้ใช้ตัวอย่างของเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กและเบามาก แต่อัตราความมีชีวิตและความตื่นตัวที่จะงอกเงยสูงมาก ข้าพเจ้าเคยซื้อเมล็ดพันธ์ที่บรรจุซองในปัจจุบัน และที่หลังซองจะเขียนว่า ประกันการเกิดผล 98%มีแค่ 2%ที่อาจมาจากปัจจัยอย่างอื่น เช่นคนหว่าน และประเภทของดิน นี่คือความจริงที่พระเยซูได้ยกคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิดเพื่อเปรียบเทียบถึงท่าทีในจิตใจของคนในการรับเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต พระวจนะของพระเจ้าเป็นเมล็ดพันธ์ชั้นดีแห่งความจริงที่รับประกันการเกิดผล และพระเยซูได้เปรียบเทียบอย่างนี้ในหนังสือ มัทธิว 13:19-23 19 เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง20 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี21 แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด22 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” ดินชนิดแรก เป็นดินบนหนทาง มีลักษณะที่แข็งเพราะเป็นดินทางเดิน จึงทำให้เมล็ดแห่งความจริงของพระเจ้าไม่สามารถฝังตัวในดินได้ เมล็ดแห่งความจริงนั้นจึงถูกขโมยไปจากชีวิตได้ง่าย โดยมารซาตาน (เปรียบเหมือนนกมาจิกกินไป) การขโมยของมารในสมัยนี้ คือการเอาเรื่องความบันเทิง วาระยุ่งๆของชีวิต การอุปโลกน์จากค่านิยมของโลกนี้ และการล่อลวงต่างๆที่ยิงเข้ามาในจุดอ่อนของแต่ละคน ทำให้จิตใจที่พร้อมโอนเอียงไปกับข้อเสนอของมารเป็นจิตใจที่แข็งกระด้างเหมือนกับทางเดิน และไม่ยอมให้เมล็ดแห่งความจริงฝังตัว (ก็คือการปฏิเสธความจริงที่ขัดใจตนเอง) มีคำๆหนึ่งกล่าวว่า ถูกต้องอาจไม่ถูกใจ ถูกใจอาจไม่ถูกต้อง และเราก็มักจะเลือกความถูกใจมากกว่าความถูกต้องอยู่บ่อยๆ ส่วนดินชนิดที่สอง ดินที่มีพื้นหิน เมล็ดชั้นดีเมื่อได้สัมผัสกับดินย่อมงอกแน่นอน แต่มีหินสกัดกั้นอยู่ใต้ดินขัดขวางไม่ให้รากดูดซับอาหาร ดูเหมือนมีการเติบโตแต่โตไม่นานก็ตาย เปรียบเหมือนคนที่รับความจริงของพระเจ้าไว้แต่ไม่มีรากฐานความเชื่อที่ดี เมื่อเจอปัญหาชีวิตหรือสถานการณ์ บุคคล หรืออะไรก็ตามที่มาเขย่าความเชื่อ ก็เกิดความสงสัยในความจริง เพราะไม่มีรากฐานของความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าฝังในจิตใจนั่นเอง ส่วนดินชนิดที่สาม คือดินที่มีหนามปกคลุม คือ ความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล คำว่า รัดพระวจนะ หมายถึง การปิดกั้นความจริงของพระเจ้าไม่ให้มีอิทธิพลในชีวิตของตนเอง แต่ยอมให้อิทธิพลของความกลัว กังวล และความลุ่มหลงอย่างโลกครอบงำ ชีวิตอย่างนี้ไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึง วิถีชีวิตของสาวกของพระเยซูคริสต์ถูกกำหนดไว้ให้มีความเชื่อที่นำไปสู่ประโยคที่ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้ จะไม่มีเลย นั่นคือหยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ ดินทั้งสามชนิดนี้ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา ไม่เกี่ยวกับความเก่งมากเก่งน้อย ไม่เกี่ยวกับการศึกษา หรือสถาบันมีชื่อหรือไม่มีชื่อเสียง แต่เกี่ยวข้องกับจิตใจล้วนๆ ความจริงคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนคล้ายกับคำสอนของพระเยซูในเรื่องบัวสี่ชนิด แต่ต่างกันตรงที่ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เกี่ยวข้องกับความจำกัดของสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจ บางคนจึงเข้าใจได้ง่ายเหมือนบัวพ้นน้ำ แต่บางคนพูดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ เหมือนบัวในโคลนตม (เป็นการบอกว่า สิ้นหวังสำหรับบัวในโคลนตม) แต่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องดินสามชนิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นที่จิตใจคนๆนั้นเองทั้งสิ้น ความไม่เข้าใจของดินชนิดแรกเป็นเรื่องของอารมณ์ที่ไม่ยอมเข้าใจ รากศัพท์คำกรีกที่ใช้คำว่าไม่เข้าใจ เป็นเรื่องของอารมณ์ แต่คำแปลความหมายแรกคือการไม่ยอมรับเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาไว้ในจิตใจของตนเอง เป็นเรื่องของท่าที ถ้าเพียงแต่ปรับท่าทีให้เป็นเหมือนดินชนิดที่สี่ (ซึ่งสามารถทำได้) 23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”คำว่า เข้าใจตรงนี้ ยังคงใช้คำกรีกคำเดียวกัน คือการยอมปรับท่าทีที่จะเข้าใจ ปรับอารมณ์ ปรับพฤติกรรมตามพระวจนะอย่างเคร่งครัด เป็นความเชื่อที่ต้องเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟัง แล้วการเกิดผลจะตามมา ชนิดที่เกินความคาดหมาย คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”ซึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคต้นๆ ได้กล่าวถึงการเกิดผลของสาวกของพระเยซูดังปรากฏในหนังสือ กิจการ 8:5-13 5 ส่วนฟีลิปก็ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง6 ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้น7 ด้วยว่าผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น 9 ยังมีคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยทำวิทยาคมในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ10 ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “คนนี้คงเป็นอานุภาพของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่ามหิทธิฤทธิ์”11 คนทั้งหลายสนใจฟังเขา เพราะเขาได้ทำวิทยาคมให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว12 แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศข่าวประเสริฐ ว่าด้วยแผ่นดินของพระเจ้า และพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อและรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง13 ฝ่ายซีโมนเองก็เชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นนิมิตกับการอัศจรรย์ซึ่งฟีลิปได้กระทำ ฟิลิปเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้าที่ถูกเรียกว่า มัคนายก ก็คืออาสาสมัครรับใช้ร่วมกับเหล่าอัครทูตในเวลานั้น พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกถึงการเป็นดินชนิดที่สี่ของฟิลิปที่เกิดผลอย่างมากมาย และพื้นที่ที่ฟิลิปเกิดผลนั้น ไม่ธรรมดา เพราะเป็นพื้นที่ของชาวสะมาเรีย ฟิลิปเป็นคนยิวนิยมกรีก ก็คือคนยิวที่อาจเกิดนอกประเทศอิสราเอลแต่ยังเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรม ชื่อของฟิลิปคือคำกรีก เหมือนกับสเทเฟน ฟิลิปเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลือกแต่งตั้งให้ดูแลเรื่องการแจกทานในเยรูซาเล็ม หลังจากสเทเฟนถูกฆ่าตาย ก็เกิดการข่มเหงคริสเตียนครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้พวกศิษย์กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง มาถึงตอนนี้ฟิลิปเป็นคนหนึ่งที่มาทางทิศของแคว้นสะมาเรีย ทำไมฟิลิปจึงเลือกมาที่แคว้นสะมาเรีย และมายังเมืองๆหนึ่งที่นักวิชาการทางพระคัมภีร์บางคนคิดว่า น่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับที่พระเยซูเคยเสด็จผ่านมา และได้พบกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำยาโคบ และมีการสนทนากันถึงความเชื่อของชาวสะมาเรียเรื่องพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) ที่จะเสด็จมา หญิงสะมาเรียได้สนทนากับพระเยซูคริสต์ ยอห์น 4:25 ,28-29,41-42 25 นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา”…28 หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า29 “มาเถิด มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม”…41 และคนอื่นเป็นจำนวนมากได้วางใจ เพราะพระดำรัสของพระองค์42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง” ฟิลิปได้เข้ามาเมืองนี้ด้วยความตั้งใจที่จะประกาศเรื่องของพระคริสต์ (ความจริงของพระเจ้าที่ครั้งหนึ่งพระเยซูได้หว่านไว้แล้ว) สิ่งที่น่าสังเกตตรงนี้ว่า ชาวเมืองตอบสนองอีกครั้งต่อการประกาศของฟิลิป 6 ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้น ความพร้อมใจกันฟัง เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย เป็นเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ฟิลิปพูดกับสิ่งที่ฟิลิปทำมันสอดคล้องกัน มันมีน้ำหนักทำให้คนสนใจ ข้าพเจ้าอยากให้เราได้คั่นตรงนี้ไว้ และมาดูว่า พระคัมภีร์ได้บันทึกสิ่งที่น่าสนใจอีกมุมหนึ่ง 9 ยังมีคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยทำวิทยาคมในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ10 ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “คนนี้คงเป็นอานุภาพของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่ามหิทธิฤทธิ์”11 คนทั้งหลายสนใจฟังเขา เพราะเขาได้ทำวิทยาคมให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว จุดที่น่าสังเกตตรงนี้ คือ เมืองๆนี้มีคนๆหนึ่งชื่อซีโมนใช้วิทยาคมทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล และเป็นผู้ที่ยกตัวเองเป็นผู้วิเศษ และผู้คนในเมืองตั้งแต่เล็กสุดจนถึงใหญ่สุดต่างหลงใหลไปกับผู้วิเศษคนนี้ แต่อะไรเกิดขึ้นกับชาวเมือง ให้เรากลับมาข้อ 7 ผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคน…คนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อย เราคิดว่า ชีวิตของชาวสะมาเรียในเมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผีโสโครกและยังพากันเป็นง่อยและอัมพาต จะเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสหรือไม่ เมื่อฟิลิปได้มาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกาย จากทุกข์เปลี่ยนไปข้อ 8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น คำว่า ปลื้มปิติ ภาษากรีกคำนี้ใช้คำว่า Mega แปลว่า ใหญ่มาก เป็นความยินดีที่ยิ่งใหญ่มาก แสดงว่า ก่อนหน้านี้คนทั้งเมืองตกอยู่ในความทุกข์ที่แสนสาหัสมาก เมืองที่มีผู้วิเศษ นายซีโมน แทนที่จะปลดปล่อยคนจากทุกข์แต่กลับนำทุกข์ที่แสนสาหัสมา แต่ ฟิลิปคนธรรมดาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ และนำการเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตของชาวสะมาเรีย นี่คือความสำเร็จของสาวกของพระเยซู ผู้ที่ประกาศเรื่องของพระองค์ บทเรียนเรื่องชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดี เราคงต้องกลับมาสำรวจจิตใจของเราอีกครั้งว่าเรามีความตั้งใจกับชีวิตของตัวเราเองอย่างไร
1.ตั้งใจที่จะเป็นดินที่ดี กิจการ 8:12
12 แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศข่าวประเสริฐ ว่าด้วยแผ่นดินของพระเจ้า และพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อและรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง เราได้เห็นการเกิดผลของฟิลิปจากความตั้งใจในการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ครั้งหนึ่งมีคนถามพระเยซูคริสต์ถึงความหมายของแผ่นดินของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ตอบว่า มัทธิว 12:28 28 แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว แผ่นดินของพระเจ้ายังหมายถึงอาณาจักรการครอบครองของพระเจ้า และการพิพากษาของพระองค์ด้วย เมื่อแผ่นดินของพระเจ้ามา จะมีคนที่เข้าแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้เพราะต้องถูกพิพากษาลงโทษเรื่องความบาปในชีวิต ดังนั้น การประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าจึงมาพร้อมๆกับหมายสำคัญคือชัยชนะเหนือผีที่ครอบงำคน และเรื่องการกลับใจใหม่จากบาปและการรับข้อเสนอการไถ่จากบาปผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าบนไม้กางเขน การรับเชื่อคือการแสดงความปรารถนาต้องการรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ และเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟังความจริงเรื่องนี้ นี่คือความตั้งใจที่จะเป็นดินดีชนิดที่สี่ ที่จะเกิดผลในชีวิตที่เกินจากความคาดหมาย มัทธิว13:23 23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” แต่คนส่วนใหญ่มักจะมุ่งหวังผลโดยไม่จัดการกับจุดเริ่มต้นของตัวเองให้ถูกทิศถูกทางเสียก่อน นั่นคือการไม่ใส่ใจว่า จิตใจของตนเองเวลานี้ไม่ได้เป็นดินที่ดี แต่เป็นดินทางเดิน หรือดินที่ข้างใต้มีหิน หรือดินในดงหนาม แต่กลับหวังผลลัพธ์แบบดินที่ดี เข้าสำนวนที่เรียกว่า ปลูกถั่วอยากได้งา ขอให้เรากลับมาลองทบทวนความรู้เรื่องดินที่พระเยซูคริสต์เจ้าสอนอีกครั้ง ดินทางเดิน เป็นยังไง เป็นคนประเภทที่ยอมให้มารหลอกล่อได้ง่ายๆ เช่น….สนใจแต่ความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง สนใจแต่สิ่งอุปโลกมากกว่าของจริง หรือความจริงของพระเจ้า หลงใหลอย่างคนขาดสติและขาดปัญญา ติดตามผู้วิเศษ (ดาราซุปตาร์ทั้งหลาย) หรือ อากู๋ (กูเกิ้ล) หรือเงินทองกลายเป็นผู้วิเศษที่บางคนให้คำนิยามเงินทองว่า สามารถดลบันดาลให้ได้ทุกสิ่ง (ซึ่งความจริงไม่ใช่) ขอให้เรากลับมาสำรวจตัวเราว่า เรากำลังเป็นดินที่มีหินข้างใต้หรือไม่ ในยามที่กำลังเผชิญความทุกข์ยากลำบากหรือการข่มเหงรูปแบบต่างๆทำให้ท้อใจไม่อยากจะเดินอยู่ในความจริงของพระเจ้า และกลับไปอยู่วิถีชีวิตที่โกหกหลอกตัวเองอยู่หรือไม่ หรือเป็นดินชนิดที่สามบุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล มันต้องมีสาเหตุว่าอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตจึงล้มเหลว ทำไมชีวิตจึงไม่เกิดผล ไม่ประสบความสำเร็จ เราต้องหาสาเหตุ และจัดการกับต้นเหตุนั้นอย่างจริงจัง นั่นคือความตั้งใจที่จะเป็นดินที่ดี ไม่อย่างนั้น เราก็เหยียบขี้หมากองเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เกิดการพัฒนาหรือก้าวหน้า แถมยังถอยหลังลงคลอง ดินที่ดีจะมีแต่ความก้าวหน้า ถ้ามีแต่การถดถอย แสดงว่า เป็นดินไม่ดีไม่ชนิดใดก็ชนิดหนึ่งในสามชนิดนั้น พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสว่า มัทธิว 7:16-20 16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา ขอบคุณพระเจ้าที่พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ต้นไม้เลวจะเปลี่ยนเป็นต้นไม้ดีได้ด้วยการจัดการกับท่าทีภายในจิตใจของเรา โดยภาพเปรียบเทียบจิตใจเหมือนกับรากของต้นไม้ ฮีบรู 12:12-15 12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ14 จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย และอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป พระคุณของพระเจ้ามาถึงเราแล้ว ขอให้ เราเลือกเป็นดินที่ดี และ….
2.จงออกจากความพิศวงหลงใหล กิจการ 8:13
13 ฝ่ายซีโมนเองก็เชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นนิมิตกับการอัศจรรย์ซึ่งฟีลิปได้กระทำ ซีโมน ผู้พึ่งพาวิทยาคม ทำตัวเป็นผู้มีของวิเศษ และทำให้คนมากมายพิศวงหลงใหล คำว่า พิศวงหลงใหล รากศัพท์ภาษากรีกคำนี้ แปลว่า ออกจากทางของปัญญา และในข้อ 13 ตอนนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้น่าสนใจมากว่า ซีโมนคนนี้ หลังจากรับเชื่อ รับบัพติศมา เรียกว่า เปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนแล้ว ซีโมนก็ยังมีวิธีคิดแบบที่เขาเคยใช้กับคนอื่นๆที่เป็นเหยื่อของเขา พระคัมภีร์บันทึกว่าซีโมน ประหลาดใจที่เห็นนิมิตกับการอัศจรรย์ซึ่งฟีลิปได้กระทำ คำว่า ประหลาดใจคำนี้ คือคำเดียวกันกับคำที่ถูกแปลว่า พิศวงหลงใหล แสดงว่า นายซีโมนคนนี้ยังติดอยู่กับวิธีคิดที่เป็นกับดักที่เขาได้ใช้กับคนอื่น แม้เขามาเป็นคริสเตียนและอยู่กับฟิลิปแล้วก็ตาม (ซึ่งในซีรี่ย์ตอนต่อไปเราจะพบว่า นายซีโมนโดนตอกหน้าหงายจากคำพูดของตนเองที่ดูเหมือนซื่อแต่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทอง) แต่ตรงนี้คืออะไรบางอย่างที่ข้าพเจ้าจะขอจบบทเรียนเรื่อง ชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดีเท่านั้น และทิ้งท้ายเรื่องนายซีโมน คนทำวิทยาคมที่คนในปัจจุบันของเรามากมายได้ย่ำอยู่ในวิธีคิดแบบเดียวกันกับซีโมน โดยเฉพาะคริสเตียนทั้งหลายที่มาหาพระเยซูด้วยวิธีคิด วิธีมองสิ่งที่พระเยซูทรงทำในคริสตจักรอย่างคนที่ออกจากทางของปัญญา ขาดสติ แบบคนหลงใหล ทั้งๆที่คำสอนของพระคัมภีร์มุ่งเป้าหมายให้เราเข้าใกล้ปัญญามากที่สุด และนี่คือตัวอย่างในจำนวนมากมายจากพระคัมภีร์ที่สอนถึงเรื่องการได้ปัญญา สุภาษิต2:1-11 1 บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าเจ้ารับคำของเรา และสะสมคำบัญชาของเราไว้กับเจ้า 2 กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ 3 เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ 4 ถ้าเจ้าแสวงปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ 5 นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และพบความรู้ของพระเจ้า 6 เพราะพระเจ้าประทานปัญญา ความรู้และความเข้าใจมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ 7 พระองค์ทรงสะสมสติปัญญาไว้ให้คนเที่ยงธรรม พระองค์ทรงเป็นโล่ให้แก่ผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์ 8 ทรงรักษาระวังวิถีของความยุติธรรม และทรงสงวนทางของธรรมิกชนของพระองค์ไว้ 9 แล้วเจ้าจะเข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรม และความเที่ยงธรรม คือวิถีที่ดีทุกสาย 10 เพราะปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่วิญญาณจิตของเจ้า 11 ความเฉลียวฉลาดจะคอยเฝ้าเจ้า และความเข้าใจจะระแวดระวังเจ้าไว้ ขอให้เราหยุดออกจากทางของปัญญา หยุดความหลงใหลไปกับสิ่งของในโลกนี้ได้แล้ว และกลับมาเป็นดินที่ดีเสียที เสียงจากพระเจ้ากำลังเรียกเราทุกคน ให้เราตอบสนองต่อเสียงเรียกนั้นอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะสายเกินไป
“ชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดี”
1.ตั้งใจที่จะเป็นดินที่ดี
2.จงออกจากความพิศวงหลงใหล