“ชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดี”

เมล็ดบางชนิดถ้าลองได้ตกลงในดิน เป็นต้องงอกเงยเกิดผล เช่นเดียวกัน มีคนบางประเภทเมื่อเขาหยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ พระเยซูคริสต์ทรงเปรียบเทียบความเชื่อของผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ เป็นเหมือนกับเมล็ดพืช มัทธิว17:20  ….ถ้า​ท่าน​มี​ความ​เชื่อ​เท่า​เมล็ด​พืช​เมล็ด​หนึ่ง​ท่าน​จะ​สั่ง​ภูเขา​นี้​ว่า ‘จง​เลื่อน​จาก​ที่นี่​ไป​ที่​โน่น’ มัน​ก็​จะ​เลื่อน สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​ซึ่ง​ท่าน​ทำ​ไม่ได้ จะ​ไม่​มี​เลย”  คำว่า สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​ซึ่ง​ท่าน​ทำ​ไม่ได้ จะ​ไม่​มี​เลย ดูเหมือนพระเยซูคริสต์เจ้ากำลังบอกกับสาวกว่า หากพวกเขามีความเชื่อเท่าเมล็ดพืช พวกสาวกจะถูกจัดอยู่ในคนบางประเภทที่ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ คำว่า เมล็ดพืช  ที่นี่ พระเยซูคริสต์ได้ใช้ตัวอย่างของเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กและเบามาก แต่อัตราความมีชีวิตและความตื่นตัวที่จะงอกเงยสูงมาก  ข้าพเจ้าเคยซื้อเมล็ดพันธ์ที่บรรจุซองในปัจจุบัน และที่หลังซองจะเขียนว่า ประกันการเกิดผล 98%มีแค่ 2%ที่อาจมาจากปัจจัยอย่างอื่น เช่นคนหว่าน และประเภทของดิน นี่คือความจริงที่พระเยซูได้ยกคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิดเพื่อเปรียบเทียบถึงท่าทีในจิตใจของคนในการรับเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต  พระวจนะของพระเจ้าเป็นเมล็ดพันธ์ชั้นดีแห่งความจริงที่รับประกันการเกิดผล และพระเยซูได้เปรียบเทียบอย่างนี้ในหนังสือ มัทธิว 13:19-23 19 เมื่อ​ผู้ใด​ได้​ยิน​คำ​บอก​เล่า​เรื่อง​แผ่นดิน​พระ​เจ้า​แต่​ไม่​เข้าใจ มาร​ร้าย​ก็​มา​ฉวย​เอา​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ใน​ใจ​เขา​นั้น​ไป​เสีย นั่น​แหละ​ได้แก่​เมล็ด​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ตก​ริม​หนทาง​20 และ​เมล็ด​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ตก​ใน​ที่ดิน​ซึ่ง​มี​พื้น​หิน​นั้น ได้แก่​บุคคล​ที่​ได้​ยิน​พระ​วจนะ แล้ว​ก็​รับ​ทันที​ด้วย​ความ​ปรีดี​21 แต่​ไม่​ฝัง​ลึก​ใน​ตัว​จึง​ทน​อยู่​ชั่วคราว และ​เมื่อ​เกิด​การ​ยาก​ลำบาก หรือ​การ​ข่ม​เหง​ต่างๆ เพราะ​พระ​วจนะ​นั้น เขา​ก็​เลิก​เสีย​ใน​ทันทีทันใด​22 และ​พืช​ซึ่ง​หว่าน​กลาง​หนาม​นั้น ได้แก่​บุคคล​ที่​ได้​ฟัง​พระ​วจนะ แล้ว​ความ​กังวล​ตาม​ธรรมดา​โลก และ​ความ​ลุ่ม​หลง​ใน​ทรัพย์​สมบัติ​รัด​พระ​วจนะ​นั้น​เสีย จึง​ไม่​เกิดผล​23 ส่วน​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ตก​ใน​ดิน​ดี​นั้น ได้แก่​บุคคล​ที่​ได้​ยิน​พระ​วจนะ​นั้น​และ​เข้าใจ คน​นั้น​ก็​เกิดผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หก​สิบ​เท่า​บ้าง สามสิบ​เท่า​บ้าง” ดินชนิดแรก  เป็นดินบนหนทาง มีลักษณะที่แข็งเพราะเป็นดินทางเดิน จึงทำให้เมล็ดแห่งความจริงของพระเจ้าไม่สามารถฝังตัวในดินได้ เมล็ดแห่งความจริงนั้นจึงถูกขโมยไปจากชีวิตได้ง่าย โดยมารซาตาน (เปรียบเหมือนนกมาจิกกินไป) การขโมยของมารในสมัยนี้ คือการเอาเรื่องความบันเทิง วาระยุ่งๆของชีวิต การอุปโลกน์จากค่านิยมของโลกนี้ และการล่อลวงต่างๆที่ยิงเข้ามาในจุดอ่อนของแต่ละคน ทำให้จิตใจที่พร้อมโอนเอียงไปกับข้อเสนอของมารเป็นจิตใจที่แข็งกระด้างเหมือนกับทางเดิน และไม่ยอมให้เมล็ดแห่งความจริงฝังตัว (ก็คือการปฏิเสธความจริงที่ขัดใจตนเอง) มีคำๆหนึ่งกล่าวว่า ถูกต้องอาจไม่ถูกใจ  ถูกใจอาจไม่ถูกต้อง  และเราก็มักจะเลือกความถูกใจมากกว่าความถูกต้องอยู่บ่อยๆ  ส่วนดินชนิดที่สอง ดินที่มีพื้นหิน เมล็ดชั้นดีเมื่อได้สัมผัสกับดินย่อมงอกแน่นอน แต่มีหินสกัดกั้นอยู่ใต้ดินขัดขวางไม่ให้รากดูดซับอาหาร ดูเหมือนมีการเติบโตแต่โตไม่นานก็ตาย เปรียบเหมือนคนที่รับความจริงของพระเจ้าไว้แต่ไม่มีรากฐานความเชื่อที่ดี เมื่อเจอปัญหาชีวิตหรือสถานการณ์ บุคคล หรืออะไรก็ตามที่มาเขย่าความเชื่อ ก็เกิดความสงสัยในความจริง เพราะไม่มีรากฐานของความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าฝังในจิตใจนั่นเอง ส่วนดินชนิดที่สาม คือดินที่มีหนามปกคลุม  คือ ความ​กังวล​ตาม​ธรรมดา​โลก และ​ความ​ลุ่ม​หลง​ใน​ทรัพย์​สมบัติ​รัด​พระ​วจนะ​นั้น​เสีย จึง​ไม่​เกิดผล​ คำว่า รัดพระวจนะ หมายถึง การปิดกั้นความจริงของพระเจ้าไม่ให้มีอิทธิพลในชีวิตของตนเอง แต่ยอมให้อิทธิพลของความกลัว กังวล และความลุ่มหลงอย่างโลกครอบงำ ชีวิตอย่างนี้ไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึง   วิถีชีวิตของสาวกของพระเยซูคริสต์ถูกกำหนดไว้ให้มีความเชื่อที่นำไปสู่ประโยคที่ว่า  สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​ซึ่ง​ท่าน​ทำ​ไม่ได้ จะ​ไม่​มี​เลย นั่นคือหยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ ดินทั้งสามชนิดนี้ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา ไม่เกี่ยวกับความเก่งมากเก่งน้อย ไม่เกี่ยวกับการศึกษา หรือสถาบันมีชื่อหรือไม่มีชื่อเสียง แต่เกี่ยวข้องกับจิตใจล้วนๆ ความจริงคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนคล้ายกับคำสอนของพระเยซูในเรื่องบัวสี่ชนิด แต่ต่างกันตรงที่ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เกี่ยวข้องกับความจำกัดของสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจ บางคนจึงเข้าใจได้ง่ายเหมือนบัวพ้นน้ำ แต่บางคนพูดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ เหมือนบัวในโคลนตม (เป็นการบอกว่า สิ้นหวังสำหรับบัวในโคลนตม)  แต่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องดินสามชนิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นที่จิตใจคนๆนั้นเองทั้งสิ้น ความไม่เข้าใจของดินชนิดแรกเป็นเรื่องของอารมณ์ที่ไม่ยอมเข้าใจ รากศัพท์คำกรีกที่ใช้คำว่าไม่เข้าใจ เป็นเรื่องของอารมณ์ แต่คำแปลความหมายแรกคือการไม่ยอมรับเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาไว้ในจิตใจของตนเอง  เป็นเรื่องของท่าที ถ้าเพียงแต่ปรับท่าทีให้เป็นเหมือนดินชนิดที่สี่ (ซึ่งสามารถทำได้) 23 ส่วน​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ตก​ใน​ดิน​ดี​นั้น ได้แก่​บุคคล​ที่​ได้​ยิน​พระ​วจนะ​นั้น​และ​เข้าใจ คน​นั้น​ก็​เกิดผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หก​สิบ​เท่า​บ้าง สามสิบ​เท่า​บ้าง”คำว่า เข้าใจตรงนี้ ยังคงใช้คำกรีกคำเดียวกัน คือการยอมปรับท่าทีที่จะเข้าใจ ปรับอารมณ์ ปรับพฤติกรรมตามพระวจนะอย่างเคร่งครัด เป็นความเชื่อที่ต้องเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟัง แล้วการเกิดผลจะตามมา ชนิดที่เกินความคาดหมาย คน​นั้น​ก็​เกิดผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หก​สิบ​เท่า​บ้าง สามสิบ​เท่า​บ้าง”ซึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคต้นๆ ได้กล่าวถึงการเกิดผลของสาวกของพระเยซูดังปรากฏในหนังสือ กิจการ 8:5-13 ​5 ส่วน​ฟีลิป​ก็​ไป​ยัง​เมือง​หนึ่ง​ใน​แคว้น​สะมาเรีย และ​ประกาศ​เรื่อง​พระ​คริสต์​ให้​ชาว​เมือง​นั้น​ฟัง​6 ประชาชน​ก็​พร้อม​ใจ​กัน​ฟัง​ถ้อยคำ​ที่​ฟีลิป​ได้​ประกาศ เพราะ​เขา​ได้​ยิน​ท่าน​พูด และ​ได้​เห็น​หมาย​สำคัญ​ซึ่ง​ท่าน​ได้​กระทำ​นั้น​7 ด้วย​ว่า​ผี​โสโครก​ที่​สิง​อยู่​ใน​คน​หลาย​คน​ได้​พา​กัน​ร้อง​ด้วย​เสียง​ดัง แล้ว​ออกมา​จาก​คน​เหล่า​นั้น และ​คน​ที่​เป็น​โรค​อัมพาต​กับ​คน​ง่อย​ก็​หาย​เป็น​ปกติ​8 จึง​เกิด​ความ​ปลื้ม​ปีติ​อย่าง​ยิ่ง​ใน​เมือง​นั้น 9 ยัง​มี​คน​หนึ่ง​ชื่อ​ซีโมน​เคย​ทำ​วิทยาคม​ใน​เมือง​นั้น​มา​ก่อน และ​ได้​ทำ​ให้​ชาว​สะมาเรีย​พิศวง​หลงใหล เขา​ยก​ตัว​ว่า​เป็น​ผู้วิเศษ​10 ฝ่าย​คน​ทั้ง​ปวง​ทั้ง​ผู้ใหญ่​ผู้น้อย​ก็​สนใจ​ฟัง​คน​นั้น แล้ว​ว่า “คน​นี้​คง​เป็น​อานุภาพ​ของ​พระ​เจ้า ซึ่ง​เรียก​ว่า​มหิทธิ​ฤทธิ์”11 คน​ทั้ง​หลาย​สนใจ​ฟัง​เขา เพราะ​เขา​ได้​ทำ​วิทยาคม​ให้​คน​ทั้ง​หลาย​พิศวง​หลงใหล​มา​นาน​แล้ว​12 แต่​เมื่อ​ฟีลิป​ได้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ ว่า​ด้วย​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า และ​พระ​นาม​แห่ง​พระ​เยซู​คริสต์​แล้ว คน​ทั้ง​หลาย​ก็​เชื่อและ​รับ​บัพติศมา​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​13 ฝ่าย​ซีโมน​เอง​ก็​เชื่อ​ด้วย เมื่อ​รับ​บัพติศมา​แล้ว​ก็​อยู่​กับฟีลิ​ปต่อ​ไป และ​ประหลาด​ใจ​ที่​เห็น​นิมิต​กับ​การ​อัศจรรย์​ซึ่งฟีลิ​ปได้ก​ระทำ  ฟิลิปเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้าที่ถูกเรียกว่า มัคนายก ก็คืออาสาสมัครรับใช้ร่วมกับเหล่าอัครทูตในเวลานั้น พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกถึงการเป็นดินชนิดที่สี่ของฟิลิปที่เกิดผลอย่างมากมาย และพื้นที่ที่ฟิลิปเกิดผลนั้น ไม่ธรรมดา เพราะเป็นพื้นที่ของชาวสะมาเรีย  ฟิลิปเป็นคนยิวนิยมกรีก ก็คือคนยิวที่อาจเกิดนอกประเทศอิสราเอลแต่ยังเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรม ชื่อของฟิลิปคือคำกรีก เหมือนกับสเทเฟน ฟิลิปเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลือกแต่งตั้งให้ดูแลเรื่องการแจกทานในเยรูซาเล็ม หลังจากสเทเฟนถูกฆ่าตาย ก็เกิดการข่มเหงคริสเตียนครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้พวกศิษย์กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง  มาถึงตอนนี้ฟิลิปเป็นคนหนึ่งที่มาทางทิศของแคว้นสะมาเรีย ทำไมฟิลิปจึงเลือกมาที่แคว้นสะมาเรีย และมายังเมืองๆหนึ่งที่นักวิชาการทางพระคัมภีร์บางคนคิดว่า น่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับที่พระเยซูเคยเสด็จผ่านมา และได้พบกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำยาโคบ และมีการสนทนากันถึงความเชื่อของชาวสะมาเรียเรื่องพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) ที่จะเสด็จมา หญิงสะมาเรียได้สนทนากับพระเยซูคริสต์ ยอห์น 4:25 ,28-29,41-42  25 นาง​ทูล​พระ​องค์​ว่า “ดิฉัน​ทราบ​ว่า​พระ​เมส​สิ​ยาห์ (​ที่​เรียก​ว่า​พระ​คริสต์​) จะ​เสด็จ​มา เมื่อ​พระ​องค์​เสด็จ​มา ​พระ​องค์​จะ​ทรง​ชี้แจง​ทุก​สิ่ง​แก่​เรา”…28 หญิง​นั้น​จึง​ทิ้ง​หม้อ​น้ำ​ไว้​และ​เข้า​ไป​ใน​เมือง​บอก​คน​ทั้ง​ปวง​ว่า​29 “มา​เถิด มา​ดู​ท่าน​ผู้​หนึ่ง​ที่​เล่า​ถึง​สิ่ง​สารพัด​ซึ่ง​ฉัน​ได้​กระทำ ท่าน​ผู้​นี้​จะ​เป็น​พระ​คริสต์​ได้​ไหม”…41 และ​คน​อื่น​เป็น​จำนวน​มาก​ได้​วางใจ เพราะ​พระ​ดำรัส​ของ​พระ​องค์​42 เขา​เหล่า​นั้น​พูด​กับ​หญิง​นั้น​ว่า “ตั้งแต่​นี้​ไป​ที่​เรา​เชื่อ​นั้น​มิใช่​เพราะ​คำ​ของ​เจ้า แต่​เพราะ​เรา​ได้​ยิน​เอง และ​เรา​รู้​ว่า​ท่าน​องค์​นี้​แหละ​เป็น​พระ​ผู้ช่วย​โลก​ให้​รอด​ที่​แท้จริง” ฟิลิปได้เข้ามาเมืองนี้ด้วยความตั้งใจที่จะประกาศเรื่องของพระคริสต์ (ความจริงของพระเจ้าที่ครั้งหนึ่งพระเยซูได้หว่านไว้แล้ว)  สิ่งที่น่าสังเกตตรงนี้ว่า ชาวเมืองตอบสนองอีกครั้งต่อการประกาศของฟิลิป  6 ประชาชน​ก็​พร้อม​ใจ​กัน​ฟัง​ถ้อยคำ​ที่​ฟีลิป​ได้​ประกาศ เพราะ​เขา​ได้​ยิน​ท่าน​พูด และ​ได้​เห็น​หมาย​สำคัญ​ซึ่ง​ท่าน​ได้​กระทำ​นั้น ความพร้อมใจกันฟัง เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย เป็นเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ฟิลิปพูดกับสิ่งที่ฟิลิปทำมันสอดคล้องกัน มันมีน้ำหนักทำให้คนสนใจ ข้าพเจ้าอยากให้เราได้คั่นตรงนี้ไว้ และมาดูว่า พระคัมภีร์ได้บันทึกสิ่งที่น่าสนใจอีกมุมหนึ่ง 9 ยัง​มี​คน​หนึ่ง​ชื่อ​ซีโมน​เคย​ทำ​วิทยาคม​ใน​เมือง​นั้น​มา​ก่อน และ​ได้​ทำ​ให้​ชาว​สะมาเรีย​พิศวง​หลงใหล เขา​ยก​ตัว​ว่า​เป็น​ผู้วิเศษ​10 ฝ่าย​คน​ทั้ง​ปวง​ทั้ง​ผู้ใหญ่​ผู้น้อย​ก็​สนใจ​ฟัง​คน​นั้น แล้ว​ว่า “คน​นี้​คง​เป็น​อานุภาพ​ของ​พระ​เจ้า ซึ่ง​เรียก​ว่า​มหิทธิ​ฤทธิ์”11 คน​ทั้ง​หลาย​สนใจ​ฟัง​เขา เพราะ​เขา​ได้​ทำ​วิทยาคม​ให้​คน​ทั้ง​หลาย​พิศวง​หลงใหล​มา​นาน​แล้ว​ จุดที่น่าสังเกตตรงนี้ คือ เมืองๆนี้มีคนๆหนึ่งชื่อซีโมนใช้วิทยาคมทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล และเป็นผู้ที่ยกตัวเองเป็นผู้วิเศษ และผู้คนในเมืองตั้งแต่เล็กสุดจนถึงใหญ่สุดต่างหลงใหลไปกับผู้วิเศษคนนี้ แต่อะไรเกิดขึ้นกับชาวเมือง ให้เรากลับมาข้อ 7  ผี​โสโครก​ที่​สิง​อยู่​ใน​คน​หลาย​คน…คน​ที่​เป็น​โรค​อัมพาต​กับ​คน​ง่อย เราคิดว่า ชีวิตของชาวสะมาเรียในเมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผีโสโครกและยังพากันเป็นง่อยและอัมพาต  จะเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสหรือไม่   เมื่อฟิลิปได้มาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกาย จากทุกข์เปลี่ยนไปข้อ 8 จึง​เกิด​ความ​ปลื้ม​ปีติ​อย่าง​ยิ่ง​ใน​เมือง​นั้น  คำว่า ปลื้มปิติ ภาษากรีกคำนี้ใช้คำว่า Mega  แปลว่า ใหญ่มาก เป็นความยินดีที่ยิ่งใหญ่มาก แสดงว่า ก่อนหน้านี้คนทั้งเมืองตกอยู่ในความทุกข์ที่แสนสาหัสมาก เมืองที่มีผู้วิเศษ นายซีโมน แทนที่จะปลดปล่อยคนจากทุกข์แต่กลับนำทุกข์ที่แสนสาหัสมา แต่ ฟิลิปคนธรรมดาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ และนำการเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตของชาวสะมาเรีย นี่คือความสำเร็จของสาวกของพระเยซู ผู้ที่ประกาศเรื่องของพระองค์ บทเรียนเรื่องชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดี  เราคงต้องกลับมาสำรวจจิตใจของเราอีกครั้งว่าเรามีความตั้งใจกับชีวิตของตัวเราเองอย่างไร

1.ตั้งใจที่จะเป็นดินที่ดี กิจการ 8:12

12 แต่​เมื่อ​ฟีลิป​ได้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ ว่า​ด้วย​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า และ​พระ​นาม​แห่ง​พระ​เยซู​คริสต์​แล้ว คน​ทั้ง​หลาย​ก็​เชื่อและ​รับ​บัพติศมา​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง เราได้เห็นการเกิดผลของฟิลิปจากความตั้งใจในการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ครั้งหนึ่งมีคนถามพระเยซูคริสต์ถึงความหมายของแผ่นดินของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ตอบว่า มัทธิว 12:28 28 แต่​ถ้า​เรา​ขับ​ผี​ออก​ด้วย​พระ​วิญญาณ​ของ​พระ​เจ้า แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​ก็​มาถึง​ท่าน​แล้ว  ​แผ่นดินของพระเจ้ายังหมายถึงอาณาจักรการครอบครองของพระเจ้า และการพิพากษาของพระองค์ด้วย เมื่อแผ่นดินของพระเจ้ามา จะมีคนที่เข้าแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้เพราะต้องถูกพิพากษาลงโทษเรื่องความบาปในชีวิต ดังนั้น การประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าจึงมาพร้อมๆกับหมายสำคัญคือชัยชนะเหนือผีที่ครอบงำคน และเรื่องการกลับใจใหม่จากบาปและการรับข้อเสนอการไถ่จากบาปผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าบนไม้กางเขน การรับเชื่อคือการแสดงความปรารถนาต้องการรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ และเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟังความจริงเรื่องนี้ นี่คือความตั้งใจที่จะเป็นดินดีชนิดที่สี่ ที่จะเกิดผลในชีวิตที่เกินจากความคาดหมาย มัทธิว13:23  23 ส่วน​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ตก​ใน​ดิน​ดี​นั้น ได้แก่​บุคคล​ที่​ได้​ยิน​พระ​วจนะ​นั้น​และ​เข้าใจ คน​นั้น​ก็​เกิดผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หก​สิบ​เท่า​บ้าง สามสิบ​เท่า​บ้าง”  แต่คนส่วนใหญ่มักจะมุ่งหวังผลโดยไม่จัดการกับจุดเริ่มต้นของตัวเองให้ถูกทิศถูกทางเสียก่อน นั่นคือการไม่ใส่ใจว่า จิตใจของตนเองเวลานี้ไม่ได้เป็นดินที่ดี แต่เป็นดินทางเดิน หรือดินที่ข้างใต้มีหิน หรือดินในดงหนาม  แต่กลับหวังผลลัพธ์แบบดินที่ดี  เข้าสำนวนที่เรียกว่า ปลูกถั่วอยากได้งา ขอให้เรากลับมาลองทบทวนความรู้เรื่องดินที่พระเยซูคริสต์เจ้าสอนอีกครั้ง ดินทางเดิน เป็นยังไง เป็นคนประเภทที่ยอมให้มารหลอกล่อได้ง่ายๆ เช่น….สนใจแต่ความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง สนใจแต่สิ่งอุปโลกมากกว่าของจริง หรือความจริงของพระเจ้า  หลงใหลอย่างคนขาดสติและขาดปัญญา  ติดตามผู้วิเศษ (ดาราซุปตาร์ทั้งหลาย) หรือ อากู๋ (กูเกิ้ล)  หรือเงินทองกลายเป็นผู้วิเศษที่บางคนให้คำนิยามเงินทองว่า สามารถดลบันดาลให้ได้ทุกสิ่ง (ซึ่งความจริงไม่ใช่)  ขอให้เรากลับมาสำรวจตัวเราว่า เรากำลังเป็นดินที่มีหินข้างใต้หรือไม่ ในยามที่กำลังเผชิญความทุกข์ยากลำบากหรือการข่มเหงรูปแบบต่างๆทำให้ท้อใจไม่อยากจะเดินอยู่ในความจริงของพระเจ้า และกลับไปอยู่วิถีชีวิตที่โกหกหลอกตัวเองอยู่หรือไม่ หรือเป็นดินชนิดที่สาม​บุคคล​ที่​ได้​ฟัง​พระ​วจนะ แล้ว​ความ​กังวล​ตาม​ธรรมดา​โลก และ​ความ​ลุ่ม​หลง​ใน​ทรัพย์​สมบัติ​รัด​พระ​วจนะ​นั้น​เสีย จึง​ไม่​เกิดผล  มันต้องมีสาเหตุว่าอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตจึงล้มเหลว ทำไมชีวิตจึงไม่เกิดผล ไม่ประสบความสำเร็จ  เราต้องหาสาเหตุ และจัดการกับต้นเหตุนั้นอย่างจริงจัง นั่นคือความตั้งใจที่จะเป็นดินที่ดี ไม่อย่างนั้น เราก็เหยียบขี้หมากองเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เกิดการพัฒนาหรือก้าวหน้า แถมยังถอยหลังลงคลอง ดินที่ดีจะมีแต่ความก้าวหน้า ถ้ามีแต่การถดถอย แสดงว่า เป็นดินไม่ดีไม่ชนิดใดก็ชนิดหนึ่งในสามชนิดนั้น พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสว่า มัทธิว 7:16-20 16 ท่าน​จะ​รู้จัก​เขา​ได้​ด้วย​ผล​ของ​เขา ผล​องุ่น​นั้น​เ​ก็​บ​ได้​จาก​ต้นไม้​มี​หนาม​หรือ หรือ​ว่า​ผล​มะเดื่อ​นั้น​เ​ก็​บ​ได้​จาก​พืช​หนาม​17 ต้นไม้​ดี​ย่อม​ให้​แต่​ผลดี ต้นไม้​เลว​ก็​ย่อม​ให้ผล​เลว​18 ต้นไม้​ดี​จะ​เกิดผล​เลว​ไม่ได้ หรือ​ต้นไม้​เลว​จะ​เกิด​ผลดี​ก็​ไม่ได้​19 ต้นไม้​ซึ่ง​ไม่​เกิด​ผลดี​ย่อม​ต้อง​ถูก​ฟัน​ลง​และ​ทิ้ง​เสีย​ใน​ไฟ20 เหตุ​ฉะนั้น ท่าน​จะ​รู้จัก​เขา​ได้​เพราะ​ผล​ของ​เขา   ขอบคุณพระเจ้าที่พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ต้นไม้เลวจะเปลี่ยนเป็นต้นไม้ดีได้ด้วยการจัดการกับท่าทีภายในจิตใจของเรา โดยภาพเปรียบเทียบจิตใจเหมือนกับรากของต้นไม้ ฮีบรู 12:12-15 12 เพราะ​เหตุ​นั้น​จง​ยก​มือ​ที่​อ่อน​แรง​ขึ้น และ​จง​ให้​หัว​เข่า​ที่​อ่อน​ล้า​มี​กำลัง​ขึ้น 13 และ​จง​ทำทาง​ให้​ตรง​เพื่อให้​เท้า​ของ​ท่าน​เดิน​ไป ​ เพื่อ​ว่า​ขา​ที่​เขยก​นั้น​จะ​ได้​ไม่​เคล็ด แต่​จะ​หาย​เป็น​ปกติ​14 จง​อุตส่าห์​ที่​จะ​อยู่​อย่าง​สงบ​กับ​คน​ทั้ง​หลาย และ​อุตส่าห์​ที่​จะ​ได้​ใจ​บริสุทธิ์ ซึ่ง​ถ้า​ใจ​ไม่​บริสุทธิ์​ก็​จะ​ไม่​มี​ผู้ใด​ได้​เห็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เลย​15 จง​ระวัง​ให้​ดี​อย่า​ให้​ใคร​เพิกเฉย​ต่อ​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า และ​อย่า​ให้​มี​ราก​ขม​ขื่น​งอก​ขึ้น​มา ทำ​ความ​ยุ่งยาก​ให้ ซึ่ง​จะ​เป็น​เหตุ​ให้​คน​เป็น​อัน​มาก​เสีย​ไป   ​พระคุณของพระเจ้ามาถึงเราแล้ว ขอให้ เราเลือกเป็นดินที่ดี และ….

2.จงออกจากความพิศวงหลงใหล  กิจการ 8:13

13 ฝ่าย​ซีโมน​เอง​ก็​เชื่อ​ด้วย เมื่อ​รับ​บัพติศมา​แล้ว​ก็​อยู่​กับฟีลิ​ปต่อ​ไป และ​ประหลาด​ใจ​ที่​เห็น​นิมิต​กับ​การ​อัศจรรย์​ซึ่งฟีลิ​ปได้ก​ระทำ ซีโมน ผู้พึ่งพาวิทยาคม ทำตัวเป็นผู้มีของวิเศษ และทำให้คนมากมายพิศวงหลงใหล คำว่า พิศวงหลงใหล รากศัพท์ภาษากรีกคำนี้ แปลว่า ออกจากทางของปัญญา และในข้อ 13 ตอนนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้น่าสนใจมากว่า ซีโมนคนนี้ หลังจากรับเชื่อ รับบัพติศมา เรียกว่า เปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนแล้ว ซีโมนก็ยังมีวิธีคิดแบบที่เขาเคยใช้กับคนอื่นๆที่เป็นเหยื่อของเขา พระคัมภีร์บันทึกว่าซีโมน ​ประหลาด​ใจ​ที่​เห็น​นิมิต​กับ​การ​อัศจรรย์​ซึ่งฟีลิ​ปได้ก​ระทำ คำว่า ประหลาดใจคำนี้ คือคำเดียวกันกับคำที่ถูกแปลว่า พิศวงหลงใหล แสดงว่า นายซีโมนคนนี้ยังติดอยู่กับวิธีคิดที่เป็นกับดักที่เขาได้ใช้กับคนอื่น แม้เขามาเป็นคริสเตียนและอยู่กับฟิลิปแล้วก็ตาม  (ซึ่งในซีรี่ย์ตอนต่อไปเราจะพบว่า นายซีโมนโดนตอกหน้าหงายจากคำพูดของตนเองที่ดูเหมือนซื่อแต่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทอง) แต่ตรงนี้คืออะไรบางอย่างที่ข้าพเจ้าจะขอจบบทเรียนเรื่อง ชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดีเท่านั้น และทิ้งท้ายเรื่องนายซีโมน คนทำวิทยาคมที่คนในปัจจุบันของเรามากมายได้ย่ำอยู่ในวิธีคิดแบบเดียวกันกับซีโมน โดยเฉพาะคริสเตียนทั้งหลายที่มาหาพระเยซูด้วยวิธีคิด วิธีมองสิ่งที่พระเยซูทรงทำในคริสตจักรอย่างคนที่ออกจากทางของปัญญา ขาดสติ แบบคนหลงใหล ทั้งๆที่คำสอนของพระคัมภีร์มุ่งเป้าหมายให้เราเข้าใกล้ปัญญามากที่สุด และนี่คือตัวอย่างในจำนวนมากมายจากพระคัมภีร์ที่สอนถึงเรื่องการได้ปัญญา สุภาษิต2:1-11 1 บุตร​ชาย​ของ​เรา​เอ๋ย ถ้า​เจ้า​รับ​คำ​ของ​เรา และ​สะสม​คำ​บัญชา​ของ​เรา​ไว้​กับ​เจ้า 2 กระทำ​หู​ของ​เจ้า​ให้​ผึ่ง​เพื่อ​รับ​ปัญญา และ​เอียง​ใจ​ของ​เจ้า​เข้า​หา​ความ​เข้าใจ 3 เออ ถ้า​เจ้า​ร้อง​หา​ความ​รอบ​รู้ และ​เปล่ง​เสียง​ของ​เจ้า​หา​ความ​เข้าใจ 4 ถ้า​เจ้า​แสวง​ปัญญา​ดุจ​หา​เงิน และ​เสาะหา​ปัญญา​อย่าง​หา​ขุมทรัพย์​ที่​ซ่อน​ไว้ 5 นั่น​แหละ เจ้า​จะ​เข้า​ใจความ​ยำเกรง​พระ​เจ้า และ​พบ​ความ​รู้​ของ​พระ​เจ้า 6 เพราะ​พระ​เจ้า​ประทาน​ปัญญา ความ​รู้​และ​ความ​เข้าใจ​มา​จาก​พระ​โอษฐ์​ของ​พระ​องค์ 7 ​พระ​องค์​ทรง​สะสม​สติปัญญา​ไว้​ให้​คน​เที่ยง​ธรรม ​พระ​องค์​ทรง​เป็น​โล่​ให้แก่​ผู้​ที่​ดำเนิน​ใน​ความ​ซื่อสัตย์ 8 ทรง​รักษา​ระวัง​วิถี​ของ​ความ​ยุติธรรม และ​ทรง​สงวน​ทาง​ของ​ธรรมิก​ชน​ของ​พระ​องค์​ไว้ 9 แล้ว​เจ้า​จะ​เข้าใจ​ความ​ชอบธรรม​และ​ความ​ยุติธรรม และ​ความ​เที่ยง​ธรรม คือ​วิถี​ที่​ดี​ทุก​สาย 10 เพราะ​ปัญญา​จะ​เข้า​มา​ใน​ใจ​ของ​เจ้า และ​ความ​รู้​จะ​เป็น​ที่​ร่ม​รื่น​แก่​วิญญาณ​จิต​ของ​เจ้า 11 ความ​เฉลียว​ฉลาด​จะ​คอย​เฝ้า​เจ้า และ​ความ​เข้าใจ​จะ​ระแวดระวัง​เจ้า​ไว้  ขอให้เราหยุดออกจากทางของปัญญา หยุดความหลงใหลไปกับสิ่งของในโลกนี้ได้แล้ว และกลับมาเป็นดินที่ดีเสียที เสียงจากพระเจ้ากำลังเรียกเราทุกคน ให้เราตอบสนองต่อเสียงเรียกนั้นอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะสายเกินไป

“ชีวิตที่เกิดผล…เกิดในดินที่ดี”

1.ตั้งใจที่จะเป็นดินที่ดี

2.จงออกจากความพิศวงหลงใหล

By admin