“ปราศจากที่ติ”
“ปราศจากที่ติ” ไม่ได้หมายความว่าจะผิดพลาดไม่ได้เลย ภาษาอังกฤษมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า changed from the scar to be a star แปลว่า แผลเป็นได้เปลี่ยนเป็นดวงดาว ความหมายก็คือ จากความน่าเกลียดกลายเป็นสิ่งที่สวยงาม ปราศจากที่ติ มีคนจำนวนไม่น้อยพยายามดำเนินชีวิตอย่างคนที่ปราศจากที่ติ แบบชนิดให้คนอื่นเจอความน่าเกลียดของตนเองไม่ได้ หรือจะไม่ยอมให้คนอื่นได้มองเห็นความผิดพลาดของตนเอง สิ่งที่คนเหล่านั้นแสดงออกคือการปกป้องตนเอง หรือไม่ให้ใครแตะส่วนที่บกพร่องของตนเอง นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากที่ติอย่างที่พระคัมภีร์กล่าวถึง หัวข้อประจำปี 2015“ปราศจากที่ติในพระคริสต์” จะทำให้เราสำรวจและก้าวเข้าสู่การเตรียมตัวรอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างคนที่ดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายเพื่อให้ปราศจากที่ติ อย่างคนที่เข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่ปกป้องตนเอง หรืออย่างคนที่ขาดความมั่นคง (Insecure) หากเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ขาดความมั่นคง และพยายามปกป้องสิ่งต่างๆในชีวิตไม่ให้คนอื่นติได้ เรากำลังเป็นคนที่ขาดความมั่นคง แท้จริง พระเจ้าทรงรู้ว่า ยิ่งเราขาดความมั่นคงมากเท่าไร เรายิ่งไม่พร้อมที่จะเผชิญกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น เพราะบาดแผลของเราจะเหวะหวะและดูน่าเกลียด ไม่สามารถอดทนจนถึงวันนั้น 1โครินธ์ 1:8 8 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติในวันของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บอกในความหมายนี้จริงๆ ว่า เราต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะทรงให้ท่าน มั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติ ประโยคนี้มีคำว่า “มั่นคง” ตามรากศัพท์ภาษากรีกคือ ยืนยัน แน่นอน คนไทยบางคนมักจะยึดติดอยู่กับคำว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทำให้คนไทยบางจำพวกจะไม่ยอมตัดสินใจกับสิ่งใดร้อยเปอร์เซ็น จะเผื่อเหลือเผื่อขาด เผื่อใจไว้ผิดหวัง เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน คนไทยเลยมีพระหลายองค์เอาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด องค์ไหนช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ ก็จะได้มีพระองค์อื่นไว้ช่วยเหลือ เรียกว่ากันเหนียว นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งของคนที่ขาดความมั่นคง Insecure และพระคัมภีร์ก็เรียกคนลักษณะนี้ว่า คนสองใจ รากศัพท์คำนี้ Double minded แปลว่า มีสองสปิริต มีสองความคิด หรือสองวัตถุประสงค์ในตัวคนๆเดียวกัน มีความขัดแย้งกันในคนๆเดียวกัน คนที่มั่นคง จะมั่นใจในการยืนยันและ จะแน่วแน่ในทางเดียว คนที่มั่นคงจะรู้ว่า ในพระเจ้ามีความแน่นอน ยากอบ 1:17 … ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง คนที่มั่นคงในพระเจ้าจะไม่กลับไปกลับมา ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะคนที่มั่นคงในพระเจ้าจะยึดมั่นในพระเจ้า คนที่มั่นคงในพระเจ้า คือคนที่รู้จริง มีข้อมูลจริงจากพระเจ้า มีมุมมองเดียวกันกับพระเจ้า นี่คือความแตกต่างระหว่างมุมมองของผู้เผยพระวจนะกับหมอดู ผู้เผยพระวจนะคือคนที่พระเจ้าพูดกับเขา แต่หมอดูคือคนที่ใช้ความสามารถต่างๆในการมีมุมมองและความเข้าใจอย่างมนุษย์ คือการตีความตามความเข้าใจที่จำกัดอย่างมนุษย์ แต่คนที่พระเจ้าพูดด้วย คือคนที่พระเจ้าเปิดตาและความเข้าใจให้มองเห็นอย่างที่พระองค์มองเห็นและเข้าใจ 1โครินธ์ 2:9-10 9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ 10 พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า ดังนั้น คริสเตียนคือคนที่ถูกกำหนดไว้ให้มีความรู้จริง ข้อมูลจริง สู่การปราศจากที่ติที่แท้จริง และคริสเตียนมีทางเลือกพิเศษคือ
1.ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์พิสูจน์
1ยอห์น4:1 1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก เราคงเคยได้ยินคำว่า ผีเห็นผี ซึ่งพวกเกย์ พวกตุ๊ดมักจะใช้ดูพวกเดียวกัน หรือพวกโลภก็จะเห็นคนโลภด้วยกัน คนที่ชอบอะไรเหมือนกันก็จะเห็นอย่างเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ฝ่ายวิญญาณจะเห็นและเข้าใจอย่างมนุษย์ฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน ซึ่งคนฝ่ายเนื้อหนังจะมองไม่เห็น 1โครินธ์ 2:14-15,12 14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ15 แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้…คำถามก็คือว่า มีคริสเตียนไม่น้อยที่ยังไม่ยอมดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ มนุษย์ฝ่ายวิญญาณจะรับรู้สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสื่อสาร 12 เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา คริสเตียนควรดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ ควรรู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้สื่อสารกับเรา การรับการสื่อสารกับพระเจ้าบ่อยๆ ทำให้คริสเตียนสามารถพิสูจน์สิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าได้ นี่คือความหมายของคำว่า 15 แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้… คำว่าวิจัย anakrinoรากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า ตรวจสอบ บ่งชี้ได้อย่างชัดเจน นำไปสู่ความสามารถในการพิสูจน์ ซึ่งแปลว่า ทดสอบ dokimazoหากปราศจากบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะไม่สามารถทดสอบหรือพิสูจน์วิญญาณใดๆ โดยเฉพาะวิญญาณเทียมเท็จ คำว่า เทียม แสดงว่า มีความใกล้เคียงกับของจริงมากจนดูไม่ออกแยกไม่ได้ ดูเหมือนมาจากพระเจ้ามาก ดูเหมือนคริสเตียนมาก ดูเหมือนคริสตจักรมาก ดูเหมือนร้อนรนมาก ดูเหมือนและดูเหมือน….. อะไรที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเห็นสิ่งที่มาจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน ถ้าไม่ใช่ก็จะเห็นความแตกต่าง….นี่คือเหตุผลว่า ทำไม พระเยซูคริสต์จึงทรงวางแปลนคริสตจักรไว้แบบสังคมครอบครัว คือมีกันและกัน รักกันและกัน เพื่อจะตรวจสอบกันและกัน (ไม่ใช่จับผิดกันและกัน) แต่ตักเตือนกันและกันได้ คนที่รักกันก็จะตักเตือนกัน เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณไม่ทำกัน ถ้าไม่รักกัน ก็ไม่สนใจ แต่คนรักกัน โดยเฉพาะมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่รักกันจะเตือนในสิ่งที่ไม่ใช่พฤติกรรมของมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ จะสอนกันด้วยความเคารพให้เกียรติกัน ฟังดีๆพี่น้อง มนุษย์ฝ่ายวิญญาณต้องให้พระวิญญาณนำ ไม่ใช่เนื้อหนังนำ คนที่เอาแต่ใจตนเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ คนที่ตักเตือนไม่ได้ ไม่ฟังใคร ใช้อารมณ์นำ ไม่ใช่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ มนุษย์ฝ่ายวิญญาณจะฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้ขณะมีอารมณ์จะเบรกแตก หรือมีงอน มีโกรธ แต่ช่วงเวลาหนึ่งจะฟังเสียงพระวิญญาณ และจะตอบสนองด้วยการเชื่อฟังพระวิญญาณ นี่คือจังหวะชีวิตที่เติบโตเป็นระยะๆของมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ จนพัฒนาไปสู่ความมั่นคงในที่สุด 1โครินธ์ 1:8 8 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติในวันของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา นั่นคือ การเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่สมบูรณ์โดยเอาเนื้อหนังออกให้มากที่สุด เพราะเนื้อหนังจะขาดความมั่นคง และหวั่นไหว….ทางเลือกอันที่สองที่จะนำไปสู่การปราศจากที่ติ….
2.ให้การกระทำของตนเองถูกพิสูจน์
เอเฟซัส 5:10 10 ท่านจงพิสูจน์ดูว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า คำว่า พิสูจน์ dokimazo ทดสอบ ซึ่งมีความหมายว่า ได้รับการอนุมัติ ได้ผ่านการเห็นด้วยในมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ตอนนี้ใช้สำนวนว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นคือ พระเจ้าต้องเห็นชอบด้วย มีคำหนึ่งที่โรงงานผลิตภัณฑ์ต่างๆต้องมีก่อนที่สินค้าจะถูกนำออกจากสายการผลิตเพื่อส่งไปจำหน่าย นั่นคือคำว่า คิวซี มาจากคำว่า Quality Control แปลว่า การควบคุมคุณภาพในมาตรฐานสากล คือเป็นที่ยอมรับ ชีวิตคริสเตียนจะต้องถูกพิสูจน์การกระทำ คิวซีจากพระเจ้า ว่า ผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็ต้องถุกทุบและปั้นใหม่ เราเป็นดินในมือช่างปั้น แต่อย่าตกใจว่า เมื่อพระเจ้าทุบ พระองค์จะทอดทิ้งเราเหมือนเศษดินที่ไร้ค่า แต่ดินทุกก้อนในมือช่างปั้น ล้วนมีค่าเสมอ พระคัมภีร์จึงมีสำนวนว่า ไม้อ้อช้ำแล้ว พระองค์ก็ไม่หัก แม้ไส้ตะเกียงจวนดับพระองค์ไม่ดับ นั่นคือภาพของการเยียวยา การรักษาเพื่อให้ชีวิตกลับคืนมาสู่สภาพที่ปราศจากที่ติ จากแผลเป็นกลายเป็นดวงดาว จากสภาพที่ใช้การไม่ได้ กลับมามีคุณภาพยอดเยี่ยมได้อีกครั้ง นี่แหละคือความหมายของการปราศจากที่ติของพระเจ้า ดังนั้น การให้การกระทำของตนเองเข้าสู่การพิสูจน์ของพระเจ้าคือ สปิริตของคริสเตียนที่ควรเป็นควรมีทุกคน อย่าหนีการพิสูจน์นี้ การมาโบสถ์ การเข้าสังคมคริสตจักร การรับใช้ร่วมกัน การแบ่งปันความคิด การกระทำ การใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้เชื่อด้วยกัน คือการเปิดพื้นที่ชีวิตให้ถูกพิสูจน์ ข้าพเจ้าจะไม่เข้าห้องสอบจนกว่าจะแน่ใจว่า ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้ากำลังจะต้องสอบเรื่องอะไร และข้าพเจ้าพร้อมสำหรับการสอบนั้น คนที่สอบตกบ่อยๆ ก็เพราะไม่มีการเตรียมสอบอย่างคนที่รู้จริง มีข้อมูลพร้อม คนจริงจะไม่กลัวการสอบ แต่คนที่ไม่จริง จะไปโดยไม่รู้และเต็มไปด้วยความกลัว และความไม่มั่นใจว่าจะสอบผ่านหรือเปล่า อย่าเป็นคนแบบนั้น เพราะคุณจะสอบตกตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าสู่การพิสูจน์ อย่าให้ชีวิตการรับใช้ ชีวิตคริสเตียน ชีวิตการเป็นสามี การเป็นภรรยา การเป็นลูก การเป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องเป็นญาติ เป็นบทบาทอะไรก็ตาม ต้องสอบตก สอบไม่ผ่าน ย่ำอยู่กับความผิดพลาดซ้ำๆ เพราะไม่ผ่านการพิสูจน์ ไม่ผ่านคิวซี แล้วก็พูดคำว่า ช่างมัน ไม่เป็นไร ยอห์นบัพติศโตได้กล่าวคำที่รุนแรงกับพวกฟาริสีที่พยายามจะทำตัวเนียนมารับบัพติศมาในน้ำ ลูกา 3:8-9 8 เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัม จากก้อนหินเหล่านี้ได้9 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดทิ้งแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” สภาพที่ต้องถูกทิ้งในกองไฟ ไม่ใช่เพราะไม่ผ่านคิวซี แต่เพราะไม่ยอมเข้าสู่การพิสูจน์การกลับใจด้วยผล คือไม่ยอมเปลี่ยนการกระทำและนำการกระทำเข้าสู่การพิสูจน์ของพระเจ้า แต่ยังปกปิดและทำตัวเนียนๆ และอ้างตัวว่ามีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ นี่คือการทำร้ายตนเองในตอนจบ นี่เป็นคำเตือนจากคนที่มองเห็นตอนจบของชีวิตที่มีแต่คำว่า ไม่เป็นไร ไม่ใส่ใจสาระที่แท้จริง….ทางเลือกของ ชีวิตที่ปราศจากที่ติ ประการสุดท้ายได้แก่…
3.จงพิสูจน์ทุกสิ่ง
1 เธสะโลนิกา 5: 21-23 21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น22 จงเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง 23 ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา มีคำหนึ่ง คือคำว่า โปร่งใส Transparency ไม่มียกเว้น 21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น22 จงเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง และนี่คือวิถีแห่งชีวิตที่ปราศจากที่ติ Blameless ชีวิตที่พิสูจน์ทุกสิ่ง ไม่ใช่ไปพิสูจน์คนอื่น แต่คือการพิสูจน์ตนเอง สิ่งที่ไม่ดีให้เอาออก ให้เลิก ให้งด ปีใหม่นี้ จะเป็นปีแห่งการเอาออกให้มากที่สุด เลิกให้มากที่สุด หยุดให้มากที่สุด ทิ้งให้มากที่สุด ให้เราพูดกับคนข้างๆสักหนึ่งคำที่คุณคิดว่าคุณตั้งใจจะลด ละ เลิก ทิ้ง ยุติเรื่องอะไร …วินัยใหม่จะนำเราไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจด้านต่างๆ ไม่โลเล ไม่ถดถอย แต่แน่วแน่…เมื่อวินัยเกิดขึ้นกับเนื้อหนัง เรื่องกระเพาะ แล้วเรื่องอะไรอีก ที่เราต้องลด ละ เลิก หยุดให้ได้ เรื่องวิธีคิด การกระทำ การแสดงอารมณ์ การใช้เหตุผล การใช้ความรู้สึก หรือความรู้ เรามีด้านต่างๆที่ต้องมีวินัยใหม่ในปีใหม่นี้แล้วหรือยัง ถ้าไม่มี จงแสวงหา ขวนขวาย ศึกษา หาที่ปรึกษา นี่คือแนวโน้มของชีวิตที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ปราศจากที่ติในวันที่พระคริสต์เสด็จมา….
“ปราศจากที่ติ”
1.ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์พิสูจน์
2.ให้การกระทำของตนเองถูกพิสูจน์
3.จงพิสูจน์ทุกสิ่ง