“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ในความสุภาพอ่อนโยน”
คำถามต่อไปนี้ เพื่อถามตัวเอง 1. เราเป็นคนที่สุภาพหรือไม่ 2.เราสุภาพตลอดเวลาหรือไม่ 3. เราเลือกที่จะสุภาพกับคนบางคนเท่านั้นหรือไม่….ต่อไปคือคำถามเรื่องความอ่อนโยน เช่นเดียวกัน เราอ่อนโยนหรือไม่ เราอ่อนโยนตลอดเวลาหรือไม่ และเราเลือกที่จะอ่อนโยนกับคนบางคนหรือไม่… คำว่า “สุภาพ” มีนิยามหมมายถึง ลักษณะที่ไม่ทำให้ผู้อื่นขัดตาขัดใจ ส่วนคำว่า “อ่อนโยน” มีนิยามหมายถึง มีกิริยาวาจานิ่มนวล รวมกันสองคำ ได้ความหมายว่า สุภาพอ่อนโยน แปลว่าผู้ที่มีกิริยาวาจานิ่มนวล ที่ไม่ทำให้ผู้อื่นขัดตาขัดใจ อีกคำถามสำหรับถามตัวเอง เราสุภาพอ่อนโยนกับคนใกล้ตัวหรือเฉพาะกับคนไกลตัว คนใกล้ตัว เช่นในบ้าน ในครอบครัว คนไกลตัว เช่น คนในสังคมการทำงาน การเรียน หรือสังคมที่เรายังต้องการการยอมรับ เมื่อวานเช้า ข้าพเจ้าขี่จักรยาน จะแซงลุงคนหนึ่งที่ขี่จักรยานอยู่ข้างหน้า อยู่ๆคุณลุงก็เลี้ยวตัดหน้าข้าพเจ้าทันทีขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ข้างคุณลุงแล้วข้าพเจ้าร้องว่า อะไรลุง และส่งเสียงอู้ เมื่อผ่านคุณลุงไปข้าพเจ้าหันกลับไปมองดุๆ คุณลุงแกยิ้มแบบรู้สึกผิด เกือบเกิดอุบัติเหตุแล้ว ข้าพเจ้าขี่จักรยานไปสำรวจตัวเองว่า ข้าพเจ้าไม่สุภาพอ่อนโยนกับลุงเลย รู้สึกเสียโอกาสที่ไม่ได้กล่าวคำว่า ขอโทษเพราะขี่จักรยานผ่านลุงไปไกลแล้ว ได้บทเรียนสำหรับเราในวันนี้คือ ความสุภาพอ่อนโยนจริงๆ จะต้องถูกพิสูจน์แบบไม่ทันตั้งตัว ถ้ามีการเตรียมตัวล่วงหน้า มันอาจเป็นมารยาทสังคม ความสุภาพอ่อนโยนแท้จริงต้องดูที่บ้าน การใช้ชีวิตกับคนใกล้ตัว…ข้าพเจ้าคงต้องไปเยี่ยมบ้านของพวกเราแบบไม่บอกล่วงหน้า ท่าจะดี…. .กาลาเทีย 5:16-23 16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ18 แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณ ท่านก็ไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้ซึ่งข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์23ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย (THSV 2011) รากศัพท์ภาษากรีกคำว่า ความสุภาพอ่อนโยน แปลว่า ความนุ่มนวล เป็นคำเดียวกันกับที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกล่าวถึงพระลักษณะของพระองค์ในมัทธิว 11:28-29 บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก พระเยซูคริสต์เจ้ากำลังชี้ให้เราเห็นถึงคนที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก ต้องการอยู่ใกล้คนที่มีความสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งต้องมีจิตใจอ่อนน้อมด้วย รากศัพท์ภาษากรีกของคำว่า อ่อนน้อม แปลว่า มีใจที่ยอมต่ำลง (ถ่อมใจ) จงมาหาเรา….แล้วเรียนจากเรา พระเยซูคริสต์เจ้าทรงชี้ให้เราได้เห็นอีกว่า คนที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจะได้หยุดพักจริงๆ จากการสอนของคนที่สุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และพระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ วันนี้ มีคนอยากจะสอนคนอื่นเยอะแยะ บางคนก็อยากจะสั่งสอนคนที่ตัวเองหมั่นไส้ บางคนก็อยากจะสอนให้คนเปลี่ยนแปลงอย่างที่ตนเองอยากให้เขาเป็น บางคนก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ต้องสอนคนให้รู้ความจริง บางคนที่ไม่มีหน้าที่ที่จะสอนก็ยังอยากจะพูดอะไรออกมาเพื่อสอนคนอื่น เราจะเห็นว่า มีผู้หวังดี และไม่หวังดีใช้การสอนด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกัน หากเป็นผู้ไม่หวังดี ก็จะยิ่งซ้ำเติมให้กับคนที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักมากขึ้น หากเป็นผู้หวังดี แต่ไม่ได้สอนจากความสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม ผลลัพธ์ของการสอนนั้นจะเหมือนผู้ไม่หวังดี นั่นคือการไปซ้ำเติมให้คนยิ่งเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักมากขึ้น แม้ปากเราจะบอกว่า เราหวังดี เรารักก็ตาม โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นเพื่อน… พระเยซูได้ยกตัวอย่างการสอนของคนจำพวกหนึ่งใน มัทธิว 23:1-7 1 เวลานั้น พระเยซูตรัสกับฝูงชนและบรรดาสาวกของพระองค์ว่า2 “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส3 เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายสั่งสอนพวกท่านนั้น จงถือและประพฤติตามยกเว้นการประพฤติของพวกเขาอย่าทำตามเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน4 เพราะพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่าของมนุษย์ แต่ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวไปยก5 การกระทำของพวกเขาล้วนทำเพื่ออวดคนอื่น พวกเขาทำกลักพระธรรมขนาดใหญ่และสวมเสื้อที่มีพู่ห้อยยาว6 พวกเขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยงและที่นั่งโดดเด่นในธรรมศาลา7 ชอบรับการคำนับที่กลางตลาดและชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ คำสอนของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีมาจากใจที่ไม่ยอมลดตัวลงต่ำ (ใจอ่อนน้อม) จะเห็นได้ว่า คนเหล่านี้ชอบอวด ชอบให้คนยกย่อง ชอบรับการคำนับในที่แจ้ง เพื่อให้คนอื่นเห็น ดังนั้น คำสอนของคนเหล่านี้จึงไม่สามารถทำให้คนหายเหนื่อยและเป็นสุขได้ แต่ในทางตรงกันข้ามยิ่งเป็นการเพิ่มภาระหนักให้กับผู้ฟัง เราจะเห็นว่า ความสุภาพอ่อนโยนเป็นสปิริตที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมคำพูดทุกอย่าง ขอให้เราทั้งหลายจงใส่ใจสปิริตที่อยู่เบื้องหลังคำสอน มากกว่าผักชีโรยหน้า แต่จงให้เป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่แท้จริง อยู่ตรงไหน เราก็สุภาพอ่อนโยน และมีใจอ่อนน้อม เราจะเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ใช่อยู่ใกล้แล้ว ก็เหนื่อยระอาใจ ความสุภาพอ่อนโยนเป็นคุณลักษณะหนึ่งใน 9 อย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพของพระเจ้า พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เจ้าและพระบิดาในฟ้าสวรรค์ ดังนั้น คุณลักษณะของพระเยซูคริสต์ในเรื่องของใจที่อ่อนน้อมก็ควบคู่ด้วยกับความสุภาพอ่อนโยน ขอให้เราทั้งหลายเรียนรู้การเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า คือการเป็นเหมือนพระองค์ในเรื่องนี้จากคำตรัสของพระองค์ในมัทธิว 11:28-30ได้ให้แนวทางในการปฏิบัติของชีวิตที่ ปราศจากที่ติ…ในความสุภาพอ่อนโยน ประการแรก
1.คนที่สุภาพอ่อนโยน…เชิญชวนคนให้หายเหนื่อยและหยุดพัก
มัทธิว 11:28บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก
ข้าพเจ้ามีคำถามกับตัวเอง และกับคนอื่นๆด้วยว่า ชีวิตของเรากำลังเชิญชวนคนให้เข้าใกล้หรือกำลังไล่ให้คนวิ่งหนีไปจากเรา ให้เราลองสังเกต ตัวเราเองว่า เวลาใครอยู่ใกล้เราแล้วสบายใจหรือไม่สบายใจ หรือสังเกตคนที่ใครก็อยากอยู่ใกล้ อยากคุยด้วย ให้เราลองสังเกตวิธีพูดคุยของคนแบบนี้ ถ้าเป็นคนที่ชอบพูดทับถมคนอื่น คุณว่าคนอยากวิ่งหนีหรืออยากอยู่ใกล้ ถ้าพูดให้เกียรติคนอื่น พูดชม พูดถึงแต่ส่วนดีของคนๆนั้น รับรองเขาอยากจะฟังอีก แต่ถ้ามีแต่สอนๆๆๆๆๆๆ เตือนๆๆๆ ว่าๆๆๆๆด่าๆๆๆๆ วิจารณ์ๆๆๆๆๆ จงรู้เถิดว่า คุณช่างไม่มีเสน่ห์ให้อยากอยู่ใกล้เลย แต่ถ้าคุณทำให้คนหัวเราะ ให้กำลังใจ ให้ถ้อยคำที่อ่อนหวาน ชวนให้รัก จงรู้เถิดว่า คุณกำลังเชิญชวนให้คนหายเหนื่อยและหยุดพัก แต่ข้าพเจ้าอยากจะย้ำว่า ต้องมาจากความจริงใจ ไม่ใช่หลอกลวงนะ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีคุณลักษณะที่ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ เพราะอยู่ใกล้พระองค์แล้ว มีแต่การเชิญชวนให้ได้หายเหนื่อย ได้พัก ได้วางภาระลง ซึ่งตรงกันข้ามกับคำเชิญชวนของโลกนี้ที่มีแต่ทำให้เกิดพันธนาการ ภาระผูกพัน และทำให้เหน็ดเหนื่อย แม้บริการหรือสินค้าบางอย่างที่ชวนให้พักผ่อน ชวนให้พัก แต่ต้องเสียสตังค์ทั้งสิ้น มีคนบางคนถูกเชิญชวนให้ไปอยู่ฟรีกินฟรีประมาณสามวัน โรงแรมดีอาหารเพียบ กลับมาทุกคนจะพูดแต่คำว่า เหมือนไปสวรรค์เลย เพราะว่าไม่ต้องมีภาระจ่ายสตังค์ นี่คือความรู้สึกของคนในยุคนี้ที่การจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆคือภาระและความเหน็ดเหนื่อย เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงส่งสาวกออกไปทำพันธกิจ พระองค์ตรัสกับสาวกว่า มัทธิว 10:7-9 7 จงไปพลางประกาศพลางว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’8 จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ 9 อย่าหาเหรียญทองคำหรือเงินหรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่าน น่าสนใจที่ในยุคนั้นก็มีคำว่า ฟรีๆ ด้วยสำนวนว่า ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ พระเยซูสอนสาวกว่า 9 อย่าหาเหรียญทองคำหรือเงินหรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่าน คำสอนนี้กำลังบอกว่า เราจะทำอย่างไรที่การเชิญชวนคนให้หายเหนื่อยและได้หยุดพักที่แท้จริง โดยไม่ทำให้คนเหล่านั้นคิดว่าเรากำลังแสวงหาผลประโยชน์จากพวกเขา เราต้องใช้สติปัญญา มีคุณแม่คนหนึ่งต้องการให้ลูกของเขาได้รับความช่วยเหลือด้านการรับคำปรึกษาจากโบสถ์ คำถามแรกคือ ต้องเสียตังค์ไม๊ เขาเสียให้กับบริการประเภทนี้มากแล้ว เมื่อเราตอบเขาว่า ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เขาโล่งอก รู้สึกหายเหนื่อย คริสตจักรเราไม่ค่อยเรียกร้องให้พี่น้องถวายอะไรพิเศษนัก การเดินถุงถวายทรัพย์แต่ละอาทิตย์ก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องในเรื่องถวายสิบลดและสัญญาพันธกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่น้องมีความรับผิดชอบส่วนตัวกับพระเจ้า ท่านถวายสิบลด กับพันธกิจ ก็คือ พระพรที่ท่านเองรู้ด้วยตัวเอง ว่าพระเจ้าทรงให้ภาระใจกับแต่ละคนอย่างไร พันธกิจเป็นช่องทางของพระพรพิเศษที่พระเจ้าต้องการอวยพรแก่คนของพระองค์ บางครั้งข้าพเจ้าจะหนุนใจให้คนถวายพันธกิจด้วยก็เพราะมันคือช่องทางพระพรสำหรับคนนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการเงินของท่าน แต่ข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้รับพระพรเหมือนกับที่อ.เปาโลได้กล่าวว่า ฟิลิปปี 4:17,19 17 มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น…19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ หากพี่น้องเห็นว่าเป็นพระพร ท่านก็จะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการถูกเชิญชวนนั้น ข้าพเจ้าเชื่อในการนัดหมายของพระเจ้าระหว่าง คำเชิญชวนให้คนหายเหนื่อยและหยุดพักกับคนรับการเชิญชวนจะพบกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ เพียงแต่ว่าขอให้คุณจูนสัญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เจ้า นั่นคือ ความตั้งใจที่จะช่วยคนให้ได้หายเหนื่อยและไปจนถึงการหยุดพักจริงๆ นี่คือประการที่สอง
2.คนที่สุภาพอ่อนโยน…ช่วยคนที่เหน็ดเหนื่อยให้ไปถึงการหยุดพัก
มัทธิว 11:29-30 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” คำว่า จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา “แอก”รากศัพท์คำกรีกคำนี้แปลว่า การเชื่อมต่อ การคานกันให้เกิดความสมดุลของน้ำหนักที่แบกไว้ นี่คือภาพการเข้ามาเทียมแอก เทียมภาระร่วมกับพระเยซู ยกตัวอย่างเช่นข้าพเจ้าตัวใหญ๋ได้เรียกเด็กเล็กมาเทียมแอกที่ข้าพเจ้าแบก เราคิดว่า เด็กที่เทียมแอกกับข้าพเจ้าจะรู้สึกหนักไม๊ ไม่เลย เพราะน้ำหนักลงที่คนตัวใหญ่อย่างข้าพเจ้า พระเยซูทรงอยู่สูงกว่า แต่พระองค์ไม่ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ เมื่อพระองค์ลงมายังโลกนี้และเรียกเราซึ่งเล็กน้อยมากมาเทียมแอกกับพระองค์ นั่นคือความหมายที่พระเยซูบอกเราว่า แอกของพระองค์พอเหมาะและภาระก็เบาที่แท้จริง เพราะพระองค์ทรงเอาภาระทั้งสิ้นของโลกนี้ไว้ที่พระองค์แล้ว รวมทั้งภาระของเราทั้งหลายด้วย พระเยซูไม่ได้เป็นเหมือนกับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ที่เอาห่อของหนักวางบนบ่าคนอื่นโดยการสอนอย่างเดียวแต่ไม่ทำอะไรเลย แต่พระเยซูทรงโน้มตัวลงและสอนและทำ พระเยซูทรงตรัสว่า มาระโก 10:45 45 เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” นั่นหมายความว่า การร่วมแอกและภาระเดียวกันกับพระเยซู มีความหมายว่า พระเยซูไม่ใช่แค่สอนอย่างเดียว แต่พระองค์ยังช่วยให้เราสามารถทำได้ด้วย 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”และพระเยซูก็ทำให้เป็นแบบอย่างว่าทำได้มาแล้ว โดยการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำจากพระบิดา ดังนั้น คำสอนของพระเยซูจึงสมดุล ไม่ใช่ไปหนักที่คนฟังอย่างเดียว สาวกของพระเยซูที่มีความสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม จะช่วยคนอื่นให้ไปถึงการหยุดพักได้ ต้องมีชีวิตที่ทำอย่างที่สอน เป็นแบบอย่าง และต้องตั้งเป้าว่า จะสอนคนได้ต้องมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ไม่ใช่กลับหัวกลับหาง อย่างแม่ปูสอนลูกปูให้เดินตรงในขณะที่แม่ปูยังเดินเอียง หรือพ่อสอนลูกอย่าสูบบุหรี่ แต่พ่อยังแอบสูบบุหรี่ให้เพื่อนบ้านแอบเห็น หรือเราประกาศว่าเราเป็นคริสเตียนแต่ยังดำเนินชีวิตที่คนไม่เป็นคริสเตียนเห็นแล้วส่ายหน้า หรือเหน็ดเหนื่อยใจกับเรา แล้วเราจะช่วยให้คนหายเหนื่อยได้อย่างไร บางคนก็เป็นคริสเตียนที่มีมุมมองชีวิตที่มองอะไรก็เหน็ดเหนื่อย เพราะเรายังไปไม่ถึงการได้หยุดพักตามคำเชิญชวนของพระเยซู เพราะเราไม่ได้เป็นศิษย์ของพระเยซูจริงๆ เราเป็นแค่ ผู้ศรัทธาก็ไม่เชิง สาวกก็ไม่ใช่ ไม่รู้เป็นอะไร แต่ชีวิตยังเหน็ดเหนื่อยไม่จบไม่สิ้น เพราะเราไม่ได้เรียนรู้จริงๆเกี่ยวกับเรื่องความสุภาพอ่อนโยน และใจที่อ่อนน้อม ในการช่วยเหลือคนที่เหน็ดเหนื่อยจนถึงการหยุดพัก เรามัวแต่สนใจว่าตนเองเหน็ดเหนื่อย สนใจแต่ปัญหาของตนเอง นั่นคือเรากำลังแบกแอกและภาระของตนเองเพียงลำพัง แต่คนที่เทียมแอกกับพระเยซู จะมีความรู้สึกว่าแอกนั้นพอดี และไม่รู้สึกหนัก แต่จะเบา 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”หมายความว่า คนที่เทียมแอกกับพระเยซูจะมีกำลังที่จะช่วยคนอื่นได้ เขาจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หนังสืออิสยาห์ 40:28-31 28 ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ 29 พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง 30 แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว 31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย คนที่ไม่สุภาพอ่อนโยนมักจะคิดและทำอะไรอย่างคนก้าวร้าว ไม่อดทน รอคอยไม่เป็น จึงไปไม่ถึงการรับกำลังใหม่จากพรเจ้า คำอธิบายในรากศัพท์ของคำว่า สุภาพอ่อนโยนในหนังสือกาลาเทียได้ให้ความหมายด้านการอดทน ทำให้คนที่สุภาพอ่อนโยน รู้จักการรอคอย จนไปถึงประสบการณ์ของการรับกำลังเพิ่มเรี่ยวแรงจากพระเจ้า คนที่สุภาพอ่อนโยนจึงสามารถช่วยคนที่เหน็ดเหนื่อยให้ไปถึงการหยุดพักได้ หากเราจะช่วยคน เราต้องดูกำลังของตนเอง บางคนดูแล้วก็พูดว่า ไม่ไหว ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วก็ปล่อยให้ชีวิตของตนเองเป็นคนไปไม่รอด ไปไม่ไหว ถ้าเรารอว่าเมื่อไรจะไหว เราก็จะตายในที่สุด เราทั้งหลายในวันนี้กำลังอยู่ในสภาพไหน คำแรกคือ คำว่า เหยื่อ Victimคำที่สองคือ ผู้รอดชีวิต Survivorคำที่สามคือคำว่า ผู้ที่เจริญเติบโตดีผู้ประสบความสำเร็จ Thriver เราจะเลือกเป็นอะไร ในท่ามกลางสถานการณ์และผู้คนที่เลวร้าย มีคนไม่น้อยที่รู้สึกกับตัเองว่า ตัวเองเป็นเหยื่อ ถูกกระทำ ถูกเอาเปรียบ ความรู้สึกของคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเป็นภาระ หรือคนที่เป็นผู้รอดชีวิต ก็จะรู้สึกกับตัวเองว่า ตัวเองต้องกระเสือกกระสนเพื่อเอาตัวเองรอดไปแต่ละครั้ง แสนจะยากลำบาก ภาระที่ต้องแบก แสนจะเหน็ดเหนื่อย คนที่พยายามรักษาชีวิตเพื่อให้รอดแต่ละครั้ง มักจะติดสิ่งเสพติดอะไรบางอย่างเพื่อประทังชีวิตที่แสนเครียด แสนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า บางคนก็ติดเหล้า บุหรี่ สิ่งบันเทิง อาหาร แฟชั่น ความหลงใหลในบางสิ่งบางอย่าง…. แต่จะมีใครที่มีกระบวนความคิดอย่างคำที่สาม คือการเป็นผู้ที่เจริญเติบโตดี ที่จะมุ่งหน้าเพื่อการเติบโตดี คำสอนในพระคัมภีร์ใช้สำนวนว่า บรรลุและโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่… เอเฟซัส4:13-14 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวงพระคัมภีร์ยังบอกเราว่า ถ้าเราเป็นเด็ก เราจะเป็นเหยื่อของลมปากแห่งคำสั่งสอนที่มาด้วยเล่ห์กลและอุบายที่ฉลาดอันเป็นการล่อลวง เพื่อให้เราติดกับดัก กับดักที่ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลาไม่ได้หยุดพัก ในปฐมกาล เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก และสร้างสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงหยุดพักในวันที่เจ็ด ในอพยพ เมื่อพระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระเจ้าทรงสั่งให้โมเสสสอนชาวอิสราเอลให้มีวันหยุดพัก คือสะบาโต แต่การหยุดพักในยุคต่อๆมาจนถึงยุคของพระเยซูคริสต์เจ้า ได้ถูกบิดเบือนเจตนารมณ์แรกไปโดยคนที่มีหน้าที่สอน ทำให้การตีความได้เพิ่มความคิดอย่างมนุษย์ที่ไม่ยอมโน้มตัวลงต่ำลงช่วยเหลือ แต่กลายเป็นสอนของคนที่คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่น นั่นไม่ใช่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่แท้จริง เพราะผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอดคล้องกับพระลักษณะของพระเยซูคริสต์เจ้า และผลจากพระลักษณะของพระเยซูคริสต์เจ้านั้นมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้ ดังนี้
มัทธิว 5:5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
สดุดี 37:11 แต่คนใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดก และตัวเขาปีติยินดีในความเจริญอุดมสมบูรณ์
ข้าพเจ้าขอตีความการได้รับ แผ่นดินโลกเป็นมรดก จากพระคัมภีร์สองตอนนี้ว่า ความสุภาพอ่อนโยนทำให้คน มีที่ยืนบนแผ่นดินโลกเสมอ โดยเฉพาะพื้นที่ในหัวใจของคน เพราะเขาไม่ได้เหยียบย่ำหัวใจของคนให้บอบช้ำ แต่เขารักษาเยียวยาหัวใจของคน สุภาษิต 27:9 น้ำมันและน้ำหอมกระทำให้ใจยินดี และคำเตือนสติอันอ่อนหวานของเพื่อนก็เป็นที่ให้ชื่นใจ คนที่สุภาพอ่อนโยน คือคำตอบที่คนมากมายในยุคของเรากำลังต้องการ เพราะคนสุภาพอ่อนโยนสามารถเข้าไปนั่งในใจของคนมากมายได้ และเราทั้งหลายที่นี่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้เป็นเจ้าของผลแห่งความสุภาพอ่อนโยนนี้อยู่ในตัวเราแล้ว ขอ ให้เราตอบสนองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เรื่อง ความสุภาพอ่อนโยนด้วยกัน โดยการต่อสู้กับเนื้อหนังที่ตรงกันข้ามกับสุภาพอ่อนโยน ก็คือ ความก้าวร้าว หยาบคายในชีวิตของเราที่ต้องจัดการ เพื่อเราจะมี
“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ในความสุภาพอ่อนโยน”
1.คนที่สุภาพอ่อนโยน…เชิญชวนคนให้หายเหนื่อยและหยุดพัก
2. คนที่สุภาพอ่อนโยน…ช่วยคนที่เหน็ดเหนื่อยให้ไปถึงการหยุดพัก