“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….อยู่อย่างคุ้มค่าและมีกำไร”
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน เป็นคำพูดที่ตีราคาของคนอยู่ที่ความสามารถของคนๆนั้นว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ให้ขนาดไหน คนที่ไม่เก่ง ไม่สามารถ จึงดูเหมือนไม่มีราคา และถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในสังคม ตั้งแต่ในครอบครัว จนถึงสถาบันต่างๆ เงินเดือนกลายเป็นตัวกำหนดคุณค่าของคนในองค์กรต่างๆมากมาย จนทำให้คุณค่าของคนถูกนิยามอย่างผิดๆไป แต่พระคัมภีร์ได้ให้คุณค่าของชีวิต อยู่ที่ผลของชีวิต มิใช่ผลของงาน สุภาษิต6:12-15 12 คนไร้ค่า คือคนชั่วร้าย ที่เที่ยวไปด้วยวาจาคดเคี้ยว 13 ตาของเขาก็ขยิบ เท้าของเขาก็ขยับ นิ้วของเขาก็ชี้ไป 14 ประดิษฐ์ความชั่วร้ายด้วยใจตลบตะแลง หว่านความแตกร้าวอยู่เรื่อยไป 15 เพราะฉะนั้นความหายนะจะมาถึงเขาอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉับพลันนั้นเองเขาจะแตกอย่างซ่อมไม่ได้ ผลของชีวิตที่ชั่วร้าย ทำให้ชีวิตกลายเป็นคนไร้ค่า ฉบับแปล 2011 แปลว่าว่า คนถ่อย รากศัพท์ภาษาฮีบรูแปลว่า ไม่มีกำไร (ขาดทุน) ไม่คุ้มค่า สุภาษิต 16:27-30 27 คนไร้ค่า ปองทำความชั่ว วาจาของเขาเหมือนอย่างไฟลวก 28 คนตลบตะแลงแพร่การวิวาท และผู้กระซิบก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน 29 คนทารุณล่อชวนเพื่อนบ้านของเขา และนำเขาไปในทางที่ไม่ดี 30 บุคคลผู้ขยิบตากะแผนงานที่ตลบตะแลง บุคคลผู้เม้มริมฝีปากของเขานำความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น เราจะเห็นการทำผิดด้วยคำพูดจากสุภาษิตสองตอนนี้ได้ทำลายคุณค่าของคนพูดเอง แล้วยังทำลายคุณค่าของการอยู่ร่วมกันของคนอื่น คุณค่าของชีวิตอยู่ในตัวบุคคลแต่ละคน และเมื่อแต่ละบุคคลมาอยู่ร่วมกัน อย่างมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นั่นคือกำไร แต่หากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันถูกทำลาย คุณค่าของการอยู่ร่วมกันก็ถูกทำลายไปด้วย ก็จะเกิดภาวะขาดทุน ภาวะอยู่ด้วยกันอย่างไม่คุ้มค่า แท้จริง ขีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่สามารถสำแดงคุณค่าได้ด้วยตัวคริสเตียนเองให้อยู่อย่างคุ้มค่าและมีกำไร ฟิลิปปี 4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า สำนวนภาษาอังกฤษใช้ประโยคว่า I can do all thing through Christ which strengthen me แปลไทยเป็นไทยก็คือ ข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าทำได้ หรืออีกความหมายหนึ่งแปลว่า เราสามารถประสบความสำเร็จทุกอย่างได้โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้ทำให้เราประสบความสำเร็จ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า ลูกา6:44-45 44 เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้ทุกต้นได้ก็เพราะผลของมัน เพราะว่าเขาย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้มีหนาม หรือย่อมไม่เก็บผลองุ่นจากต้นระกำ45 คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น ชีวิตที่กำไร หรือขาดทุน อยู่ที่ต้นทุนที่เราส่ำสมไว้ในคลังใจของตัวเรา จะเป็นต้นทุนดี หรือต้นทุนที่ติดลบก็อยู่ที่ตัวเรา พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการต้นทุนอีกนัยหนึ่งว่า กาลาเทีย 6:7-8 7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น การใช้ชีวิตทุกๆวันคือการหว่าน และเก็บเกี่ยวผลจากต้นทุนที่มี เราไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้ว่าขณะที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ เรากำลังสะสมต้นทุนที่ติดลบหรือต้นทุนที่ดีอยู่ ทุกวันทุกชั่วโมงทุกนาที เรากำลังทำอะไร เรากำลังพูดอะไร เรากำลังคิดอะไร เราคิดว่า เราทำเล็กน้อย พูดแค่นิดหน่อย ไม่ได้ทำอะไรเสียหายมาก แต่โลกนี้มีกฎฝ่ายวิญญาณที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎนั้น เหมือนกับกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ถ้าเราไม่ตระหนัก เราก็จะหกล้มบาดเจ็บอยู่ประจำ และถ้าเราไม่ใส่ใจมากๆ จากการหกล้มเราก็จะกระดูกหัก และถ้าเราไม่สนใจ เราก็จะเดินไม่ได้ เมื่อเราเดินไม่ได้ อะไรต่อมิอะไรก็จะเกิดขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน ชีวิตที่ไม่ใส่ใจว่า ตัวเรามีคุณค่าขนาดไหนใช้ต้นทุนที่มีที่ไม่ได้ต่อยอด แต่หมดไป ผลาญไปกับอะไรที่ไม่เสริมสร้าง ไม่ก่อให้เกิดกำไร ก็เท่ากับการเอาตะลันต์ไปฝังดิน ความจริง เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า สถานะของเราเปลี่ยนใหม่แล้ว เรามีต้นทุนใหม่แล้วเช่นกัน 1โครินธ์ 7:23 พระเจ้าทรงซื้อท่านด้วยราคาสูง อย่าเข้าเป็นทาสของมนุษย์เลย เอเฟซัส 5:1-2 1 เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า นี่คือต้นทุนชีวิตที่พระเจ้าได้มอบให้เราใหม่ เราไม่ได้มีต้นทุนที่ติดลบ อย่าดำเนินชีวิตอย่างคนติดลบ อย่าใช้ชีวิตแบบราคาถูกๆ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีค่ายกักกันนักโทษสงครามมากมายที่ทหารนาซีควบคุมอยู่ ที่เรียกว่า POW (Prisoner of War) พวกนักโทษในค่ายต่างดำเนินชีวิตปกติอย่างนักโทษ โดยไม่รู้เลยว่า กองทัพของนาซีพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายพันธมิตรไปแล้ว พวกนักโทษไม่ได้สังเกตเลยว่า ผู้ควบคุมมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จนเมื่อทหารพันธกมิตรบุกเข้ามาเพื่อปลดปล่อยพวกเขา เขาจึงรู้ว่า เขามีเสรีภาพนานแล้ว และสถานะของพวกเขาได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ใช่นักโทษ แต่ทำตัวเป็นนักโทษตลอดเวลาแห่งชัยชนะ เช่นเดียวกัน มารซาตานพ่ายแพ้แก่พระเยซูคริสต์เมื่อวันที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขน เมื่องสองพันปีที่แล้ว พระเยซูตรัสว่า สำเร็จแล้ว แปลว่า จ่ายราคาซื้อชีวิตให้กับมนุษย์ทุกคนทุกยุคทุกสมัยแล้ว พวกสมุนของมารรู้ว่า มันพ่ายแพ้แล้ว แต่สิ่งที่มารพยายามปกปิดเอาไว้ คืออย่าให้มนุษย์รู้ความจริงเรื่องนี้ งานของคริสเตียนก็เหมือนกับพวกทหารฝ่ายพันธมิตรคือการประกาศความจริง ประกาศชัยชนะ และเปิดประตูค่ายกักกันทั้งหลาย นี่คือความหมายของพระคัมภีร์ที่เขียนโดยอิสยาห์ที่พระเยซูทรงอ่านในธรรมศาลาว่า ลูกา 4:18-21 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลง และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”คำว่า สำเร็จในวันนี้ ก็คือ พระเยซูทรงมาอยู่ในโลกนี้แล้ว และพระองค์จะทำให้มารพ่ายแพ้ด้วยการที่พระองค์จะต้องตายบนไม้กางเขนเพื่อ ไถ่บาป คือไถ่มนุษย์ทุกคนให้พ้นจากบาป ที่มนุษย์เองทำไม่ได้ และคำว่า สำเร็จได้ถูกประกาศอีกครั้งก่อนที่พระองค์จะสิ้นลมหายใจ การตายของพระเยซูคริสต์คือชัยชนะ พระเยซูใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างคุ้มค่า คือตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้สำหรับพระเยซู และพระเจ้าพระบิดาได้ทรงชุบพระเยซูขึ้นมาจากความตาย นั่นคือการประกาศชัยชนะอย่างสิ้นเชิง มารคิดว่า การทำให้พระเยซูตายคือ ชัยชนะของมาร แต่เมื่อพระเยซูตายจริงๆ มารจึงตระหนักว่า มันแพ้แล้ว มารคิดว่า ไม่มีใครจะชนะความตายได้ และทุกคนก็กลัวที่จะต้องตาย มารจึงใช้ความตายเป็นเครื่องมือในการต่อรอง แต่คริสเตียนที่รู้ความจริงเรื่องนี้ก็จะไม่ติดกับมารซาตาน อ.เปาโลเป็นคริสเตียนคนหนึ่งที่เข้าใจความหมายที่พระเยซูทรงเปิดเผยและเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อเรื่องนี้ อ.เปาโลจึงกล่าวว่า 1โครินธ์ 15:54-58 54 เมื่อสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ จะสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้จะสวมสภาพอมตะ เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์จะสำเร็จว่า ความตายก็ถูกกลืนถึงปราชัยแล้ว 55 โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ มัจจุราชเอ๋ย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน 56 เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ57 สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา 58 เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ท่านจงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ นี่คือมุมมองของชีวิตคริสเตียนที่รู้ความจริง และดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า อย่างคุ้มค่า และมีกำไรที่แท้จริง มารไม่สามารถใช้ความตายเป็นเครื่องมือทำให้อ.เปาโลกลัวได้อีกต่อไป ความเจ็บป่วยความเสื่อมของร่างกายก็ไม่สามารถขัดขวางให้อ.เปาโลหยุดที่จะต่อยอดต้นทุนชีวิตที่พระเยซูได้มอบให้ด้วยราคาสูง วันนี้ เรามองตัวราเองอย่างไร เรากำลังดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอด (เพราะกลัวตาย) หรือเรากำลังดำเนินชีวิตด้วยความรอดที่พระเยซูมอบให้กับเรา เรามัวแต่คิดแต่เรืองทรัพย์สินเงินทอง บ้านอยู่อาศัย ที่ดิน เงินในบัญชี ความรู้ ความสามารถ เป็นสิ่งบ่งชี้ต้นทุนชีวิตเหมือนกับชาวโลก หรือเรามองเห็นตันทุนชีวิตที่พระเยซูมอบให้กับเรา อย่ามองที่อายุมากแล้ว เวลาเหลือน้อยแล้ว อย่ามองว่าอ่อนแอ ไม่มีกำลังเพราะป่วย อย่ามองว่าตนเองเป็นเด็กมีต้นทุนไม่เท่ากับผู้ใหญ่ เราเคยได้ยินหรือรู้จักโจนีหรือไม่ ที่เป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับได้แต่ส่วนคอและศรีษะ ต้นทุนชีวิตของเขาดูเหมือนจะติดลบ ไปไหนมาไหนต้องมีคนพาไป แต่เขาได้พบว่า ต้นทุนจริงในชีวิตของเขาอยู่ข้างใน ไม่ใช่ภายนอก ตราบใดที่เขายังไม่ตาย เขาจะอยู่อย่างมีคุณค่ากับราคาที่พระเยซูได้ซื้อเขา เขาประกาศไปทั่วโลก ดูอย่าง นิค วูจิซิก ไม่มีแขนขา ภายนอกดูเขาจำกัด และไร้ค่า แต่เมื่อเขาพบว่าชีวิตของเขามีราคาสูง เขาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เขาตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้า วันนี้เราจะพบเขาไม่ง่ายเลย เพราะเวลาของเขามีค่ามาก ตารางนัดของเขาล่วงหน้าสามปีไปแล้ว ใครๆก็อยากจะสัมผัสชีวิตที่มีคุณค่า นี่คือคนที่อยู่อย่างมีคุ้มค่าและมีกำไร อ.เปาโลเป็นคริสเตียนในยุคสองพันปีที่แล้ว ที่ได้กล่าวถ้อยคำประโยคทองสำหรับคริสเตียนรุ่นต่อๆมาว่า ฟิลิปปี 1:21-25 21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร22 ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนดี23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก24 แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน25 เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่ คืออยู่กับท่านเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ จดหมายฟิลิปปี ถูกเรียกว่าเป็นภาษาอังกฤษว่า Prisoner letter แปลว่า จดหมายจากนักโทษที่ต้องถูกจำจองเพราะประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แม้ร่างกายจะถูกจำจองไว้ด้วยโซ่ตรวน แต่อ.เปาโลก็ยังมองเห็นตัวเองมีคุณค่า มีกำไร ไม่ว่าจะอยู่หรือจะตาย อ.เปาโลจึงไม่หยุดที่จะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และตายเมื่อไรก็คือกำไร นี่คือทัศนคติที่ทำให้คุกที่มนุษย์พยายามใช้เพื่อควบคุมอ.เปาโลจึงไม่สามารถขัดขวางได้ อ.เปาโลจึงมีเสรีภาพตลอดเวลา เสรีภาพที่จะรับใช้ เสรีภาพที่จะหนุนใจ เสรีภาพที่จะชื่นชมยินดี วันนี้ มีสิ่งใดที่เปรียบเหมือนกับคุก หรือเครื่องจำจองตัวเรา ทำให้เรารู้สึกอึดอัด รู้สึกคับที่ รู้สึกคับใจ และเราก็ใช้เป็นข้ออ้างว่า เราทำอะไรไม่ได้ เพราะโน่นนี่นั่น แท้จริง เรากำลังจำจองตัวเราด้วยวิธีคิดแบบขาดทุนตลอดเวลา ให้เราเรียนรู้ที่จะมีเสรีภาพอย่างอ.เปาโล ซึ่งจะช่วยให้เราอยู่อย่างคุ้มค่าและมองเห็นกำไรชีวิต….
1.ต้นทุนชีวิตที่แท้จริง ฟิลิปปี 1:21–23
21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร22 ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนดี23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก ที่อ.เปาโลกล่าวว่า มีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ เพราะอ.เปาโลรู้ความจริงว่า ตัวท่านถูกซื้อไว้โดยพระเยซูคริสต์ ในยุคสมัยนั้น คนที่ถูกซื้อด้วยเงิน จะมีสภาพทาส อ.เปาโลใช้สำนวนนี้เพื่อบอกว่า พระเยซูได้ซื้อท่านด้วยชีวิตของพระองค์เอง ท่านจึงมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นทาสรับใช้พระเยซู ตายก็ยิ่งมีกำไร เพราะพระเยซูอยู่บนสวรรค์ เมื่ออ.เปาโลรับใช้พระเยซู เมื่อท่านตาย ท่านก็จะได้อยู่กับพระเยซู มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า นรกไม่ได้ถูกสร้างไว้สำหรับมนุษย์ แต่ถูกสร้างไว้สำหรับมารซาตาน แต่เมื่อมนุษย์เป็นทาสของมารซาตาน เมื่อมนุษย์ตายก็ต้องไปอยู่นรกร่วมกับมาร มนุษย์เป็นทาสของมารได้อย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า ถ้ามนุษย์ทำบาป มนุษย์ก็ตกเป็นทาสของบาป มารเข้ามายังโลกนี้เพื่อทำให้มนุษย์ทำบาป คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าและขาดจากพระเจ้า มารต้องการให้มนุษย์ที่พระเจ้าสร้างถูกทำลาย มารไม่อยากถูกทำลายฝ่ายเดียว แต่มารจะดึงให้มนุษย์ถูกทำลายด้วย และนี่คือการแก้แค้นของมารอย่างคนพาล ข้าไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าพวกเอ็งจะมีความสุข มารไม่มีต้นทุนชีวิต วันเวลาของมารคือการรอคอยที่จะถูกทำลายในบึงไฟนรก แต่สำหรับมนุษย์ทุกคน ยังมีต้นทุนชีวิต โดยเฉพาะคริสเตียนเป็นพวกที่รู้ความจริงเรื่องนี้ คริสเตียนต้องดำเนินชีวิตอย่างคนที่รู้จักต้นทุนชีวิตที่มีราคาสูง จงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีกำไรให้ถูกทาง 2 ทิโมธี 4:6-8 6 เพราะว่าข้าพเจ้ากำลังจะตกเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะจากไป 7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว8 ต่อแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์ คำว่า ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง และแข่งขันจนถึงที่สุด คือความหมายของการเอาชนะตัวเอง และพาตัวเองไปให้ถึงหลักชัย วันที่เราไปขี่จักรยานเพื่อแม่ มีจุดสตาร์ท และเส้นชัย ไม่มีใครแข่งกับใคร แต่นักปั่นทั้งหลายก็อยากจะไปให้ครบรอบ ข้าพเจ้าอยู่กลุ่มสุดท้าย ไปไม่ครบรอบ ไปกลับได้แค่เพียง 35 กม.เพราะว่ามืดแล้ว ความจริงระยะทางของรอบคือ 43 กม. เมื่อข้าพเจ้าเจอเพื่อนนักปั่นด้วยกัน พวกเขาคุยกันด้วยความภูมิใจ ถามแต่ว่า ครบรอบไม๊ ๆ แต่เราก็กลับมาที่จุดสตาร์ทเหมือนกัo คือมาถึงหลักชัย รางวัลของตัวเราเองคือความภูมิใจ เช่นเดียวกัน อ.เปาโลมองเห็นเส้นทางของชีวิตคริสเตียนทุกคนมีรอบของตัวเอง ที่ต้องไปต่อสู้ ต้องแข่งขันไปให้ถึงหลักชัย และมีรางวัลรอคอยอยู่ หลักชัยของเราคือการได้อยู่ในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง เราจะถูกรับหรือเราจะตื่นขึ้นมาจากความตาย ความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว สำนวนคำว่า 6 เพราะว่าข้าพเจ้ากำลังจะตกเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะจากไป อ.เปาโลรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว แต่ทัศนคติของอ.เปาโลก็ยังยืนหยัดเหมือนเดิม และยังต่อยอดต้นทุนต่อไปเรื่อยๆ เราทั้งหลายกำลังต่อยอด หรือกำลังทำให้ต้นทุนราคาสูงกลายเป็นราคาถูกด้วยทัศนคติแบบลบๆ หรือด้วยการโกหกของมารซาตาน ผลชีวิตของเราที่แสดงออกมาคือ หนามหรือต้นระกำ แสนระทม อยู่หรือไม่ เรากำลังใช้ชีวิตอย่างมองไม่เห็นต้นทุนราคาสูงเอาเสียเลยอยู่หรือเปล่า
2.เป้าหมายของการใช้ต้นทุน ฟิลิปปี 1:24-25
24 แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน25 เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่ คืออยู่กับท่านเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ยุคสมัยของเราวันนี้ คือยุคแห่งการบริโภค มนุษย์บริโภคทุกอย่าง แต่หากเราวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ในโลกนี้ดีๆ เราจะพบว่า เราไม่ได้แค่ผลาญทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียว ที่เรากำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อนก็เพราะการใช้ให้หมดไป แต่สิ่งที่เราไม่ได้มองเห็นหรือจริงจังในการค้นหาก็คือการใช้ชีวิตอย่างใช้ให้หมดไป หากเรามองดีๆ เราจะพบพลังชีวิตของคนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ หรือบางคนเหมือนกับสัญลักษณ์ของแบตในโทรศัพท์ที่เหลือเม็ดเดียว หรือเหลืออยู่แค่ไม่กี่เปอร์เซ็น กำลังส่งสัญญาณว่า ตายแน่ๆๆๆ เหมือนเสียงหวอรถฉุกเฉิน แต่คริสเตียน พวกเรารู้หรือไม่ว่า สัญญาณชีพฝ่ายวิญญาณของเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะต้นทุนของเราเปลี่ยนจากสัญญาณแบตที่เหลือเพียงแค่เอาตัวจะไม่รอด มาเป็นความรอดในพระเยซูคริสต์แล้ว ต้นทุนของเราเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น อย่าใช้ชีวิตแบบเดิม อย่างไร้เป้าหมาย2โครินธ์ 6:1-2 1 ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงขอวิงวอนท่านว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น2 เพราะพระองค์ตรัสว่า ในเวลาอันชอบเราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด เวลานี้พระเจ้าฟังเรา เวลานี้เรารอดแล้ว ดังนั้น อย่าดำเนินชีวิตแบบเอาตัวไม่รอด แต่ให้เราสำรวจต้นทุนใหม่ที่เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้า คริสเตียนหลายคนยังติดอยู่กับวิธีคิดแบบเก่าๆ วิธีดำเนินชีวิตแบบเก่าๆในต้นทุนใหม่ที่ได้รับมา น่าเสียดาย เหมือนคนที่มีรถแต่เข็นเอา มีน้ำมันแต่ไม่เติม มีเครื่องมือช่วยทุ่นแรง แต่ไม่ใช้ เพราะเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของต้นทุนที่ได้มาอยู่ที่ไหน เรามุ่งเป้าหมายเดิม คิดแบบเดิม เราเลยไม่ได้ใช้ต้นทุนที่มีค่ามากอย่างไร้ขีดจำกัด ตัวอย่าง รถยนต์มีไว้ไช้ขับเคลื่อนในระยะทางไกล พาเราไปได้ทุกที่ สิ่งที่เราต้องมีคือน้ำมัน การเรียนรู้วิธีขับอย่างปลอดภัย รู้เส้นทาง และมีใบขับขี่ทั้งท้องถิ่นและสากล ทีนี้เราก็จะใช้รถอย่างมีเป้าหมาย เช่นเดียวกัน ต้นทุนใหม่ที่เราได้รับจากพระเจ้า ต้องใช้น้ำมัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เราใช้เนื้อหนัง ต้นทุนนี้ก็ไม่ได้ใช้ ยังนอนหลับอยู่ ต้องใช้ความรู้ของพระเจ้า แต่เรายังขาดความรู้ของพระเจ้า เรายังใช้ประสบการณ์ที่ล้มเหลวเดิมๆ ต้นทุนไม่ได้ถูกใช้ เป้าหมายของต้นทุนคือการทำให้คนจำเริญและความเชื่อเต็มเปี่ยม เกี่ยวข้องกับคน แต่ไม่ยอมเกี่ยวข้องกับคน เราชอบอยู่กับสิ่งของ กับสัตว์ กับสิ่งที่ไม่ใช่คน เพราะเรากลัวต้องจ่ายราคาให้กับคน เราเลยไม่ได้รับกำไรจากต้นทุนที่พระเจ้าให้กับเราอย่างแท้จริง 2 เพราะพระองค์ตรัสว่า ในเวลาอันชอบเราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด พระเจ้ากำลังรอคอยให้เราใช้ต้นทุนราคาสูงในปัจจุบันของเราทุกคน เพื่อให้เรามี “ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….อยู่อย่างคุ้มค่าและมีกำไร”แต่น่าเสียดายที่คริสเตียนไม่น้อยที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในต้นทุนเดิมๆที่ติดลบ ติดบ่วง ติดกับ…..
“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….อยู่อย่างคุ้มค่าและมีกำไร”
1.ต้นทุนชีวิตที่แท้จริง
2. เป้าหมายของการใช้ต้นทุน