“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….จะไม่ยอมให้สิ่งสำคัญหายไปจากชีวิต”
“มีอะไรหายไปจากชีวิตข้าพเจ้าหรือไม่”ให้เราถามคนข้างๆด้วยคำถามนี้ เรารู้สึกอย่างไร บางคนอาจคิดว่า ไม่น่าตกใจถ้าสิ่งที่หายไปมันไม่มีค่าอะไร มันเป็นแค่เศษขยะชิ้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่เราไม่ใช้แล้ว ถ้าเงินหายไป 10,000บาท เป็นไงที่ประชุม ท่านจะตกใจไม๊ ถ้าท่านทำเงินหายไป 10,000 บาท ระหว่างข้าวของ เงินทอง กับคน อย่างไหนทำให้เราตกใจมากกว่ากัน วันนี้ ขณะที่พวกเรามาโบสถ์ เราได้ทำอะไรหายไประหว่างทางหรือเปล่า บางครั้ง มีการพูดเล่นๆกันบนรถที่เรานั่งมาด้วยกัน หากบางคนเงียบมาก ไม่อยู่ในบทสนทนากันบนรถ เรามักจะถามว่า เขาขึ้นรถมาด้วยกับเราหรือเปล่า เราอาจะต้องสำรวจเช่นเดียวกัน ว่า เวลานี้ มีใครหายไปจากคริสตจักรเราหรือเปล่า มีใครหายจากไปชีวิตของเรา ให้เราหันไปถามคนข้างๆว่า “มีอะไรหายไปจากชีวิตข้าพเจ้าหรือไม่” มีเรื่องตลกๆของผู้รับใช้พระเจ้าท่านหนึ่ง ท่านตื่นขึ้นมาแล้วถามภรรยาที่นอนข้างๆตัวเองว่า ผมเป็นใคร ไม่รู้ว่า แกล้งภรรยา หรือจำไม่ได้จริงๆ แต่ท่านไม่ได้เป็นเอาไซเมอร์ แน่นอน อาจารย์ท่านอาจทำตัวเองหายไปในความฝันหรือเปล่า เมื่อข้าพเจ้าไปเรียนที่ประเทศเกาหลี คืนแรกที่ตื่นขึ้นมา นึกว่าอยู่ในประเทศไทย ตื่นขึ้นมาก็พูดภาษาไทยกับเพื่อนร่วมห้องชาวต่างชาติ รู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างหายไปจากชีวิต ในเวลานั้น คือคนไทย ประเทศไทย เวลานั้น ข้าพเจ้าอยู่ในอีกประเทศหนึ่งที่ไม่มีการพูดภาษาไทย ไม่มีคนไทย รู้สึกตกใจ และไม่คุ้นเคย และรู้สึกว่า การได้เจอคนไทยในต่างแดน ได้พูดภาษาไทยในต่างแดน เป็นสิ่งที่มีค่ามาก เพลงชาติไทย เพลงไทยเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับข้าพเจ้า มีความหมายมาก มีคำพูดหนึ่งกล่าว คนเราจะไม่รู้สึกว่ามีค่าหรือสำคัญก็ต่อเมื่อคนๆนั้นได้จากเราไปแล้ว อย่าให้ถึงเวลานั้นเลย ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงที่คริสเตียนคนหนึ่งได้เขียนสำหรับการประกาศ ชื่อเพลง เวลาที่แสนสั้น ในบทเพลงตอนหนึ่งกล่าวว่า สิ่งที่เป็นวันนี้ ตัดสินใจให้ดี เพราะบางสิ่งไม่ยั่งยืน เพียงชั่วข้ามคืน จะฝืนสักเท่าใด ก็ต้องจากไป ถ้าหากชีวิตเป็นเพียงแค่ทางเดินเพื่อทดสอบ สู่โลกที่เป็นนิรันดร์ สวรรค์ในวันข้างหน้า ค้นหาทางเดินของตัวเอง ตราบที่มีลมหายใจ เส้นทางที่กว้างใหญ่ จะจบลง ณ ที่ใด ถ้าหากชีวิตเป็น เพียงแค่เวลาที่แสนสั้น เทียบกับสวรรค์ ความสุขที่เป็นนิรันดร์ ใช้ช่วงเวลาที่เหลือยู่ เรียนรู้ความจริงที่สำคัญ จบเพียงแค่สั้นๆ กับชีวิตที่ยืนยาวช่างต่างกัน …..เราร้องด้วยกันดีไม๊….
ลูกา 15:1-7 1 ครั้งนั้นบรรดาคนเก็บภาษี และพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์2 ฝ่ายพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา” 3 พระองค์จึงตรัสคำเปรียบให้เขาฟังดังต่อไปนี้ว่า4 “ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ5 เมื่อพบแล้วเขาก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์6 เมื่อมาถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไปนั้นแล้ว’7 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เช่นนั้นแหละ จะมีความปรีดีในสวรรค์ เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่ ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าไปธนาคารที่เดอะมอลล์ท่าพระ ขณะนั่งรอเรียกคิว ก็เกิดการรุมกระทืบเด็กผู้ชายอายุ 15-16 ปี โดยเด็กนักเรียนใส่กางเกงขาสั้นประมาณ10คน จนกระอักเลือด นอนหมดเรี่ยวแรง เราเข้าไปช่วยโดยการพยายามติดต่อรถพยาบาล บางคนก็พยายามหิ้วปีก แล้วก็ปล่อยเขาหล่นลงไป เพราะคิดว่าเขามีแรง ทำให้ข้าพจ้ามองเห็นสภาพของการขาดความรู้และความชำนาญในการให้ความช่วยเหลือ การเอาใจใส่ การถนุถนอมในการให้ความช่วยเหลือ สักพักมีผู้ชายคนหนึ่งมาถึงก็จับรักแร้ของเด็กผู้ชายคนนี้ข้างเดียว และหิ้วปีกเหมือนหิ้วปีกไก่ที่ไร้ชีวิต แล้วก็ปล่อยเขาร่วงลงไปกองกับพื้น สักพักมีรปภของห้างมาถึงก็พูดว่าอ้อ เด็กคนนี้ได้คุยกันตอนอยู่ในห้าง แล้วนี่มาทำอะไรที่นี่ คือสภาพของเด็กคนนี้ดูภายนอกก็ดูไม่ค่อยเอาไหนเท่าไร แต่ละคนที่เข้ามาช่วยเด็กคนนี้ ต่างมุ่งความสนใจไปที่เด็กคนนี้ว่ามีเบื้องหลังอะไรมา ไม่สนใจว่า เขากำลังป่วย เจ็บและสมควรได้รับการเอาใจใส่อย่างไร ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องนี้มาเป็นเรื่องเริ่มต้นเพราะ สถานการณ์ในยุค 2000กว่าปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันจิตใจของคนก็ไม่ต่างกัน คนเรายังตัดสินคุณค่าของคนที่ภายนอก และตีคุณค่าของคนจากตัวเองเป็นมาตรฐาน ไม่ต่างกับที่พระเยซูเจ้าทรงกำลังให้ความช่วยเหลือคนบาปและคนที่ถูกทอดทิ้ง ในขณะเดียวกันก็มีเสียงบ่นว่าพระเยซูคริสต์ว่าไปสนใจคนเหล่านี้ได้อย่างไร คนที่บ่นต่อว่าพระเยซู ต่างมองเก็บภาษี คนที่สังคมตราหน้าว่าเป็นคนบาป เป็นคนไร้ค่า ไม่ควรจะไปให้ความสำคัญ พระเยซูคริสต์จึงยกอุปมาเรื่องแกะหาย ทำไมพระเยซูคริสต์จึงยกเรื่องแกะ แกะเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีราคาในสังคมยุคนั้นเปรียบเท่ากับเงินทอง มีการค้นพบว่าแกะถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงเมื่อประมาณ 11,000ปีที่ผ่านมาในสถานที่ที่ปัจจุบันเรียกว่าตอนเหนือของประเทศอิรัก ในปัจจุบัน มีแกะอยู่ทั่วโลกถึงกว่า 800กว่าสายพันธุ์ แต่แกะที่พระเยซูคริสต์ทรงยกตัวอย่างในสภาพแวดล้อมสมัยนั้น เป็นแกะสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจมากที่สุดและนิยมจนถึงปัจจุบันจนกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจระดับโลก ลักษณะของแกะจะมีช่วงอายุได้ถึง20 ปีในสายตาของฟาริสีและธรรมาจารย์ที่มองคนบาปและคนเก็บภาษีอย่างเหยียดหยาม เพราะอาชีพและความไม่เอาธรรมบัญญัติอย่างพวกเขา จึงไม่สามารถเข้าใจการกระทำของพระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จึงเริ่มคำอุปมาที่แกะร้อยตัว เพื่อถามคำถามนี้กับผู้ที่บ่นต่อว่าพระองค์ เพื่อจะบอกเป็นนัยว่า “มีอะไรหายไปจากชีวิต”ของคนในยุคนั้น และในยุคของเรา ….. พระเยซูต้องการจะสื่อสารกับเราในวันนี้ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนว่า อย่าให้สิ่งสำคัญในชีวิตหายไป โดยเฉพาะคน….และส่งที่เราต้องรักษาไว้ไม่ให้หายไปจากชีวิตของเรา ประการแรก
1.ความห่วงใย ลูกา 15:4 “คำอุปมาเรื่องแกะหาย”
4 “ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ จำนวนมากกับจำนวนน้อยที่ถูกนำมาเปรียบเทียบคู่กัน เพื่อให้เห็นความแตกต่าง มากกับน้อย คนเรามักจะเลือกจำนวนมากไว้กับตัว เพราะกลัวการสูญเสีย อะไรที่ดูมากดูจะมีค่ามากกว่าน้อย เป็นตรรกะที่เป็นจริง เรายอมเสียน้อยดีกว่าเสียมาก เราจะพยายามไม่ยอมเข้ากับสุภาษิตไทยที่ว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพราะฉะนั้นเรายอมเสียน้อย วิธีคิดของพระเยซูตรงกันข้ามกับวิธีคิดของคนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคำสอนสำหรับผู้นำ ที่จะตัดสินใจเลือกทางเลือกเพื่อคนส่วนใหญ่ มากกว่าคนส่วนน้อย แต่พระเยซูสอนพระคำตอนนี้ คือการตัดสินใจ เลือกที่จะอยู่คนส่วนน้อย มากกว่าคนส่วนใหญ่ และคนส่วนน้อยในยุคของพระเยซู ในเหตุการณ์ตอนนี้ คือ คนที่สังคมรังเกียจ คนที่ถูกปฏิเสธจากผู้นำของสังคม การเป็นแกะนอกฝูงนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทุกคนพยายามรักษาความเป็นแกะในฝูง รักษาแถวไม่ให้แตกแถว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าขาดความสงสาร ความห่วงใยที่ควรมีต่อเพื่อนมนุษย์ดูเหมือนจะนับวันขาดหายไปจากสังคม เพราะความพยายามรักษาความเป็นแกะในฝูง ให้ไม่เป็นแกะดำ ก็เป็นการสูญหายที่ยิ่งใหญ๋ของความเป็นคนในคนๆนั้น “ใครบางคนในสายตาของเรา” ที่กลายเป็นแกะดำ เพราะเขาแตกต่างจากฝูง หรือกลุ่มที่ท่านอยู่ เขายังอยู่หรือหายไปแล้ว จงหาเขาให้พบในชีวิตของเรา อย่าให้บางสิ่งบางอย่างที่เป็นความแตกต่างมาบดบัง อย่าให้ความลุ่มหลงทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของคน อย่าให้ใครบางคนทำให้เรามองเพียงบางคน แท้จริงคนทุกคนมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า และควรมีค่าในสายตาของเรา พระเยซูคริสต์ทรงสรุปตอนท้ายของอุปมานี้ว่า 7 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เช่นนั้นแหละ จะมีความปรีดีในสวรรค์ เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่ สวรรค์ไม่ได้ดูคนที่ภายนอก แต่ดูที่ภายใน ดังนั้นสวรรค์จะพอใจเมื่อคนบาปกลับใจ ไม่ใช่คนชอบธรรม คือคนที่พยายามทำอะไรๆที่ถูกต้องแต่ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แม้มีถึง 99คน ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของสวรรค์ ในเรื่องของเด็กชายที่ถูกรุมกระทืบ ทำให้เรามองเห็นสังคมของเรากำลังหลงทาง ไปให้ความสนใจว่า เด็กคนนี้ควรค่าแก่การต้องใส่ใจหรือไม่ สิ่งที่ขาดหายไปจากสังคมก็คือ ความห่วงใย ความห่วงใย จะเป็นแรงจูงใจให้เราทำในสิ่งที่ควรทำ นั่นคือช่วยชีวิต ไม่ใช่ค้นหาว่าเขาเป็นใคร เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ดีหรือชั่ว คนเป็นหมอ จะไม่เลือกว่า ใครคือคนไข้ เป็นคนดีหรือคนเลว แต่จะรักษาเพราะเขาป่วย พระเยซูได้ตรัสว่า มัทธิว 9:12-13 12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” พระเยซูจึงทรงยกอุปมาเรื่องแกะเพื่อให้รู้ว่า มีอะไรหายไปจากชีวิตของคนเรา นั่นคือความห่วงใย คนทุกคนมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง โดยเฉพาะคนที่เล็กน้อย คนที่หลงผิด คนที่ไม่น่ารัก อย่าให้การตีราคาคนของโลกนี้ทำให้ความห่วงใยหายไปจากชีวิตของเรา
2. ความหวงแหน ลูกา 15:8-10 “คำอุปมาเรื่องเงินเหรียญหาย”
8 “หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญ และเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือนค้นหาให้ละเอียดจนกว่าจะพบหรือ9 เมื่อพบแล้วจึงเชิญเหล่ามิตรสหาย และเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบเหรียญเงินที่หายไปนั้นแล้ว’10 เช่นนั้นแหละ เราบอกท่านทั้งหลายว่าจะมีความปรีดีในพวกทูตของพระเจ้า เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่” เป็นความรู้สึกหวงแหนของหญิงเจ้าของเหรียญ ทำไมต้องหวงแหน นักวิชาการพระคัมภีร์ได้วิเคราะห์ว่า อาจเป็นเพราะเหรียญที่หายไปถูกออกแบบมาให้มีความสวยงามเหมือนกัน ต้องครบสิบเหรียญ หากขาดหายไป ไม่สามารถหาเหรียญที่สร้างมาในชุดเดียวกันทดแทนได้ เหรียญที่เรียกในยุคนั้น ชื่อว่า drachmē แดรชมา เป็นเหรียญเงินที่มีราคาในยุคอาณาจักรโรมเพื่อการค้า สนนราคาประมาณ 6บาทในยุคเมื่อ 2015 ปีที่แล้ว หายไปหนึ่งเหรียญเท่ากับหายไป 6บาท ในยุคนั้นน่าจะเท่ากับเงินเท่าไหร่ ในยุคนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้จะเทียบอย่างไร แต่เอาจากบันทึกของเอนไซโครปิเดียเอนคาตา กล่าวไว้ว่า เหรียญแดรชมา เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นตั้งสมัย400ปีก่อนคริสตกาล มีรูปสวยงามตามที่เราได้เห็นในภาพ และรูปที่พิมพ์นั้นเป็นรูปรถเทพเจ้ากรีกขี่รถม้าเหาะไปบนฟ้า สำหรับนักสะสมเหรียญในสมัยของเรา ถือว่าเป็นเหรียญที่มีความสวยงามที่สุดในบรรดาเหรียญเก่ายุคหลายพันปีที่ผ่านมา เราคิดว่าราคาน่าจะเท่าไหร่ดี น่าจะมีค่ามากมาก นักสะสมบางคนไม่ยอมขาย ประเมินค่ามิได้ นี่คือ หนึ่งในนิยามคำว่า หวงแหน เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม และถ้ามันหาย ต้องหาให้เจอ ไม่เจอก็ไม่ยอมนอน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้น ทิ้งทุกสิ่งเพื่อหาให้เจอ พระเยซูคริสต์เจ้ากำลังบอกเราว่า คนบาปที่กลับใจนั้นมีค่ามาก ถึงขนาดเหล่าทูตสวรรค์ก็มองหาอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อพบก็จะมีความเปรมปรีดิ์อย่างมากเมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้ามีอาการดีใจที่ได้พบเห็นคนบาปที่กลับใจ นั่นคือ สวรรค์ต้องการ“คนบาปที่กลับใจ” เป็นที่ต้องการของสวรรค์ ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ เราเคยไปดูนิทรรศการของหายาก บางอย่างมีชิ้นเดียวในโลก น่าหวงแหนมาก คนบาปที่กลับใจก็เป็นเช่นนั้น และคนบาปที่กลับใจ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ยากอบ 5:19-20 พี่น้องของข้าพเจ้า ถ้าคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง และผู้ใดชักจูงเขาให้เขากลับใจเสียใหม่ จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่า ผู้ที่ช่วยคนบาปคนหนึ่งให้พ้นจากทางผิดของเขานั้น ก็ได้ช่วยจิตวิญญาณของเขาให้รอดพ้นจากความตาย และได้กำจัดบาปเสียมากมาย”คนบาปจะกลับใจได้อย่างไร ต้องมีคนช่วยให้เขารู้ความจริง การกลับใจใหม่นี้คือการกลับเข้าสู่ทางแห่งพระเจ้า มีอะไรที่หายไปจากชีวิตของเราหรือไม่ นั่นคือ มุมมองคนบาปว่าเป็นคนมีโอกาสกลับใจใหม่ และการกลับใจใหม่ของเขานั้นมีค่ามาก มากกว่าคนชอบธรรมที่ไม่ยอมกลับใจ พระเยซูคริสต์ทรงยกคำอุปมาเรียงลำดับจากสัตว์เลี้ยงที่ใช้แลกเปลี่ยนทางด้านการค้า จนมาถึงเงินตราที่เป็นของหายากในยุคนั้น เราให้ความหวงแหนต่อเงินตรามากแทนความหวงแหนคน ตัวอย่างที่เด็กได้รับความช่วยเหลืออย่างไม่ทนุถนอมเลย เพราะเขาไม่น่าทนุถนอมหรือ ถ้าเป็นลูกเศรษฐีแต่งตัวดี คงได้รับการทนุถนอมมากใช่ไม๊ ความหวงแหนถูกตีราคาเป็นเงินตรา ความหวงแหนที่ควรจะมีได้หายไปจากสังคม…. อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญได้หายไป นั่นคือ
3.ความรู้สึกเมตตาและความเปรมปรีดิ์ยิ่ง ลูกา 15:11-32 “คำอุปมาเรื่องบุตรหายไป”
11 พระองค์ตรัสว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน12 บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง13 ต่อมาไม่กี่วันบุตรคนเล็กนั้นก็รวบรวมทรัพย์ทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง14 เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงขัดสน15 เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา16 เขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน17 เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” ’20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา21 ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และต่อท่าน ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป’22 แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา23 จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ เขาทั้งหลายต่างก็มีความรื่นเริงยินดี 25 “ฝ่ายบุตรคนโตนั้นกำลังอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้ตึกแล้ว ก็ได้ยินเสียงมโหรีและเต้นรำ26 เขาจึงเรียกบ่าวคนหนึ่งมาถามว่า เขาทำอะไรกัน27 บ่าวจึงตอบว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และบิดาได้ให้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเพราะได้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ’28 ฝ่ายพี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชักชวนเขา29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘ดูแน่ะ ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่าน โดยคบหญิงชั่วมาแล้ว ท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’31 บิดาจึงตอบเขาว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเราก็เป็นของเจ้า32 แต่สมควรที่เราจะได้รื่นเริงและยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ ”เมื่อบุตรน้อยหลงหายกลับใจกลับมาหาพ่อ พ่อได้สำแดงความเมตตาและความเปรมปรีดิ์ เพราะพ่อรอคอยการกลับมาของลูกชายคนเล็ก หัวใจที่พร้อมให้ความเมตตา แต่พี่ชายไม่พอใจที่น้องชายได้รับการให้อภัยและรับการรับขวัญอย่างดี ตัดพ้อต่อว่ากับพ่อว่าตนไม่ได้ทำตัวเหลวไหลอย่างน้องชาย ยังไม่เคยได้การปฏิบัติอย่างน้อง เพราะพี่ชายไม่ได้รอคอยอย่างหัวใจของพ่อ เขารอคอยแต่ว่าเมื่อไรพ่อจะทำอะไรๆให้เขาบ้าง มีคริสเตียนไม่น้อยที่รอคอยว่า พระเจ้าจะทำอะไรๆให้เขาบ้าง ไม่แปลกใจที่ เมื่อคริสเตียนคนนั้นเห็นคนบาปได้รับการให้อภัย เขาจะรู้สึกเฉยๆ ในทางตรงกันข้าม คนที่รอคอยการกลับใจของคนบาป จะมีความรู้สึกอย่างเดียวกันกับพ่อของบุตรน้อยหลงหายที่กลับใจใหม่ ลูกา 15:32 แต่สมควรที่เราจะรื่นเริงและยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก'” เรื่องสุดท้ายที่พระเยซูทรงยกมาเกี่ยวสิ่งที่หายไปจากชีวิต คือความเมตตา เรื่องสุดท้ายทรงใช้คนคือตัวอย่าง ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรือเงินตราอีกต่อไป คนต้องการความเมตตาจากพระบิดา ในสภาพที่ไม่สมควรได้รับ แต่ก็ได้รับ และนี่คือการกลับใจใหม่ที่จะทำให้คนได้รับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ความดี ความเก่ง ความโดดเด่น แต่เป็นเพราะพระเมตตาของพระบิดา ซึ่งหลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า ความรักของพระบิดา พระเยซูคริสต์ทรงยกเรื่องคนในตอนสุดท้ายว่า สัตว์เลี้ยงหายนั้นยังมีชีวิตกลับมาได้ เหรียญเงินหายก็เป็นสิ่งที่หายแล้วหาเจอ แต่คนหายนั้นเมื่อหาเขาเจอนั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จงดีใจเถิด และจงรู้เถิดว่า การที่คนบาปกลับใจใหม่นั้น เขาได้รับการช่วยชีวิตจากตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ เราที่นั่งอยู่ที่นี่ เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ไม๊ ่ครั้งหนึ่งเราเหมือนคนตาย แต่วันนี้ เรากลับมามีชีวิตใหม่ พระเยซูคริสต์ทรงมีความห่วงใย ความหวงแหน และพระเมตตาต่อเรา ขอให้เราจงมีสามสิ่งนี้ต่อคนอื่นเช่นกัน ให้เรามาทบทวนสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา เพื่อเราจะทำต่อคนอื่น อาเมน
“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ….จะไม่ยอมให้สิ่งสำคัญหายไปจากชีวิต”
1.ความห่วงใย
2.ความหวงแหน
3.ความรู้สึกเมตตาและความเปรมปรีดิ์ยิ่ง