“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…ทุกอย่างคือการเรียนรู้”

ที่เมืองๆหนึ่ง มีเด็กหนุ่มผู้เรียนรู้ช้า ชื่อว่า อาหลง  เขาเป็นลูกชายของพ่อค้ารายหนึ่ง แม้ว่าบิดาของเขา  จะส่งเขาไปร่ำเรียนวิชาความรู้สักเท่าใด  แต่เขาก็ไม่อาจจะก้าวหน้าทันคนอื่นได้สักที  สร้างความกลุ้มใจให้บิดาของเขายิ่งนัก  วันหนึ่ง พ่อของเขาจ้างบัณฑิตมาสอนที่บ้าน  แทนที่จะส่งเขาไปเรียนที่สำนักเหมือนเช่นเคย  เพราะเห็นว่าอาหลง ลูกของตนหัวช้ากว่าคนอื่น  อาหลงนั้น เมื่อเรียนหนังสือช้า ไม่รู้เรื่องเหมือนคนอื่นก็พาลหมดกำลังใจไม่อยากจะเรียนรู้วิชาอีกต่อไป  จึงไม่ยอมอ่านหนังสือหรืออ่านตำราเล่มใดอีกเลย  เมื่อบิดาบอกให้เขามาเรียนตัวต่อตัวกับ  อาจารย์ที่บ้าน  เขาก็ไม่ใคร่อยากจะใส่ใจและสนใจเรียนเท่าใดนัก  “ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้านั้นเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง  ท่านก็อย่าลำบากหาอาจารย์มาสอนข้าอีกเลย” บิดาของเขาได้ฟัง จึงกล่าวว่า “อาหลง เจ้าไม่ต้องพูดมากความ  ข้าให้เจ้าเรียนเจ้าก็เรียนเสียเถิด” เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ของอาหลงนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ใช่บัณฑิตที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่วิชาปรัชญาและความรอบรู้ต่างๆนั้น  เขาก็มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ใครเลยทีเดียว  บิดาของอาหลงจึงวางใจให้มาสอนลูกชายของตน  การศึกษาของอาหลงในช่วงแรก เป็นไปอย่างทุลักทุเล อาหลง ไม่ตั้งใจเรียน เขาเบื่อหน่ายกับการเรียน  เพราะแม้เขาจะตั้งใจ แต่การเรียนของเขาก็ไม่คืบหน้า อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของเขาไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย  วันหนึ่ง อาจารย์ชวนอาหลงเดินไปที่สระน้ำ  ซึ่งในสระมีสัตว์น้ำรวมไปถึงเต่ามากมาย  อาจารย์หยิบเต่าออกมาตัวหนึ่ง แล้วถามอาหลงว่า  “อาหลง เจ้าว่าเจ้าเต่านี่อืดอาดหรือไม่”  “ท่านอาจารย์ ในบรรดาสัตว์ต่างๆในโลกนี้นั้น   หามีสัตว์ใดที่อืดอาดกว่าเต่าไม่” อาหลงกล่าว  “งั๊นข้าขอถามเจ้าต่อว่า หากข้าวางเจ้าเต่าเอาไว้ตรงนี้”  ว่าแล้วอาจารย์ก็ปล่อยเต่าเอาไปไว้ที่ไกลจากสระน้ำพอสมควร  “แล้วให้เจ้าหยุดยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน  เจ้าคิดว่า ใครจะไปถึงสระน้ำก่อนกันล่ะ”  เมื่อจบคำถาม อาหลงก็เห็นว่า เต่ากำลังค่อยๆคลานไป  ด้วยความเชื่องช้า แต่ตัวเขานั้นหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน  “ท่านอาจารย์ ท่านสั่งไม่ให้ข้าเดิน ข้าจะไปถึงสระน้ำได้อย่างไร  แม้เจ้าเต่าจะเดินเชื่องช้า แต่มันค่อยๆเดิน  อย่างไรเสีย มันก็ต้องไปถึงสระน้ำก่อนข้าแน่นอน”  คำตอบของอาหลง ทำให้อาจารย์ยิ้มออกมาได้  “อาหลงเอ๋ย อันการเดินไปถึงสระน้ำนั้น ก็ไม่ต่าง  จากการศึกษาวิชาความรู้ของเจ้าสักเท่าใดนักหรอก  เพราะไม่ว่าจะเดินช้าหรือเรียนรู้ได้ช้า  แต่หากว่าเราตั้งใจ ค่อยๆเดิน ค่อยๆศึกษา  สักวันจะต้องถึงจุดหมายอย่างแน่แท้  ต่างกับคนเก่ง แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน  ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่อาจจะถึงจุดหมายได้” เมื่ออาหลงได้ฟังดังนั้น ก็คิดได้  เขาเลิกดูถูกตัวเอง ตั้งใจเล่าเรียนเพียรศึกษา  จนสุดท้าย เขาก็เข้าใจในตำราและเรียนสำเร็จในที่สุด   สุภาษิตสอนใจ  “การเติบโตแม้จะช้า ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับการหยุดนิ่ง” นี่เป็นเรื่องเล่าที่สอนใจคน มนุษย์พยายามจะค้นหาสิ่งสอนให้คนเป็นนักเรียน เพราะการค้นพบว่า การเรียนรู้ คือสิ่งสำคัญ  พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมอบหมายงานสำคัญให้กับสาวกของพระองค์ นั่นคือการทำสร้างคนให้เป็นนักเรียน เพื่อจะเรียนรู้

มัทธิว 28:16-20 16 แต่​สาวก​สิบ​เอ็ด​คน​นั้น ​ก็​ได้​ไป​ยัง​กาลิลี ถึง​ภูเขา​ที่​พระ​เยซู​ได้​ทรง​กำหนด​ไว้​17 และ​เมื่อ​เห็น​พระ​องค์​จึง​กราบ​ลง​นมัสการ แต่​บาง​คน​ยัง​สงสัย​อยู่​18 ​พระ​เยซู​จึง​เสด็จ​เข้า​มา​ใกล้​แล้ว​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ฤทธานุภาพ​ทั้งสิ้น​ใน​สวรรค์​ก็​ดี ใน​แผ่นดิน​โลก​ก็​ดี​ทรง​มอบ​ไว้​แก่​เรา​แล้ว​19 เหตุ​ฉะนั้น​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จง​ออกไป​สั่ง​สอน​ชน​ทุก​ชาติ ให้​เป็น​สาวก​ของ​เรา ให้​รับ​บัพติศมา​ใน​พระ​นาม​แห่ง​พระ​บิดา ​พระ​บุตร​และ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​20 สอน​เขา​ให้​ถือ​รักษา​สิ่ง​สารพัด​ซึ่ง​เรา​ได้​สั่ง​พวก​เจ้า​ไว้ นี่​แหละ​เรา​จะ​อยู่​กับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​เสมอ​ไป จนกว่า​จะ​สิ้น​ยุค” 

พระเยซูได้ปรากฏกับสาวกสิบเอ็ดคน ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นไปบนฟ้า  พระเยซูได้ตรัสสั่งคำสั่งให้สาวกปฏิบัติตาม เป็นพระมหาบัญชา คือ ให้สาวกออกไปสั่งสอนคนทุกคน ไม่ว่าจะชาติไหนๆ สร้างคนเหล่านั้นให้เป็นสาวก คำว่า สาวก แปลว่า นักเรียน ผู้เรียนรู้ คำที่บันทึกในพระคัมภีร์ตอนนี้ เรียกสาวกสิบเอ็ด  ซึ่งแปลว่า นักเรียนของพระเยซูสิบเอ็ดคน  นักเรียนสิบเอ็ดคนได้รับคำสั่งให้ออกไปสร้างคนให้เป็นนักเรียนของพระเยซู เพื่อจะเรียนรู้สิ่งที่พระเยซูทรงสอน คำสัญญาของพระเยซูว่าจะอยู่ด้วย และการกล่าวถึงสิทธิอำนาจที่พระองค์ทรง ก็เพื่อจะใช้สำหรับนักเรียนของพระองค์ ได้เรียนรู้จากพระองค์ผ่านสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…คือการเรียนรู้ทุกอย่างจากพระเยซูคริสต์นั่นเอง  แปลว่า ถ้าเราไม่ทำตัวเป็นนักเรียน ไม่เรียนรู้ทุกอย่าง เราจะไม่สามารถเป็นนักเรียนของพระเยซูได้ และนี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงมองเห็นในชีวิตของความเป็นมนุษย์ของเราทุกคนว่า  ยิ่งเรารู้สึกว่า ไม่พร้อมจะเรียนรู้ นั่นคือเวลาแห่งการเรียนรู้ที่สุด และครูที่เหมาะจะสอนเราในการเรียนรู้ คือครูที่สุภาพอ่อนโยน และถ่อมที่สุด

เวลาที่คนมีอารมณ์โกรธเพราะเห็นความผิดพลาดของคนอื่น เรามักจะใช้คำพูดตักเตือนในเชิงสอนไปด้วย นั่นเป็นเวลาที่ไม่ควรสอนที่สุด เพราะเรากำลังสอนจากความเย่อหยิ่ง และเป็นเวลาที่คนไม่อยากจะเรียนรู้มากที่สุด เพราะก็อยู่ในอาการเย่อหยิ่งด้วยเช่นกัน อาการเย่อหยิ่งคู่กับการต่อต้านเพราะแม้แต่พระเจ้า พระองค์ก็ยังต่อต้านผู้ที่หยิ่งจองหอง

ยากอบ 4:6  6 ….​พระ​เจ้า​ทรง​ต่อสู้​ผู้​ที่​หยิ่ง​จองหอง แต่​ทรง​ประทาน​พระ​คุณ​แก่​คน​ที่​ใจ​ถ่อม ​

มีคนๆหนึ่ง อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้ว่า “โอพระเจ้า ขอทรงเปลี่ยนข้าพระองค์ให้เป็นคนใจเย็น  ไม่ใจร้อน เดี๋ยวนี้” แม้แต่คำอธิษฐานก็ยังบ่งบอกว่า ใจร้อน รอไม่ได้  แม้พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานนี้ แต่เชื่อแน่ว่า คนที่ไม่ยอมเปลี่ยนคือตัวของคนอธิษฐานเอง  เพราะในคำอธิษฐานก็คือคำตอบว่า เขาไม่ยอมเปลี่ยน

ถ้าเราอยากจะสอนคนอื่น เราต้องเป็นนักเรียนก่อน พระคัมภีร์มัทธิวบทที่ 28 ใช้คำเรียกกลุ่มคนที่พระเยซูสั่งให้ไปสร้างสาวก (นักเรียน ผู้เรียนรู้) ใช้คำเรียกว่า สาวก (นักเรียน ผู้เรียนรู้)  คุณต้องเป็นก่อนที่จะไปสร้างไปสอนคนอื่นให้เป็น  นั่นคือ ต้องเป็นสาวก จึงจะไปสร้างคนให้เป็นสาวก การสอนการสร้าง คนให้เป็นนักเรียน ไม่ได้ทำให้เราเป็นครู  แต่ทำให้เราเป็นนักเรียน ที่จะเรียนรู้มากขึ้น พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการเป็นครูว่า

ยากอบ 3:1  1 ดูก่อน​พี่​น้อง​ของ​ข้าพเจ้า อย่า​ให้​เป็น​อาจารย์​กัน​มาก​หลาย​คน​เลย เพราะ​ท่าน​ก็​รู้​ว่า เรา​ทั้ง​หลาย​ที่​เป็น​ผู้สอน​นั้น จะ​ได้รับ​การ​ทรง​พิพากษา​ที่​เข้มงวด​กว่า​ผู้อื่น​

นี่คือสิ่งที่บอกเราว่า เราควรเป็นนักเรียนมากกว่าการเป็นครู เรียนรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเวลาในการสอนคนอื่น ในบทบาทของประทาน การทรงเรียก ก็ยังต้องเรียนรู้ในขณะสอน พระเยซูทรงคริสต์ให้คำสอนเรื่องการเป็นนักเรียนแก่เรา

ฮีบรู 5:12  12 ถึงแม้ว่า​ขณะนี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ควร​จะ​เป็น​ครู​ได้​แล้ว แต่​ท่าน​ก็​ต้อง​ให้​คน​อื่น​สอน​ท่าน​อีก ใน​เรื่อง​หลักธรรม​เบื้องต้น​แห่ง​พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า ท่าน​ทั้ง​หลาย​ต้อง​กิน​น้ำนม​ไม่ใช่​อาหาร​แข็ง​

ความหมายของผู้เขียนพระคัมภีร์ฮีบรู ไม่ได้ขัดแย้งกับยากอบ หรือกับพระเยซู แต่ความหมายของผู้เขียนหนังสือฮีบรู หมายถึง การเติบโตในเรื่องหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้า และการกินอาหารแข็งได้ คือการรับคำสอนที่มากขึ้น ก็คือการเป็นนักเรียนนั่นเอง สรุปก็คือ การเป็นนักเรียนรุ่นพี่ที่จะให้รุ่นน้องเดินตามวิถีชีวิตการเรียนรู้สิ่งที่ยากขึ้น แรงขึ้นนั่นเอง  เมื่อเราเป็นเด็ก เราก็เป็นนักเรียนอนุบาล และระดับการเป็นนักเรียนของเราก็โตขึ้นเรื่อย จากอนุบาล ปฐมฯ มัธยมต้น มัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัย ปริญญาตรี โท และเอก แต่การได้ปริญญาเอก ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรอบรู้ไปหมด ปริญญาเอกก็ยังมีเอกทางด้านใดคนที่จบปริญญาเอกหลายใบ ก็เพราะเขารู้ว่า เขาไม่ได้รอบรู้ในทุกอย่าง ยังต้องเรียนทีละใบ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยเนื้อหนังอย่างที่ปัญญาจารย์ได้กล่าวว่า

ปัญญาจารย์ 11:12-14  12 และ​ยิ่ง​กว่า​นั้น​อีก บุตร​ชาย​ของ​ข้าพเจ้า​เอ๋ย จง​รับ​คำ​ตักเตือน​เถิด ซึ่ง​จะ​ทำ​หนังสือ​มาก​ก็​ไม่​มี​สิ้นสุด และ​เรียน​มาก​ก็​เหนื่อย​เนื้อ​หนัง 13 จบ​เรื่อง​แล้ว ได้​ฟัง​กัน​ทั้งสิ้น​แล้ว จง​ยำเกรง​พระ​เจ้า และ​รักษา​พระ​บัญญัติ​ของ​พระ​องค์ เพราะ​นี่​แหละ​เป็น​หน้าที่​ของ​มนุษย์​ทั้ง​ปวง​14 ด้วย​ว่า​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​เอา​การ​งาน​ทุก​ประการ​เข้า​สู่​การ​พิพากษา​พร้อม​ด้วย​สิ่ง​เร้น​ลับ​ทุก​อย่าง ไม่​ว่า​ดี​หรือ​ชั่ว​

ปัญญาจารย์กล่าวถึงการเป็นนักเรียนที่เรียนแต่ความรู้ของโลก แต่ไม่ได้มีความยำเกรงพระเจ้า คือไม่ได้เรียนรู้จากพระเจ้า หรือไม่ได้ดำเนินชีวิตในกติกาของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องเหนื่อยเนื้อหนัง ซึ่งคนในยุคของเรากำลังเป็นอย่างที่ปัญญาจารย์สอน  พระเยซูคริสต์จึงเชิญชวนคนมากมายที่กำลังเหน็ดเหนื่อยเนื้อหนัง ให้มาเรียนรู้จากพระองค์ ถึงความยำเกรงพระเจ้า และอยู่ในกติกาของพระเจ้า แล้วจะได้พักอย่างแท้จริง

มัทธิว 11:28-30 28 บรรดา​ผู้​ทำงาน​เหน็ด​เหนื่อย​และ​แบก​ภาระ​หนัก จง​มา​หา​เรา และ​เรา​จะ​ให้​ท่าน​ทั้ง​หลาย หาย​เหนื่อย​เป็น​สุข ​29 จง​เอา​แอก​ของ​เรา​แบก​ไว้ แล้ว​เรียน​จาก​เรา เพราะ​ว่า​เรา​สุภาพ​และ​ใจ​อ่อน​น้อม และ​จิตใจ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้​พัก30 ด้วย​ว่า​แอก​ของ​เรา​ก็​พอเหมาะ และ​ภาระ​ของ​เรา​ก็​เบา”

คำว่า พัก ในรากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า ได้ความสดชื่นกลับคืนมา  ชีวิตของเราในขณะที่กำลังมุ่งหน้าสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ เราต้องการจังหวะของการได้ความสดชื่นกลับคืนมา ใครจะเหมาะที่จะเป็นครูที่เราจะเรียนรู้ พระเยซูได้บอกว่า พระองค์เป็นครูที่จะสอนเราถึงวิธีที่จะได้ความสดชื่นกลับคืนมา

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเกาหลี  คนที่ชวนไป สปอนเซอร์บางส่วนของค่าเดินทางให้ มีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับใช้ทุกคนได้พักผ่อน จากการทำภารกิจที่แสนเหน็ดเหนื่อย นี่เป็นการไปเที่ยวกับทัวร์ ที่มีโปรแกรมวางไว้อย่างแน่น  เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าที่เดินทางไปกับทัวร์  มีช่วงหนึ่ง เป็นรายการที่ต้องรับการตรวจสุขภาพ ด้วยเทคโนโลยี่ของเกาหลี ความจริงเขาต้องการจะขายยา ขายผลิตภัณฑ์ของเขา ข้าพเจ้าได้รับการตรวจ ผลลัพธ์คือ ข้าพเจ้ามีแนวโน้มที่จะมีภูมิแพ้ มีไขมัน มีเบาหวน  เพราะว่า นอนน้อย กินมาก (จริงๆกินมากจนพุงออก เพิ่งจะลดพุงได้ตอนกลับมาเมืองไทย) เร่งขี่จักรยาน บริหารพุง เพื่อนำสุขภาพที่ดีกลับคืนมา เป็นความจริง ที่ข้าพเจ้าพักผ่อนน้อย นอนไม่พอ แต่ด้วยการได้นอนอย่างครบรอบ ก็มีแรงไปต่อ แต่แบบคนใกล้จะป่วย  เพราะขาดความสดชื่น การไปเที่ยวแบบนี้ ทำให้สูญเสียความสดชื่น ขอบคุณพี่น้องที่หวังดีกับผู้รับใช้ทุกคน แต่ก็รู้สึกว่า เป็นพระพรค่ะ แต่ไม่ได้ความสดชื่น  วิธีที่จะได้ความสดชื่น ต้องอย่างที่พระเยซูสอน เรียนจากพระองค์ หลายคนคงสงสัยว่า ข้าพเจ้ามีแรงลุกขึ้นมานำอธิษฐาน สอนพระคัมภีร์ตอนตีห้าในวันเดียวกัน กับที่เรากลับมาถึงกรุงเทพและถึงบ้านตอนตีสอง ตื่นตีสี่ ได้อย่างไร ก็เพราะข้าพเจ้าเรียนจากพระเยซู ครูที่สุภาพและถ่อมใจที่สุด นอนให้ครบรอบ หลับสนิท และตื่นขึ้นมาสดชื่น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เรียนเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลา ฝึกฝน เรียนรู้ ….

 1.เรียนรู้จักตัวเอง  มัทธิว 11:28

28 บรรดา​ผู้​ทำงาน​เหน็ด​เหนื่อย​และ​แบก​ภาระ​หนัก จง​มา​หา​เรา และ​เรา​จะ​ให้​ท่าน​ทั้ง​หลาย หาย​เหนื่อย​เป็น​สุข

คำเชิญชวนของพระเยซู เรียบง่าย เพื่อบอกกับเราว่า ทำตัวให้เรียบง่าย ไม่ต้องพิธีรีตองมาก  เหนื่อยก็ยอมรับว่าเหนื่อย หนักก็จงรับว่าหนัก ไม่ต้องทำตัวเป็นฮีโร่  เป็นมนุษย์ทรงพลัง  และที่สำคัญ หาให้ถูกคน พระเยซูทรงสอนว่า เวลาเหนื่อยและรู้สึกหนัก มาหาพระองค์ พระเยซูพร้อมให้เราได้พัก พระองค์ไม่ได้อารมณ์เสียกับความบกพร่องของเรา และพระองค์ไม่ซ้ำเติมเวลาเราอ่อนแอ

มนุษย์มีบาดแผล และพร้อมส่งต่อบาดแผล คนเป็นพ่อเป็นแม่ เวลาเหนื่อย มักจะไปลงที่ลูก  คนเป็นนายมักจะลงกับลูกน้อง คนที่มีอำนาจมักจะลงกับผู้ที่ไม่มีอำนาจ คนที่ใหญ่มักจะลงกับผู้ด้อยกว่า  และคนที่เป็นเพื่อนสนิท ก็มักจะลงกับคนที่ตนคิดว่าจะลงได้ ระบายได้ แต่ผลลัพธ์คือ บาดเจ็บ ทะเลาะ ต่อต้าน เพราะนั่นคือ ต่างฝ่ายต่างก็มีปัญหา คือเหน็ดเหนื่อย และมีภาระเหมือนกัน ต่างคนจึงต่างวางตนเองเป็นผู้ให้บทเรียน (เป็นครูเสียเอง) กับคนที่ทำให้ตนเองบาดเจ็บ  ซึ่งในฐานะของนักเรียน  จะต้องเรียนรู้ แต่ถ้าลืมฐานะการเป็นนักเรียน ก็จะทำบทบาทเป็นผู้ให้บทเรียน  สั่งสอนด้วยอารมณ์ของตนเอง

มีพี่น้องของเราคนหนึ่ง ให้เราช่วยกันอธิษฐานเผื่อเรื่องความดันขึ้น เพราะประสบอุบัติเหตุที่ทำให้ตกใจ อารมณ์ตกใจ ก็ทำให้เป็นครูไม่ได้ ต้องเป็นนักเรียน และข้อความที่ส่งมาแสดงให้เห็นว่า เขาเรียนรู้อย่างนักเรียนว่า ความตกใจ ทำให้ป่วยได้ อุบัติเหตุที่ไม่เป็นอะไร แต่มีผลกระทบต่อจิตใจทำให้ป่วยร่างกาย มีความดัน และมีไข้ขึ้นได้ นี่ก็คือการเรียนรู้จักตัวเอง

คำถามก็คือว่า เราเรียนรู้จักตัวเองในด้านใดบ้าง  ความอ่อนแอของร่างกาย ความอ่อนแอของจิตใจ และความอ่อนแอในฝ่ายจิตวิญญาณ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ไม่ใช่บังเอิญ แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อเราจะเรียนรู้จักตัวเราเอง  และเพื่ออะไร เพื่อเราจะป้องกัน ปรับปรุง แก้ไข และไม่เหยียบขี้หมากองเดิม คือทำผิดซ้ำๆ ผิดพลาดซ้ำๆ ส่งต่อบาดแผลซ้ำๆให้กับคนอื่น และทำให้ตัวเองบาดเจ็บซ้ำ

ฮีบรู 12:12-13 12 เพราะ​เหตุ​นั้น​จง​ยก​มือ​ที่​อ่อน​แรง​ขึ้น และ​จง​ให้​หัว​เข่า​ที่​อ่อน​ล้า​มี​กำลัง​ขึ้น 13 และ​จง​ทำทาง​ให้​ตรง​เพื่อให้​เท้า​ของ​ท่าน​เดิน​ไป ​ เพื่อ​ว่า​ขา​ที่​เขยก​นั้น​จะ​ได้​ไม่​เคล็ด แต่​จะ​หาย​เป็น​ปกติ​

พระคัมภีร์ฮีบรูตอนนี้บอกกับเราว่า จงมีกำลังและสุขภาพที่ดีขึ้น ทำหนทางให้ตรง ก็คือ วิธิคิดของเราอาจคดเคี้ยวไม่ได้เรื่อง และพาตัวเองที่อ่อนแอไปสู่การบาดเจ็บเรื่อย จงเรียนรู้จักตนเองเพื่อจะหายดี แข็งแรง  และในบทเดียวกันนี้ยังกล่าวถึงความเสียหายของการไม่รู้จักเรียนรู้จักตัวเองที่แท้จริงว่า มันจะก่อความเสียหายอย่างมากมายได้

ฮีบรู 12:15  15 จง​ระวัง​ให้​ดี​อย่า​ให้​ใคร​เพิกเฉย​ต่อ​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า และ​อย่า​ให้​มี​ราก​ขม​ขื่น​งอก​ขึ้น​มา ทำ​ความ​ยุ่งยาก​ให้ ซึ่ง​จะ​เป็น​เหตุ​ให้​คน​เป็น​อัน​มาก​เสีย​ไป​

พระคุณของพระเจ้าที่มีให้กับเราเพื่อเราจะกลับใจ เปลี่ยนแปลง มิใช่เพื่อยังคงระเริงอยู่กับชีวิตเก่า โดยเฉพาะชีวิตที่มีรากขมขื่นงอกอยู่  รากขมขื่นทำให้คนเครียด เหน็ดเหนื่อย และเสพติดทุกอย่างที่สามารถทำได้ และสุดท้ายทำให้ตัวเองเสียหายแล้ว ยังมีผลกระทบต่อคนรอบข้างด้วย เลิกซะ กลับมาเป็นนักเรียนของพระเยซูที่เรียนรู้จักตัวเอง  ไม่ใช่เรียนเพื่อเงินทอง เรียนเพื่อสนองความต้องการของตนเอง

 2.เรียนรู้คู่พระเพลิงหรือคู่พระพร   มัทธิว 11:29-30

​29 จง​เอา​แอก​ของ​เรา​แบก​ไว้ แล้ว​เรียน​จาก​เรา เพราะ​ว่า​เรา​สุภาพ​และ​ใจ​อ่อน​น้อม และ​จิตใจ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้​พัก30 ด้วย​ว่า​แอก​ของ​เรา​ก็​พอเหมาะ และ​ภาระ​ของ​เรา​ก็​เบา”

น่าสนใจที่รากศัพทคำว่า แอก แปลว่า การจับคู่ การทำให้สมดุล เป็นไปได้ไม๊ ที่เวลาเราเหนื่อย โดยเฉพาะทางจิตใจ เราเสียความสมดุลของอารมณ์ ความคิด และกระทบต่อชีวิต  พระเยซูทรงแนะให้เราเรียนรู้จากพระองค์เรื่องหัวใจที่สมดุล รักษาใจให้สมดุล ไม่เอนเอียง สงสารตนเอง หรือโกรธเกลียดคนอื่น แล้วจิตใจของเราจะได้พัก

ไปเกาหลีครั้งนี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้าย้อนอดีตสมัยเรียนพระคัมภีร์ที่นั่น  หนึ่งในนั้นคือ สถานีรถไฟฟ้าของเกาหลี ส่วนที่จะรถไฟวิ่ง อยู่ลึกมาก น่าจะลึกลงไปใต้พื้นดินถึงหกสิบเมตรได้  ยิ่งลึกยิ่งปลอดภัย นี่คือความคิดของข้าพเจ้า จากภัยสงคราม เมื่อข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่นั่น จะมีการซ้อมหลบภัย เวลาเดิน แล้วผู้คนหายไปหมด ไม่ต้องสงสัย เขาหนีลงใต้ดินกันหมด เพราะเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งในอดีต ขณะที่คนเกาหลีใต้ในกรุงโซลกำลังหลับ ทหารเกาหลีเหนือบุกมาถึงกรุงโซลโดยไม่ทันตั้งตัว  เช่นเดียวกัน เราจำเป็นต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง เราต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น กับการทำให้อารมณ์สมดุล ชีวิตสมดุล  การเอาแอกของพระเยซูแบกไว้ คือการจับคู่กับพระเยซู  เดินไปกับพระองค์ พระองค์ไม่กระตุ้นอารมณ์เรา แต่ยังสามารถทำให้เราสงบลงได้ แต่ถ้าเราไปจับคู่กับคนที่กระตุ้นอารมณ์ ด้วยการจับคู่ทะเลาะ จับคู่เป็นศัตรู เราไม่มีวันสงบลงได้

หนุ่มสาวๆมักให้ความสนใจกับคำว่า คู่พระพร หมายถึงคู่แต่งงาน  คู่สมรส อย่างเดียว แต่ความจริง แล้ว ในชีวิตของเรานอกจากคู่รักแล้ว ยังมีคู่แค้น คู่แข่ง คู่ค้า คู่ชก คู่สารพัดคู่ ที่เราจะจับแล้วแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  สิ่งที่สำคัญว่า ไม่ว่าจะโดยอุบัติเหตุ บังเอิญหรือตั้งใจ เราได้จับคู่กับพระเยซูหรือไม่ เพราะ​ว่า​เรา​สุภาพ​และ​ใจ​อ่อน​น้อม  สองคำนี้ คือสิ่งที่มนุษย์มากมายแสวงหา

สุภาษิต 19:22  22 สิ่ง​ที่​น่า​ปรารถนา​ใน​ตัว​มนุษย์​คือ​ความ​จงรักภักดี…..

รากศัพท์คำว่า จงรักภักดี  แปลว่า  Kindness  พระเยซูน่าจะหมายถึงลักษณะของพระองค์ที่ใช้ในการสอนนักเรียนของพระองค์ และต้องการให้นักเรียนทั้งหลาย สาวกของพระเยซูเรียนรู้จากพระองค์ในเรื่องนี้ ด้วยการจับคู่กับพระองค์ในการดำเนินชีวิต  เพื่อจะซึมซับความสุภาพและมีใจอ่อนน้อม แล้วเราจะเป็นคู่พระพร ไม่ใช่คู่พระเพลิงกับคนรอบข้าง

ฮีบรู 12:14 จง​อุตส่าห์​ที่​จะ​อยู่​อย่าง​สงบ​กับ​คน​ทั้ง​หลาย และ​อุตส่าห์​ที่​จะ​ได้​ใจ​บริสุทธิ์ ซึ่ง​ถ้า​ใจ​ไม่​บริสุทธิ์​ก็​จะ​ไม่​มี​ผู้ใด​ได้​เห็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เลย​

 “สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…ทุกอย่างคือการเรียนรู้”

1.เรียนรู้จักตัวเอง 

2.เรียนรู้คู่พระเพลิงหรือคู่พระพร

By admin