“คริสตมาสนำสันติสุขเล้าโลมใจ”
เรามักจะได้ยินคำสองคำบ่อยๆ ในวันคริสตมาส นั่นคือ พระสิริมีแด่พระเจ้า สันติสุขมีแก่มนุษย์ ซึ่งปรากฏในข้อพระคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวการมาประสูติของพระเยซู ที่เรียกว่า วันคริสตมาส คือวันเกิดของพระเยซู เป้าหมายของวันคริสตมาส ก็คือ สองคำนี้ วันคริสตมาสเกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย พระเยซูมาเกิดในโลกนี้อย่างมีวัตถุประสงค์ พระสิริของเจ้าจะสำแดงชัดเจนมากในการช่วยกู้แก่มนุษย์ ในสันติสุขที่เกิดแก่มนุษย์ และในการคืนดีกันท่ามกลางมนุษย์และกับพระเจ้า เพลงที่ทูตสวรรค์ร้องในคืนที่พระเยซูมาบังเกิด จึงมีเนื้อความว่า
ลูกา 2:14 14 “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”
คำว่า สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง เป็นการบอกว่า การมาบังเกิดของพระเยซู มาเพื่อจะปลดทุกข์ในผู้คนให้พ้นความเศร้าโศก ให้สันติสุขเกิดในจิตใจ นี่เป็นที่มาของหัวข้อคริสตมาสในปีนี้ “คริสตมาสนำสันติสุข…เล้าโลมใจ” คริสตมาสที่เรามักจะเห็นในมุมของความชื่นชมยินดี ความสนุกสนาน แต่จริงๆแล้ว คริสตมาสคือการเล้าโลมใจ
พระเยซูจึงเลือกมาเกิดในช่วงเวลา ที่คนอิสราเอลกำลังมีความทุกข์อย่างแสนสาหัสจากการถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้ครอบครอง คืออาณาจักรโรม จากกษัตริย์เฮโรดที่ทางจักรพรรดิซีซาร์ได้ตั้งให้มาดูแลปกครอง กษัตริย์เฮโรด รีดไถเก็บภาษีส่งโรมแล้วยังรีดภาษีเพื่อตัวเองด้วย คนยิวในยุคนั้นจึงเกลียดคนเก็บภาษี เพราะคนเก็บภาษีก็ฉวยโอกาสบวกภาษีเพิ่มเพื่อตวเอง เรียกว่า กินกันเป็นทอดๆ คนยิวที่ยากจนอยู่แล้ว ก็ยิ่งยากจนของยากจนลงไปอีก แทบจะไม่มีอะไรให้รีดไถ ไม่มีให้จ่าย คนที่รีดไถก็ไม่เห็นใจคนที่ไม่มีจะให้
ดังนั้น วันที่พระเยซูมาเกิด มีเป้าหมายในการปลดปล่อยคนออกจาการถูกบีบบังคับ กดขี่ ข่มเหง เป็นความสำเร็จตามคำพยากรณ์ที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนล่วงหน้าไว้หลายร้อยปี เป้าหมายในการมาเกิดของพระองค์สำเร็จแล้วเมื่อพระองค์เติบโตขึ้น และทำพันธกิจ การปลดปล่อยให้กับประชาชนในเวลานั้น
ลูกา 4:16-22 16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลง และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” 22 คนทั้งปวงก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า “คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ”
สันติสุข ที่พระคัมภีร์ใช้ในวันที่พระเยซูเกิด คือคำเดียวกันกับสันติสุขที่พระเยซูใช้ในการทำพันธกิจของพระองค์
ยอห์น 14:27 27 เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย
จะเห็นว่า พระเยซูตรัสถึงสันติสุขที่พระองค์มอบให้นั้น จะทำให้จิตใจของคนพ้นทุกข์ พ้นจากความกลัว
คำว่า ทุกข์ ในภาษากรีกใช้คำว่า ทำให้สั่นคลอน ไม่ไว้วางใจ และคำว่า กลัว มีความหมายถึง สภาวะที่ขาดความเชื่อ สันติสุขของพระเยซู ทำให้มีความเชื่อ และความวางใจ สองสิ่งนี้ทำให้เกิดความนิ่งสงบ ที่เรียกว่า สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้ ภาษากรีกของคำว่า สันติสุข “เอเลเน่” แปลว่า สันติสุขที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง
2 โครินธ์ 8:9 9 เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์
พระเยซูทรงมาบังเกิดในที่ต่ำต้อยที่สุด (ยากจนที่สุด) เพื่อจะนำความมั่งคั่งมาสู่คนยากจนที่สุด และนี่คือความสำเร็จของคำพยากรณ์ที่ว่า
18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ
ใครคือกลุ่มเป้าหมายการมาเกิดของพระเยซู เพื่อที่จะรับสันติสุขที่นำไปสู่ความมั่งคั่ง ได้แก่
1.คนยากจน ลูกา 4:18ก
18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน…
พระเยซูทรงตรัสกับคนอิสราเอลที่สิ้นหวังเมื่อสองพันที่แล้วว่า พระองค์เป็นผู้รับการเจิมที่จะเป็นผู้นำข่าวดีมายังคนยากจน เพราะสภาพของคนอิสราเอลในยุคสองพันปีที่ถูกรีดไถจนหมดตัว จะกินยังไม่พอ ไม่มีจะกิน ไม่กล้าที่จะฝันถึงอนาคต ดูเหมือนมืดมน มองไปทางไหน ดูเหมือนไม่มีอะไรจะเป็นข่าวดี ที่จะทำให้ยินดีได้เลย มีแต่ความสิ้นหวัง
ดังนั้นคำพยากรณ์เรื่องพระผู้ไถ่ ผู้ปลดปล่อยจึงเป็นความหวังของคนอิสราเอลในเวลานั้นเท่านั้น คนยากจน เวลาป่วยไม่มีเงินไปหาหมอ เวลาหิวไม่มีเงินซื้ออาหาร มองดูตัวเองอย่างคนที่น่าสงสาร และดูเหมือนไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า พระเยซูทรงเสด็จอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอลเมื่อสองพันปีที่แล้ว ด้วยการนำการหายโรคมาให้ เวลาหิว พระองค์ก็ให้อิ่มท้อง คำสอนก็นำพระพรความหวัง และใจที่เปลี่ยนแปลงใหม่มาให้ พระเยซูจึงเป็นข่าวดีที่คนยากจนในเวลานั้นอยากได้ยิน อยากเจอ เพราะทำให้มีความหวัง มีความสุข ชนิดที่คนมีเงินก็ใช้เงินซื้อไม่ได้
วันนี้ สภาพของเราคล้ายๆกับอิสราเอลในยุคสองพันปีหรือไม่ ไม่กล้าที่จะฝัน ไม่กล้าที่จะคิดไกลเกินกว่าที่เป็นอยู่ ดูเหมือนจะไร้อนาคต บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ข่าวดีคืออะไร มองไปในปีหน้าก็มีแต่ข่าวร้าย เรื่องเศรษฐกิจ และรายจ่ายที่มากขึ้น ข่าวดีอยู่ที่ไหน
คริสตมาสนี้ พระเยซูจะนำข่าวดีอะไรมาให้กับเรา เราจะได้รับข่าวดีของพระเยซูอย่างไร สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้คือเครื่องมือที่จะนำเราไปสู่ความมั่งคั่ง ในความเชื่อ และความไว้วางใจในพระเยซู
ฟิลิปปี 4:6-7 6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
อธิษฐาน วิงวอน กับการขอบพระคุณ จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีความเชื่อ และไว้วางใจในพระเยซู
เราเชื่อและวางใจที่จะขอสันติสุขจากพระเยซู สันติสุขในวันคริสตมาส…นำการเล้าโลมใจ ของเราที่กำลังเป็นทุกข์ และกำลังกลัวหรือไม่
2.เชลย ลูกา4:18ข
…พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย…
นอกจากคนอิสราเอลในสองพันปีที่แล้วจะยากจนมาก ยังมีสถานะเป็นเชลย ไม่มีอิสรภาพ ไม่สามารถปกครองตนเองได้ ถูกกำหนดให้ทำตาม และทำตาม ก้มหัวรับใช้อย่างเชลย คนอิสราเอลรอคอยผู้ปลดปล่อย ในความเชื่อและจินตนาการกันเอง คนอิสราเอลในยุคนั้น คิดว่า พระเยซูจะนำการปลดปล่อยด้วยการใช้กำลัง นำการปลดปล่อยให้พ้นสภาพการถูกกดขี่ พ้นจากปัญหา
เราคงได้ยินคนที่มาเชื่อพระเยซูในยุคของเราว่า เมื่อเขาเชื่อพระเยซูแล้ว ปัญหายังเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกของเขาไม่เหมือนเดิม เขาสามารถมีกำลัง มีเสรีภาพที่จะรับมือกับปัญหาเดิมๆได้ นี่คือสันติสุขที่นำไปสู่ความมั่งคั่ง วิธีการช่วยกู้ ช่วยปลดปล่อยที่แท้จริง คือการทำให้เราสามารถยืนได้ด้วยกำลังของเราเอง เรียกว่า การช่วยเหลือแบบยั่งยืน ไม่ต้องอาศัยจมูกใครหายใจ
สภาพความเป็นเชลยของจิตใจ น่ากลัวกว่า สภาพภายนอก แต่สันติสุขที่เกินความเข้าใจจะคุ้มครองความคิดและจิตใจ นั่นหมายความว่า จิตใจภายในเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับแรงกดดันภายนอกได้
โรม 8:21 21 ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า
กาลาเทีย 5:1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
ความหมายของพระคัมภีร์สองข้อนี้ คือการบ่งชี้ให้เราได้เห็นความจริงว่า การเป็นเชลยที่น่ากลัวที่สุด คือการอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความเสื่อมสลายของค่านิยมอย่างโลก
อำนาจของความเสื่อมสลาย (สิ่งอนิจจังต่างๆกำลังทำให้คนมากมายเป็นเหมือนเชลย ตัวอย่างเช่น กระแส โซเชียลที่กลายเป็นบัลลังค์การพิพากษา ลงโทษคน ทำลายคนอย่างไร้ขอบเขต) คนส่วนใหญ่กำลังตกอยู่ในสภาพการเป็นเชลย
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า จะทำอะไรต้องระวังกล้องจากมือถือของใครก็ไม่รู้จะถ่ายรูป หรือคลิปวีดีโอไปประจาน ไปโชว์ในที่ที่ไม่เหมาะสมได้ กลายเป็นตัวตลก กลายเป็นนักโทษของสังคม นี่คือสภาพการเป็นเชลยรูปแบบใหม่ที่เรากำลังเป็นอยู่
พระเยซูจะช่วยเราให้พ้นจากสภาพการเป็นเชลยนี้ได้อย่างไร แน่นอน พระองค์ช่วยได้ พระองค์ทรงสามารถเตือนเรา ช่วยเราให้บังคับตนเอง ไม่ตกเป็นเป้าของการถ่ายคลิปวีดีโอได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเราให้เรามีเสรีภาพทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราไม่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม เรามีเสรีภาพที่จะเป็นคนดีโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เสแสร้างทำดี จนเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แล้วตัวจริงที่ไม่ดีแสดงออกมาจนต้องอยู่ในคลิปของคนบ้าถ่ายคลิปทั้งหลาย หากเรารู้สึกว่าเราเป็นเชลย จงรู้เถิดว่า พระเยซูมาเพื่อคุณ
3.คนตาบอด ลูกา 4:18ค
…ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก…
พระเยซูไม่เพียงสอน แต่ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้จริง เราเชื่อหรือไม่ว่า คนตาบอดเข้ามาในคริสตจักรของเราแล้วจะมองเห็นได้อีก เพราะสิ่งที่ยากกว่านั้นคือ บอดของจิตใจ บอดของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องยากกว่าบอดของตาร่างกาย แต่คนมักจะให้ความสำคัญกับการหายบอดฝ่ายร่างกาย
มีเรื่องเล่าว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งตาบอด แต่มีแฟนหนุ่มที่รักหญิงตาบอดคนนี้มาก ทุกครั้งที่เจอกัน หญิงตาบอดคนนี้จะพูดถึงความหวังที่เธอจะมองเห็นได้ และวันหนึ่งมีคนบริจาคดวงตาให้กับเธอ และเธอก็สามารถมองเห็นได้ เมื่อเธอมองเห็นแฟนหนุ่มของเธอ เธอไม่สามารถจะรักแฟนหนุ่มของเธอ เพราะเขาตาบอด แฟนหนุ่มของหญิงคนนี้ จึงบอกว่า ไม่เป็นไร ก่อนที่เราจะจากกัน อยากจะบอกว่า ฝากช่วยดูแลดวงตาคู่นั้นแทนเขาด้วย
มีคนในสังคมของเรามากมายที่ตาร่างกายดี แต่ตาใจบอด มองไม่เห็นคุณค่าการเสียสละของคนอื่น เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เรียกว่า เห็นแก่ตัว มีคนนิสัยไม่ดีอย่างนี้เต็มไปหมดในสังคมยุคปัจจุบัน และในสังคมคนอิสราเอลเมื่อสองพันปีที่แล้วเช่นกัน เช่นคนเก็บภาษี คนที่สังคมคนยิวเรียกว่าคนบาป ไม่คบค้าสมาคมด้วย แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาใกล้คนบาปเหล่านี้ พระองค์ทรงทำให้คนเก็บภาษีกลับใจใหม่ คนบาปกลับใจใหม่ คนเหล่านี้ เคยมีตาใจบอด เห็นแก่ตัว แต่กลับเปลี่ยนไป เพราะสันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้ ทำให้ตาของพวกเขาสว่าง มองเห็นความจริง และหันกลับมาหาพระเจ้า
ในพระคัมภีร์มีเรื่องของนายศักเคียส คนเก็บภาษี ที่พระเยซูทรงเรียก และเสด็จไปบ้านของศักเคียส เขากลับใจและพูดว่า เขาจะเลิกเห็นแก่ตัว เลิกโกง และที่โกงไปจะคืนให้คนที่เขาโกงถึงสี่เท่า พระเยซูได้ทำให้ตาใจบอดที่กลับมามองเห็นได้
ถ้าวันนี้ คุณไม่รู้ว่า คุณกำลังตาบอดเรื่องอะไร และกำลังเป็นทุกข์กับความอยากได้ อยากมี อยากเป็น หรือกับความสูญเสีย เสียดาย เสียใจกับการไม่ได้มีอย่างที่อยากมี จงให้พระเยซูทำให้ตาใจที่บอดมองเห็นในวันคริสตมาสนี้ แล้วสันติสุขในวันคริสตมาสจะเล้าโลมใจของท่าน จากความทุกข์ของการไม่มี ไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ
4.ผู้ถูกบีบบังคับ ลูกา4:18ง
…ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ….
ถ้าเราสามมรถเข้าไปนั่งในหัวใจของคนอิสราเอลทุกคนในยุคเป็นเมืองขึ้นอาณานิคมของอาณาจักรโรม เราจะได้ยินแต่คำว่า อิสรภาพ อิสรภาพ ทุกคนอยากได้อิสรภาพ ไม่อยากตกเป็นทาส ไม่อยากถูกบีบบังคับ แต่คำสอนของพระเยซูแก่คนอิสราเอลในยุคนั้น สวนทางมาก เช่น
มัทธิว 5:41 41 ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
สภาพของคนอิสราเอลในยุคอาณานิคมของโรม ทหารโรมมีสิทธิ์เรียกคนอิสราเอลที่พบในระหว่างทางให้ช่วยแบก ช่วยถือ โล่ ดาบ หรืออะไรก็ตามที่ทหารโรมจะสั่ง เกณฑ์ให้ทำได้
ตัวอย่าง ในพระคัมภร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูกำลังจะถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ต้องแบกกางเขนเดินไปยังภูเขาหัวกะโหลก พระเยซูถูกเฆี่ยนตีจนไม่สามารถมีแรงแบกกางเขนเดินต่อไปได้ ทหารโรมเกณฑ์ชายคนหนึ่งมาช่วยแบกกางเขนแทนพระเยซู ชายคนนั้นเป็นเพียงคนที่ผ่านมาในเส้นทางที่พระเยซูกำลังแบกกางเขนพอดี ไม่เคยรู้จักพระเยซูมาก่อน
มัทธิว 27:32 32 ครั้นออกไปแล้วได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบกกางเขนของพระองค์ไป
คำสอนของพระเยซู เรื่องการถูกเกณฑ์ให้ทำงาน ระยะทางที่พระเยซูยกตัวอย่าง ว่า 1 กม. ให้แถมด้วยความเต็มใจอีก 1 กม. เพื่อจะให้คนนั้น ได้รับการปลดปล่อยทางจิตใจ แม้ร่างกายจะถูกบีบบังคับ แต่จิตใจมีอิสรภาพ ทำให้สามารถมีกำลังมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว
ทุกวันนี้ เราทำไปบ่นไป ทำด้วยใจขมขื่น สิ่งที่ทำไป ได้ถูกทำลายคุณค่าไปด้วยคำบ่น เสียความรู้สึกของคนที่ขอให้ทำ จนไม่มีคำว่า ขอให้ทำอีก ทำเองดีกว่าฟังคำบ่น มองในมุมกลับ คำบ่นได้ทำให้คนที่บ่น ขังตัวเองจากอิสรภาพที่จะทำเพื่อคนอื่น เพราะไม่มีใครอยากให้ทำอะไรให้ ไม่เต็มใจทำให้ ทำราวกับว่า ถูกบีบบังคับให้ทำ สภาพของคนที่บ่น ก็คือ คนที่ทำอะไร เหมือนถูกบังคับให้ทำ เป็นเพราะจิตใจที่ขาดสันติสุข และรู้สึกเจ็บปวดกับการทำอย่างไม่เต็มใจนั่นเอง
พระเยซูได้ทำให้คนมากมายหลุดจากความรู้สึกถูกบีบบังคับ สามารถทำด้วยใจรักได้ รักศัตรู
มัทธิว 5:43-45 43 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน 45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
ความรักเป็นหลักของคำสอนของพระเยซู และพระองค์สอนแม้กระทั่งให้รักศัตรู รักคนที่ไม่น่ารัก ความรักไม่สามารถบีบบังคับให้รักได้ และไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากจะแสดงออกเป็นการกระทำ ปรัชญาใดๆก็ไม่สามารถจะอธิบายคำว่ารักได้ นอกจากจะพิสูจน์ด้วยการกระทำ สันติสุขในว
ในวันคริสตมาส เล้าโลมใจเกิดขึ้นจากความรัก
คำว่า ทาสสมัคร คือเต็มใจผูกพันตนเองเป็นทาสรับใช้ โดยไม่รู้สึกถูกบีบบังคับอีกต่อไป
มัทธิว 20:27-28 27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่าน28 อย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก”
พระเยซูทรงนำการปลดปล่อยคนออกจาการบีบบังคับภายใน มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนมากมายติดคุกในใจ ในขณะที่ดูเหมือนมีเสรีภาพ แต่คนที่ได้รับสันติสุขของพระเยซู แม้ตัวจะไร้อิสรภาพ แต่ใจมีเสรีภาพ อย่างเช่นเปาโลที่สามารถหนุนใจคนนอกคุกให้ชื่นชมยินดี มีอิสรภาพของจิตใจอย่างแท้จริง การบีบบังคับได้แต่ร่างกาย แต่ไม่สามารถทำได้กับจิตใจภายใน
5.คนที่หัวใจแตกสลาย ลูกา 4:18จ
ในฉบับภาษาไทยไม่มีแปล แต่ในภาษากรีก และภาษาอังกฤษมีประโยคที่ว่า เพื่อเยียวยาคนที่หัวใจแตกสลาย เมื่อได้ดูภาพยนตร์ กำเนิดพระเยซูเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา มีตอนหนึ่งของการเก็บภาษีที่คนอิสราเอลครอบครัวหนึ่งไม่มีเงินจะจ่าย ทหารโรมจับลูกสาวเป็นค่าภาษีแทน หัวใจที่แตกสลายเกิดกับคนเป็นพ่อเป็นแม่
วันนี้มีคนเป็นพ่อเป็นแม่มากมายที่หัวใจแตกสลาย เพราะต้องสูญเสียลูกไป กับการใช้ชีวิตอยู่กับภาษีสังคมแบบใหม่ สังคมที่บีบบังคับด้วยสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการต้องจ่ายราคาแพงคือการสูญเสียลูกไปกับการไม่มีเวลาให้กับลูกของตนเอง
หัวใจแตกสลาย ต้องการการเยียวยาจากพระเยซู และสันติสุขในวันคริสตมาสนอกจากจะเล้าโลมใจแล้ว ยังนำการเยียวยามาให้ คนที่ดำเนินชีวิตอยู่กับอิทธิพลของสิ่งที่แตกสลายไปนั้น เจ็บปวด ทรมาน จงให้พระเยซูนำการเยียวยามาให้ในวันคริสตมาส
“คริสตมาสนำสันติสุขเล้าโลมใจ”
1.คนยากจน
2.เชลย
3.คนตาบอด
4. ผู้ถูกบีบบังคับ
5. คนที่หัวใจแตกสลาย