“ข่าวประเสริฐ
ฉายวีดีโอ “รองเท้า”
รองเท้า ต้องมีสองข้าง มีข้างเดียวใช้การไม่ได้ เด็กสองคน ที่ต่างฐานะต่างตระหนักถึงประโยชน์ของรองเท้าที่ต้องมีสองข้าง คนหนึ่งคิดแล้วก็ต้องเอารองเท้าที่ตกไปให้กับคนที่รักรองเท้า ที่ทำความสะอาดรองเท้าตลอดเวลา ก็ต้องการรองเท้าสองข้าง ถึงกับวิ่งตามรถไฟเพื่อจะเอารองเท้าไปส่งให้ ส่วนเด็กที่รักรองเท้า รอคอยรองเท้าอีกข้างที่จะได้คืนมา แต่สุดท้ายไม่ได้คืน เหลือรองเท้าเพียงข้างเดียว ด้วยความคิดอย่างเดียวกัน คือรองเท้าข้างเดียวไม่มีประโยชน์ สู้ถอดอีกข้างโยนไปให้เด็กที่ไม่มีรองเท้าใส่ ได้ใช้รองเท้าคู่นั้น จะเป็นประโยชน์กว่า
วันนี้ พระคัมภีร์ของเราได้กล่าวเกี่ยวกับรองเท้าของของคริสเตียนคืออะไร
เอเฟซัส 6:10-20 10 สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า18 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้20 เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตผู้ต้องติดโซ่อยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะเล่าข่าวประเสริฐด้วยใจกล้าตามที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าว
อ.เปาโลผู้ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนหนังสือเอเฟซัส ทำให้เรามองเห็นมิติในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นโลกที่มองด้วยตาอย่างมนุษย์ไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังสิ่งที่ตาเนื้อหนังมองไม่เห็น อ.เปาโลใช้คำว่า
10 สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
เมืองเอเฟซัสในเวลานั้น มีเรื่องของไสยศาสตร์ การเล่นวิทยาคม และมีเรื่องของรูปเคารพและพิธีกรรมต่างๆเกี่ยวกับรูปเคารพมากมาย ไม่ต่างจากเมืองกรุงเทพในยุคของเรา คริสเตียนในเมืองเอเฟซัส มีทั้งคนยิว และคนต่างชาติ ที่กลับใจมาเชื่อในข่าวประเสริฐเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์ และดำเนินชีวิตตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็ไม่ต่างจากคริสเตียนในยุคของเรา
มีแรงต้าน มากมาย จากคนที่ไม่เข้าใจและไม่รู้ และจากยุทธอุบายของพญามารที่คริสเตียนจะต้องเดินไปในเส้นทางแห่งความเชื่อ ด้วยความระมัดระวัง ต้องต่อสู้ เพื่อจะรักษาชีวิตให้อยู่ในทางของพระเจ้า ดังนั้น การเป็นคริสเตียน ไม่ว่าในยุคไหนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
มีคำพูดที่ว่า ชีวิตคือการเดินทาง คำถามก็คือว่า บนเส้นทางที่เรากำลังเดินไป เรื่องของการเดินต้องมีรองเท้า รองเท้าของชีวิตที่จะใช้สวมใส่ในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนคือ ข่าวประเสริฐ ทำไม ข่าวประเสริฐจึงถูกเปรียบเทียบเป็นรองเท้า
ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด ที่หนังสือเอเฟซัสได้กล่าวถึง ไม่ว่า จะเป็น ….
13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า
เข็มขัด เสื้อเกราะ รองเท้า โล่ หมวกเหล็ก ดาบ และการอธิษฐานเป็นเหมือนลมหายใจ
ทั้งหมดนี้ คือยุทธภัณฑ์ ที่แปลว่า ชุดทำศึกสงคราม เราต้องสวมใส่ชุดทำศึกสงคราม และใส่รองเท้าเพื่อจะออกเดิน รุกไปข้างหน้า ไม่ใช่นั่งเฉยๆ ไม่มีใครใส่ชุดออกศึก และอยู่เฉยๆ อยู่แต่ในบ้าน แต่ต้องออกไปข้างนอก ออกไปทำศึกสงคราม สงครามที่เรียกว่า สงครามฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ไปต่อสู้กับคน (ที่พระคัมภีรเรียกว่า เลือดและเนื้อ) แต่ไปต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่า….
12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
นี่คือความหมายของคำว่า ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาพลัง เราต้องต่อสู้กับศัตรูตัวจริง คือ มารซาตานและสมุนของมัน ยิ่งต่อสู้กับมารยิ่งมีพลัง แต่ยิ่งต่อสู้กับคน ยิ่งท้อแท้ และหมดพลัง
จงหยุดต่อสู้กับคนด้วยกัน หยุดทะเลาะกับคนในครอบครัว หยุดมีปัญหากับคนด้วยกัน คนใกล้ตัว คนอยู่ไกล้ คนอยู่ไกล แล้วมองปัญหาความสัมพันธ์ในอีกมิติ คือในมิติฝ่ายวิญญาณ มีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังที่ต้องการจะทำลายความสัมพันธ์ ต้องการจะใช้ความอ่อนแอของคนเป็นเครื่องมือ เพื่อเป้าหมายทำลาย และทำลาย
ยอห์น 10:10 10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เจ้า เป็นข่าวดี ข่าวการช่วยให้รอดชีวิตอย่างยั่งยืน มารซาตานเป็นจอมขโมย ในยุคของปฐมกาล เมื่อพระเจ้าได้สร้างอาดัมกับเอวา และมอบอำนาจการดูแลจัดการทุกอย่างบนแผ่นดินโลกให้กับมนุษย์คู่แรก แต่มารซาตานได้มาหลอกมนุษย์คู่แรก เมื่อมนุษย์คู่แรกเชื่อคำหลอกของมารซาตานที่มาในรูปของงู สิทธิ์การครอบครองดูแลทุกอย่างบนโลกนี้ ตกเป็นของมารซาตาน มารซาตานได้มาขโมยตั้งแต่ในปฐมกาล และการขโมยของมารซาตานก็ยังดำเนิน ไปทุกยุคทุกสมัย มารซาตานจะขโมยและขโมย เพื่อจะให้มนุษย์ทุกคนไปถึงจุดของการสูญเสียสิ่งที่เป็นของมนุษย์ทุกอย่าง
ทุกวันนี้ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ในโลกนี้ มีแต่สูญเสีย และสูญเสีย ลองสำรวจชีวิตของตัวเราเองว่า มีอะไรบ้างที่บอกถึงการสูญเสีย คำว่า เสีย…. ถูกใช้กับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นและมากขึ้น
วิถีชีวิตที่เราเป็นอยู่แบบไหนที่กำลังทำลาย และทำให้เราสูญเสียสุขภาพ (สุขภาพที่ดีถูกขโมย)
เรากำลับทำลายความรู้สึกดีๆของตัวเอง และของคนรอบข้างอย่างไร (ใครคือคนที่ขโมยความสุขไป)
เวลาที่เราใช้ไป แบบไหนที่เรียกว่า เสียเวลาไป (เวลาแบบไหนที่ถูกขโมยไป)
เสรีภาพที่แท้จริง เป็นอย่างไร และการสูญเสียอิสรภาพจริงๆ ที่เรียกว่า เสรีภาพถูกขโมยไป เรากำลังทำสิ่งที่เราไม่สามารถจะเลิกได้ ทำสิ่งที่ทำให้เราตกเป็นทาสของอะไร
บทบาทในครอบครัวถูกขโมยไป ความเป็นสามีภรรยาหายไป ความเป็นพ่อแม่หายไป ความเป็นลูก ความเป็นพี่น้อง ความเป็นครอบครัว ความเป็นเพื่อน หายไป ใครขโมยไป
ยุทธอุบายของมารซาตาน คือทำให้คนไม่มีเวลา ทำให้คนล้มลงให้ความอ่อนแอของตนเอง ทำให้คนมองกันและกันอย่างศัตรู
นี่คือการเดินในทางที่ผิด เรากำลังใช้รองเท้าแบบไหนในการเดิน มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เราไม่ได้ไปสวมในรองเท้าอย่างเดียวกัน เราไม่เข้าใจในความรู้สึกของคนๆนั้น ความหมายของสำนวนนี้ บอกให้เรารู้ว่า แต่ละคนมีรองเท้าไม่เหมือนกัน และแต่ละคนต่างก็ดำเนินชีวิตตามรองเท้าหรือตามสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญกับเหตุการณ์สถานการณ์ของแต่ละคน ด้วยความรู้สึกต้องตอบสนองตามรองเท้าที่ต้องเองสวมใส่อยู่ มันใช่หรือ?
ทำไมพระคัมภีร์จึงบอกเราให้เอาข่าวประเสริฐมาสวมเป็นรองเท้า ข่าวประเสริฐแปลว่า ข่าวดี ข่าวเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์ ข่าวเรื่องชีวิตใหม่
เราไม่สามารถจะใส่รองเท้าได้ทีละสองคู่ เราใส่ได้ทีละคู่ และผิดปกติมาก ถ้าเราใส่รองเท้าแค่ข้างเดียว เราต้องใส่รองเท้าสองข้าง รองเท้าต้องมีเป็นคู่
15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า
ข่าวประเสริฐ ข่าวดี ของพระเยซูคริสต์ทำให้เกิดความพรั่งพร้อมได้อย่างไร ภาพยนต์ที่เราได้ชมไปในตอนแรก เด็กยากจนคนนั้น รองเท้าขาด ไปต่อไม่ได้ ต้องนั่ง ซ่อมรองเท้า นั่นคือความไม่พร้อมที่จะเดินต่อไป ต้องนั่ง และได้แต่เฝ้ามองรองเท้าของคนอื่น
1.ใช้ข่าวประเสริฐรองรับน้ำหนักชีวิต
อิสยาห์ 60:1-2 1 จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า2 เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์เหนือเจ้า
ถ้าเราไม่มีรองเท้า การลุกขึ้น คือการยืนเท้าเปล่า เราจะเจ็บเท้า รองเท้าที่สวมจะรองรับน้ำหนักให้กับชีวิตของเรา ข่าวประเสริฐเป็นรองเท้า จะช่วยรองรับน้ำหนักชีวิตของเราได้ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ทำให้เราพร้อมที่จะเคลื่อนที่ ถ้าไม่มีข่าวประดีของพระเยซูคริสต์ เราจะหยุดนิ่ง เมื่อเราพบกับอุปสรรคปัญหาชีวิต เราจะนั่งลง และคนรอบข้างก็จะไม่ได้รับแสงสว่างของเรา
2 เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย….
เราต้องลุกขึ้น สวมรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ ทำให้เกิดความพรั่งพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ในมิติต่างๆของชีวิต เมื่อเราลุกขึ้น จะเกิดการเคลื่อนไหวไปมา ทำให้แสงสว่างของพระเจ้าที่อยู่เหนือเราเคลื่อนตามไปด้วย
เรามักจะพูดแต่คำว่า ไม่พร้อม แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม พระเจ้าพร้อมแล้ว สำหรับเรา เรามักจะมองตัวเราว่าจำกัด และใช้ความจำกัดของตัวเราเป็นเงื่อนไข เป็นตัวรองรับน้ำหนักชีวิตของเรา และเรามักจะพบว่า ความจำกัดของเราไม่สามารถรองรับน้ำหนักชีวิต คิดทีไรก็เหมือนรู้สึกว่า มันเหลืออด เหลือทน มันบางเหมือนเส้นบางๆสุดท้ายที่เหลืออยู่
…แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์เหนือเจ้า
พระสิริของพระเจ้า คือการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่กับเรา ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่จะรองรับน้ำหนักของชีวิต ต้องมีการอธิษฐานที่ย้ำในความรู้สึกความเชื่อของผู้สวมใส่รองเท้าข่าวประเสริฐถึงการทรงสถิตของพระเจ้า
18 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน
การอธิษฐานที่ไม่ใช่ด้วยกำลังของตนเองอย่างเดียว แต่ขอโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยสติสัมปชัญญะ ตลอดเวลา และอธิษฐานผื่อกันและกัน ทั้งหมด
มีคำพูดหนึ่ง ได้กล่าวถึง การเจิมของพระเจ้า ที่อาจถูกนำมาใช้โดยเนื้อหนังของผู้ที่ถูกเจิม ผลอาจจะออกมาคล้ายกับคนที่ใช้โดยพระวิญญาณ แต่การขาดการทรงสถิตของพระเจ้า และผลนั้นจะสูญเปล่า เมื่อเจอกับไฟพิสูจน์ของพระเจ้า การขอโดยพระวิญญาณ จะทำให้ผลที่ออกมายั่งยืน ทนการพิสูจน์ของจริงได้
ดังนั้น ให้เราใส่ใจกับสิ่งที่เรากำลังใช้เพื่อรองรับน้ำหนักของชีวิตของเรา โดยการพึ่งพาพระเจ้า หรือด้วยกำลังของตนเอง ความรอดในพระเยซูคริสต์เจ้า หรือความอยู่รอดของมนุษย์ในโลกนี้ ระวังด้วยความเพียรอย่างมีสติสัมปชัญญะ
1เปโตร 4:6-7 6 ด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแม้แก่คนที่ตายไปแล้ว เพื่อเขาจะมีชีวิตทางจิตวิญญาณเช่นพระเจ้า แม้ว่าเมื่อเขายังอยู่ในโลกนี้ เขาถูกพิพากษาลงโทษเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วๆ ไป 7 อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน
2.ใช้ข่าวประเสริฐทำให้ชีวิตไปต่อได้
กิจการ 3:6 6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”
เมื่อเราลุกขึ้น เรามีรองเท้าครบสองข้าง? หรือมีแค่ข้างเดียว
เรายืนขึ้น แต่ไม่เตลื่อนไหว เพราะรองเท้าของเราหายไปข้างหนึ่ง มันฉีกขาด หรือมันตกหล่น มันคือรองที่มีข้างเดียว ที่อยู่เด็กบนรถไฟทำหล่นไว้ หรือ คือรองเท้าข้างเดียวที่เด็กยากจนรองเท้าขาดใส่ไม่ได้ เรากำลังมีข่าวประเสริฐเป็นรองเท้าแบบไหน รองเท้าข้างเดียวที่พร้อมทิ้ง หรือพร้อมให้คนอื่น
มีคนมากมายในโลกนี้ ชีวิตหยุดนิ่งเมื่อไม่มีเงิน ไม่มีเงิน ไปต่อไม่ได้ ไม่มีเงิน คิดอะไรไม่ออก ไม่มีเงิน สิ้นหวัง ไม่มีเงิน ไม่มีพลัง ไม่มีเงิน ไม่มีเงิน ไม่มีเงิน หยุดหมด บางคนหยุดรับใช้ เพราะไม่เงิน และคิดจะเลิกรับใช้ เพราะเงิน
เปโตรพูดกับคนง่อย ว่าอะไร …..
….“เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”
ขอทานง่อยที่ประตูงาม มีอาชีพขอทาน เพราะเกิดมาเป็นง่อย เรื่องราวถูกบันทึกในหนังสือกิจการดังนี้
กิจการ 3:1-6 1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานเป็นเวลาบ่ายสามโมง2 มีคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่คลอดออกมา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูเราเถิด”5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่าน6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”
ขอทานหยุดเปโตร เพื่อบอกกับเปโตรว่า ถ้าเปโตรจะเข้าไปในพระวิหาร เพื่อไปอธิษฐานต่อต่อพระเจ้า เปโตรจะต้องให้เงินขอทาน เพื่อการอธิษฐานขอเปโตรจะไม่มีความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ให้เงินขอทาน คนที่ไปต่อไม่ได้ เพราะเป็นง่อย
เปโตรเพ่งดูขอทานง่อย ข้าพเจ้าตีความเข้าใจในตอนนี้เลยว่า เปโตรคิดว่าสิ่งที่ขอทานคนนี้จะไปต่อได้ คือต้องลุกขึ้นและเดินให้ได้ เงินช่วยขอทานไม่ได้ เงินยิ่งทำให้ขอทานไม่ทำอะไรเลย มีแต่ขอและขออย่างเดียว
เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่เปโตรมีติดตัว ข่าวประเสริฐที่ใช้การได้ คือต้องใช้สิทธิ์อำนาจของพระนามของพระเยซูคริสต์ในการแก้ปัญหาให้กับคน ไม่ใช่ตัวล่อ ไม่ใช่เรื่องเงิน
….ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”
เปโตรกำลังบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องลูกขึ้นและเดิน
โดยปกติคนง่อย จะไม่มีรองเท้า เพราะเดินไม่ได้ และตอนนี้ รองเท้าคือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะทำให้คนง่อย เดินได้ และต้องเดิน การเดินได้เป็นสิ่งที่น่าปรารถนายิ่ง และข่าวประเสริฐทำให้เดินได้
มีภาพยนต์อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไมได้ฉายให้พวกเราได้ชม เป็นเรื่องของเด็กชายที่รองเท้าขาด แต่ยังสามารถสวมใส่รองเท้านั้นเดินไปเดินมาวิ่งเล่นได้ ปกติของคนเดินได้ แต่พอไปเห็นเด็กอีกคนที่สวมรองเท้าสวยงาม กำลังนั่งอยู่ในสวนสาธารณะ เด็กรองเท้าขาดภาวนาก็อยากจะเป็นอย่างเด็กรองเท้าสวยงาม ที่นั่งอยู่ในสวนสาธารณะ เอาแต่นั่ง และนั่งเหมือนรอคอยใครสักคน แล้วเด็กรองเท้าขาดก็ภาวนาว่า เขาอยากเป็นเหมือนเด็กคนนั้น ที่มีฐานะ มีรองเท้าที่สวยงาม ภาวนาจนตัวเองได้นั่งใส่รองเท้าที่สวยงาม ส่วนเด็กที่นั่งก็มาเป็นเด็กสวมรองเท้าขาด และวิ่งเล่นได้ด้วยความดีใจ และก็มีคนเอารถเข็นมาให้ พร้อมกับอุ้มเด็กที่อยากจะเป็นเหมือนเด็กรองเท้าสวยงาม ที่ได้แต่นั่ง แต่เดินไม่ได้ และเขาก็ตระหนักว่ามีรองเท้าที่ไม่สวยงาม ก็ดีกว่ามีเท้าแต่เดินไม่ได้
ขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจของเราทุกคนที่จะมองเห็นรองเท้าที่เราสวมอยู่ เป็นรองเท้าข่าวประเสริฐที่ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหว เดินไปต่อ ในเส้นทางของชีวิตที่คนทั่วไปไม่สามารถ แต่รองเท้าข่าวประเสริฐนี้ ทำให้เราไปต่อได้ ไม่ใช่เรื่องของเงิน ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ โอกาส แข่งขัน แต่เป็นความรอดที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงนำมาให้เรา
ให้เราสำรวจรองเท้าข่าวประเสริฐของเราว่า มีเพียงข้างเดียวหรือ สองข้าง เรากำลังนั่งลง หรือลุกขึ้น เรากำลังส่งรองเท้านี้ให้กับคนอื่นเพียงข้างเดียว ที่ใช้งานไม่ได้ ไม่มีประโยชน์กับคนที่รับ หรือเรากำลังถอดรองเท้าข่าวประเสริฐให้กับคนอื่นครบสองข้าง
อย่าเก็บข่าวประเสริฐ ไว้กับตัวเอง ที่เป็นแค่รองเท้าข้างเดียว ใช้การอะไรก็ไม่ได้ จงยอมที่จะถอดรองเท้าอีกข้างและส่งต่อข่าวประเสริฐที่สมบูรณ์แก่คนที่จะได้รับข่าวประเสริฐนั้น
การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่ารับ
การเสียสละ การอุทิศตัว การช่วยคนให้พบกับทางรอดของพระเยซูคริสต์ จงทำให้คนอื่นอย่างสุดๆ อย่าแค่ครึ่งๆกล่างๆ นี่คือความพรั่งพร้อมที่แท้จริง ของการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ไปต่อ ไม่หยุดนิ่ง จะทำให้เกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ ข่าวประเสริฐนั้น
“ข่าวประเสริฐ”
1.ใช้ข่าวประเสริฐรองรับน้ำหนักชีวิต
2.ใช้ข่าวประเสริฐทำให้ชีวิตไปต่อได้