“ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ”
ลา เป็นสัตว์ใช้งานตั้งแต่ยุคโบราณ หลายพันปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในดินแดนทะเลทราย นับว่ามีความอึดน่าดู นอกจากจะทนต่ออากาศที่ร้อน ยังต้องแบกน้ำหนักคนนั่งบนหลังลา ลาแตกต่างจากอูฐที่มีถุงเก็บน้ำในบริเวณลำคอของมัน ในขณะที่ลาไม่มี แต่ต้องเดินทางในดินแดนทะเลทรายอย่างเดียวกัน ลามีความคล่องตัวกว่าอูฐ เพราะตัวเล็ก กว่าอูฐ และเป็นสัตว์ที่นิยมใช้สำหรับคนนั่งเป็นพาหนะที่ดีทีเดียว แต่ก็มีความเปราะบาง ในการรับน้ำหนักตัวคน และมีลาไม่น้อยที่หลังหักบาดเจ็บ และที่สำคัญ ยังเป็นสัตว์สัญลักษณ์ สำหรับนักรบ กษัตริย์ ที่ใช้ในวาระพิเศษ เช่น กลับจากสงคราม เข้าเมืองอย่างผู้มีชัยชนะ และในพระคัมภีร์เดิม ลาถูกกล่าวถึง ในคำพยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ ให้เป็นผู้ช่วยให้รอดของชนชาติอิสราเอล จะทรงลามา….
เศคาริยาห์ 9:9 9 ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา
และมัทธิว หนึ่งในสาวกสิบสองคน ได้นำคำพยากรณ์นี้มาบันทึกในหนังสือมัทธิว ถึงเหตุการณ์การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูคริสต์ โดยทรงลา สำเร็จตามคำพยากรณ์ที่เล็งถึง การเป็นพระเมสสิยาห์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญา….
มัทธิว 21:4-5 4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อจะให้เป็นไปตามพระวจนะที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า 5 จงบอกชาวศิโยนว่า กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงลา ทรงลูกลา
พระกิตติคุณสามเล๋มได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้น เหมือนกัน แต่แตกต่างกันในรายละเอียด ความจริง พระเยซูทรงเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มีนัยยะสำคัญ เพราะตรงกับคำพยากรณ์ในเศคาริยาห์ และประชาชนในกรุงเยรูซาเล็มต่างต้อนรับการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูในครั้งนี้ เพราะได้เห็น ได้ประสบกับพันธกิจที่พระเยซูทรงทำกับคนตั้งแต่การหายโรค การอัศจรรย์ต่างๆ จนถึงคนตายฟื้นจากความตาย และคำสอนที่เปิดเผยความจริงของพระเจ้า พระกิตติคุณสามเล่มบันทึกเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้น และที่ไม่พลาดหรือตกหล่น ที่เป็นตัวประกอบสำคัญก็คือ ลา…พาหนะที่พระเยซูขี่เข้ากรุงเยรูซาเล็ม อย่างกษัตริย์ ที่ประชาชนร้องคำว่า โฮซันนา On save! ที่วันนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนสูจิบัตรถึงความหมายของคำๆนี้
ลูกา 19:29-40 28 เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว พระองค์ทรงดำเนินนำหน้าเขาไป จะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม29 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานี บนภูเขาซึ่งเรียกว่า มะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน30 สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด31 ถ้ามีผู้ใดถามว่า ‘ท่านแก้มันทำไม’ จงบอกเขาว่า ‘พระองค์ต้องประสงค์ลูกลานี้’ ”32 สาวกที่รับใช้นั้นได้ไปพบเหมือนที่พระองค์ตรัสแก่เขาแล้ว33 เมื่อเขากำลังแก้ลูกลานั้น พวกเจ้าของก็ถามเขาว่า “ท่านแก้ลูกลาทำไม”34 ฝ่ายเขาตอบว่า “พระองค์ต้องประสงค์ลูกลานี้”35 แล้วเขาก็จูงลูกลามาถึงพระเยซู และเอาเสื้อของตนปูลงบนหลังลา และเชิญพระเยซูขึ้นทรงลานั้น36 เมื่อพระองค์เสด็จไป เขาทั้งหลายก็เอาเสื้อผ้าของตนปูลงตามหนทาง37 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ที่ซึ่งจะลงไปจากภูเขามะกอกเทศแล้ว เหล่าสาวกทุกคนมีความเปรมปรีดิ์ เพราะบรรดามหกิจซึ่งเขาได้เห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง38 ว่า “ขอให้ พระมหากษัตริย์ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ จงมีสันติสุขในสวรรค์ และพระสิริในที่สูงสุด”39 ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน”40 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”
คุณสมบัติของลาที่จะให้พระเยซูคริสต์ขี่ สำเร็จตามคำพยากรณ์
1.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ได้รับใช้เพราะเครดิตของพระเยซู
มัทธิว 21:1-2,6-7 1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ แล้วพระเยซูทรงใช้สาวกสองคน2 สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้จูงมาให้เรา…. 6 สาวกทั้งสองคนนั้น ก็ไปทำตามพระเยซูตรัสสั่ง7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วพระองค์ได้ทรงลานั้น
ลูกลาตัวนี้ ถูกผูกไว้กับแม่ของมันที่ถนนข้างทาง มันพร้อมแล้วสำหรับการรับใช้ ความจริงมีคนถามสาวกว่า เอาลูกลาไปทำไม และพระเยซูสั่งกับสาวกแล้วว่า ให้ตอบคำถามนี้ ด้วยคำว่า พระองค์ต้องประสงค์
มัทธิว 21:3 ถ้ามีผู้ใดว่าอะไรแก่ท่าน ท่านจงว่า ‘พระองค์ต้องประสงค์’ แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที”
เป็นไปได้ว่า เจ้าของลา หรือคนที่ดูแลลา รู้จักว่าเจ้านายของสาวกคือพระเยซู และน่าจะเป็นการขอยืมใช้งานชั่วคราว เครดิตของสาวกในเวลานั้น น่าจะเกิดจากการรับใช้ร่วมกับพระเยซูบ่อยๆ จนคนในเยรูซาเล็มอย่างเจ้าของลารู้จัก และไว้ใจ การขอยืมลา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีราคาแพง เป็นสัตว์ใช้งาน แต่เครดิตของพระเยซูมีมากเพียงพอที่การขอใช้ลาจึงสำเร็จ
2.ลา….ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ได้อัพเกรด อัพราคาเพราะพระเยซู
มาระโก 11:3 3 ถ้ามีใครถามว่า ‘พวกท่านทำอย่างนี้ทำไม?’ จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องพระประสงค์ แล้วจะส่งกลับมาที่นี่โดยเร็ว’ ”
การใช้งานของลาในครั้งนี้ ไม่ต้องเสียสตังค์ใดๆ เพราะเป็นการขอยืม ใช้งานเสร็จ พระเยซูส่งคืน หมายถึง การให้พระเยซูยืม โดยไม่คิดมูลค่า ไม่หวังผลตอบแทน
สภาพเศรษฐกิจในเวลานั้น ฝืดเคืองอยู่แล้ว การว่าจ้างก็น่าจะน้อย (ดูจากการผูกลาเอาไว้ ทั้งแม่ลูก อาจเป็นไปได้ว่า นี่คือภาพของการลดราคา จ้างหนึ่งได้สอง ได้นั่งได้บันทุกของไปด้วย) แล้วพระเยซูยังใช้สาวกมาเอาลาไปทั้งแม่ทั้งลูกแบบขอยืมใช้ฟรีๆ เป็นคุณๆจะยอมไม๊ พลาดโอกาสได้เงิน แล้วยังเสียเวลา เท่ากับเสียเงิน แต่…ข้าพเจ้าคิดว่า หลังจากใช้งานเสร็จ ลาแม่ลูกสองตัวนี้ น่าจะมีราคา เพราะพระเยซูนั่งมาแล้ว ใครๆก็คงอยากจะว่าจ้างลาสองแม่ลูกนี้
3.ลา….ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ให้พระเยซูมีสิทธิ์เลือกก่อน
เศคาริยาห์ 9:9…ทรงลา ทรงลูกลา
พระเยซูคริสต์ทรงเลือกที่จะขี่ตัวไหน ที่ดีที่สุด บ่อยครั้งที่เรามักจะแย่งสิทธิ์การเลือกมาเป็นของเรา ว่าเราจะให้พระเยซูใช้เราได้เมื่อไหร่ เมื่อเรารู้สึกว่า เราอยากจะรับใช้ หรือไม่อยาก ในขณะที่พระเยซูทรงต้องการให้เรารับใช้เดี๋ยวนี้ เราก็จะบอกพระองค์ว่า รอไปก่อน หรือไม่มีทางเลือกแล้วถึงจะมารับให้พระองค์ใช้
มีพ่อแม่คริสเตียนไม่น้อย ที่อยากให้ลูกไปรับใช้โลกข้างนอก เรียนเพื่อหาเงินทอง เพื่อความสำเร็จ แต่ไม่อยากให้เรียนเพื่อรับใช้พระเจ้า อย่างเรียนพระคัมภีร์ ลูกที่เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือคนที่ไปไหนไม่รอด ถึงจะมาเรียนพระคัมภีร์ หรือจะมารับใช้พระเจ้า (เพราะไม่มีทางเลือกแล้ว) ทางดีคนอื่นเลือกไปหมด ลา….ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ให้พระเยซูมีสิทธิ์เลือกก่อน
4.ลา….ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ รับใช้อย่างคนสุขภาพจิตวิญญาณที่หายดี
มาระโก 11:2 2 สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
ลูกลา เป็นลาที่ไม่เคยให้ใครขี่มาก่อน ความหมายถึง เป็นลาที่หลังไม่หัก ไม่บาดเจ็บ การรับใช้ของมันจึงให้พระเยซูขี่อย่างนิ่งสงบ
การบำบัดภายในโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะทำให้เราหายดี และสามารถรับใช้เหมือนคนที่ไม่เคยบาดเจ็บ ไม่เคยหลังหักมาก่อน สามารถรับน้ำหนักแรงกดดันจากการรับใช้ได้ อย่างสงบนิ่ง
5.และเมื่อลาเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเยซูคริสต์เจ้า
เสียงโห่ร้องว่า โฮซันนา Oh save เกิดขึ้น ผู้คนร้องตะโกนด้วยความรัก ยกย่องพระเยซูทรงงามสง่าบนหลังของมัน รวมทั้งแม่ของลาที่เดินเคียงคู่ได้รับการโห่ร้องไปด้วย
ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ก็เป็นเหมือนกับแม่ลาที่ยอมให้พระเยซูขี่ลูกของมัน และมันเดินเคียงข้างลูกของมันเหมือนพระเยซูทรงขี่มันด้วย มันไม่พยศ ไม่หวงลูกของมัน ส่วนลูกลาที่เป็นครั้งแรกของการถูกขี่ ก็ไม่พยศ ไม่ทำให้พระเยซูตกจากหลังของมัน มันไม่ดื้อ ไม่ตกใจกับเสียงร้องของผู้คน และไม่ใส่ใจว่า คนจะสนใจแต่พระเยซู ไม่สนใจมัน มันทำหน้าที่เดินและเดิน พาพระเยซูไปจนถึงที่หมาย สำเร็จด้วยดี ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์ (สง่างาม) อย่างผู้พิชิต ที่ได้รับการต้อนรับจากชาวกรุงเยรูซาเล็มด้วยดี แม้ว่าจะมีการห้ามจากพวกฟาริสี แต่พระเยซูก็ทรงเป็นผู้ตอบโต้คนที่ห้ามเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง
39 ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน”40 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”
ลา….ที่เป็นภาพของผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ แทบไม่ต้องทำอะไร แค่ให้พระเยซูขี่เท่านั้น มันก็เป็นลาที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์ตอนนี้ เป็นที่พูดถึงนานนับพันปี จนถึงทุกวันนี้ ลาตัวนี้ก็ยังอยู่ในเรื่องราวการรับใช้พระเยซูตลอดไป
นอกจากลาที่ทำหน้าที่ให้พระเยซูขี่แล้ว ยังมีลาที่ทำหน้าที่ให้คนอื่นขี่ ในพระคัมภีร์เดิม ลา..ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ แม้จะต้องเจอกับเจ้านายที่ทำให้มันบาดเจ็บ มันก็ยังสัตย์ซื่อ เรามาดูบทเรียนนี้อีกมุมหนึ่งด้วยกัน เรื่องราวนี้ ปรากฏในหนังสือกันดารวิถี….
กันดารวิถี 22:21-33 21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ22 แต่พระเจ้าทรงกริ้วต่อบาลาอัมเพราะเขาไป ดังนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนเป็นผู้สกัดทางบาลาอัมไว้ ฝ่ายบาลาอัมขี่ลามีคนใช้สองคนไปกับเขา23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม24 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนอยู่ในทางแคบระหว่างสวนองุ่นมีกำแพงทั้งสองข้างทาง25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็ดันไปติดกำแพง หนีบเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก
26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็เดินไปข้างหน้า ยืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา28 แล้วพระเจ้าเปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง”29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือเดี๋ยวนี้ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสีย”30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่าน ที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย” 31 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ32 และทูตสวรรค์แห่งพระเจ้า พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา33 ลาได้เห็นเรา และหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป”
ลาในเรื่องราวตอนนี้ เป็นลาพิเศษ ที่มองเห็นสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น แถมพูดภาษาคนได้ด้วย เพราะพระเจ้าทรงทำให้ลาพูดได้ มองเห็นได้
1.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ปกป้องผู้ที่มันปรนนิบัติ
23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม
เห็นอันตรายที่จะเกิดกับคนที่ขี่มัน จึงพาออกจากอันตรายนั้น แต่…บาลาอัมกลับไม่พอใจ และตีลา
2.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ อาจต้องเจ็บ
24 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนอยู่ในทางแคบระหว่างสวนองุ่นมีกำแพงทั้งสองข้างทาง25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็ดันไปติดกำแพง หนีบเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก
ลาได้ทำผู้ที่มันรับใช้ ต้องเจ็บ เพราะการช่วยครั้งนั้น การดันให้เท้าของผู้ขี่ลาติดกับกำแพง เพื่อส่งสัญญาณว่า ไปต่อในทางที่ต้องการจะไปไม่ได้ เพราะลามองเห็นทูตสวรรค์มาขวาง (ทางที่กำลังไปไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า)
บางครั้งศิษยาภิบาล หรือผู้รับใช้ ผู้นำไม่ตามใจสมาชิก หรืออาจขัดใจทีมงาน ก็เพราะการมองเห็นที่แตกต่าง จากการสำแดงของพระเจ้าก็เป็นไปได้ ความขัดใจ อาจทำให้เจ็บ และการไม่ยอม ดื้อ ยังฝืน ก็ยิ่งทำให้เจ็บมากขึ้น อาจเหมือนบาลาอัมที่ตีลา เพราะไม่รู้ว่าลากกำลังปรนนิบัตินายของมันด้วยการหยุดการทำผิด ไปทางผิดของบาลาอัม
3.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ไม่ตอบโต้ ตั้งรับฝ่ายเดียว
26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็เดินไปข้างหน้า ยืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา
มันหยุดเดิน มันยอมถูกตีอีก มันกำลังเตือนเจ้านายของมัน ว่าอันตรายอยู่ตรงหน้า มันเห็นสิ่งที่นายมันไม่เห็น มันกล้าที่จะสวนกับความต้องการของนายมัน และมันก็ถูกตี ถูกโกรธ ขณะที่นายของมันนั่งอยู่บนหลังของมัน
ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ หยุดนิ่ง ถูกโจมตี ไม่ตอบโต้ ตั้งรับฝ่ายเดียว การใช้ไม้เท้าตี คือการต่อสู้อย่างอริ ไม้เท้ามีไว้ไล่สัตว์ป่า ไม่ใช่สำหรับตีสัตว์ใช้งานของตนเอง ลา..ต้องทนเจ็บ แต่ยังสัตย์ซื่อ่ในการรับใช้
4.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ พูดจากความจริงใจ
28 แล้วพระเจ้าเปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง”29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือเดี๋ยวนี้ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสีย”
อย่าเอาคำว่า พูดไม่ได้มาเป็นข้ออ้าง ขนาดลาที่พูดภาษาคนไม่ได้ พระเจ้ายังทำให้พูดภาษาคนได้ ลามันมีความจริงใจ พระเจ้าเปิดปากลาให้พูดให้นายมันได้รับฟังคำพูดของมัน อย่ากลัวที่จะพูด แต่ถ้าจะพูด ก็จงพูดจากการเปิดปากโดยพระเจ้า ไม่ใช่อย่างสำนวนไทย ที่ใช้คำว่า ผีเจาะปากให้มาพูด คือพูดสิ่งที่ไม่ควรจะพูด พูดไม่ถูกกาละเทศะ พูดแต่เรื่องร้าย ๆ หรือ พูดแต่เรื่องโกหก ให้ร้ายคนอื่น
5.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ มีความเสมอต้นเสมอปลายในการรับใช้
30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่าน ที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย”
ลา… ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทีการรับใช้ยังเหมือนเดิม และก็เป็นความจริง มันปรนนิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยประท้วง ไม่นัดหยุดงาน ไม่เคยขัดต่อความประสงค์เป้าหมายที่นายของมันต้องการ
ุ6.ลา….ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ รู้บทบาทของตนเอง(เล่นตามกติกา)
31 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ32 และทูตสวรรค์แห่งพระเจ้า พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา33 ลาได้เห็นเรา และหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป”
ลาพูดส่วนที่มันต้องพูด จบคำพูดลา พระเจ้าทำส่วนของพระองค์ เป็นผู้เปิดตาบาลาอัมให้มองเห็นความจริง ว่าลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ยอมให้โกรธ เกลียด ตี ก็เพราะมันกำลังช่วยชีวิตของผู้ที่มันกำลังปรนนิบัติจากมือของทูตสวรรค์ของพระเจ้า ที่ถือดาบ
วันนี้ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ อย่างปลอดภัย หรือคลาดแคล้วจากอันตราย เราย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เราถูกต้องกับพระเจ้า กับคนของพระเจ้าอยู่หรือไม่ ….หรือกำลังทำบาปบางอย่างอยู่ บางที อาจจะเป็นลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือเราอยู่ก็ได้
7.ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ปรนนิบัติพระเยซูพร้อมกับปรนนิบัติคนอื่น
ลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อจะได้รับเกียรติร่วมกับพระเยซูขณะที่พระองค์อยู่บนหลังของมัน ในขณะเดียวกัน มันก็ต้องเจ็บปวด ยอมถูกตีเมื่อคนที่มันกำลังปรนนิบัติ เข้าใจมันผิด หรือมันจำเป็นต้องสวนทางกับความต้องการของผู้ที่มันกำลังปรนนิบัติอย่างบาลาอัม ที่ตีมันและตีมัน และอยากจะฆ่ามันให้ตาย มันก็ยังคงสัตย์ซื่อที่จะช่วยชีวิตของผู้ที่มันกำลังปรนนิบัติ
ขอให้บทเรียนของลา…ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ทำให้เราอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ทั้งมวลได้จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมา อาเมน
มัทธิว 10:21-22,24-25 21 แม้ว่าพี่จะมอบน้องให้ถึงความตาย พ่อจะมอบลูกและลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย22 คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่าน เพราะความภักดีที่ท่านมีต่อเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด… 24 “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครูและทาสไม่ใหญ่กว่านายของตน25 ซึ่งศิษย์จะได้รับการรับรองเสมอครู และทาสเสมอนายของตนก็พออยู่แล้ว ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นเท่าใด