“ฤดูเก็บเกี่ยว เกิดขึ้นแล้ว”
หนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ เวลาของพระเจ้าในชีวิตของคุณ God’s timing in your life เขียนโดยอ.ดัชท์ ชีท ได้เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่อง มีชายคนหนึ่ง ต้องการจะเดินทางด้วยรถไฟขบวนเวลาสิบโมงเช้า แล้วเขาก็ไปที่คนขายตั๋วรถไฟว่า นาฬิกาของเมืองบอกว่า เวลานี้ เก้าโมงห้าสิบนาที แต่เวลาที่นาฬิการข้อมือของเขายังเก้าโมงสี่สิบห้านาที ส่วนนาฬิกาที่สถานสิบโมงห้านาที เขาควรจะเชื่อนาฬิกาไหนดี คนขายตั๋วบอกว่า คุณจะเชื่อนาฬิกาไหนก็เรื่องของคุณ แต่รถไฟเวลาสิบโมเช้าออกจากชานชลาไปแล้ว แปลว่า คุณพลาดรถไฟขบวนนี้ไปแล้ว
มีคนบางคนมักจะใช้คำว่า แล้วแต่ใครจะคิด ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง มีสิ่งที่ตนเองยึดถือไว้สำหรับตนเอง แต่ว่า สิ่งที่คิดและยึดถือนั้นจะตรงกับเวลาของพระเจ้าในชีวิตของเราหรือไม่ คำว่า เวลาของพระเจ้า ในภาษากรีก ใช้คำว่า ไครอส แปลว่า โอกาส เวลาที่เหมะสม หรือจังหวะที่ดีของชีวิต ที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสถึงเวลา โอกาส จังหวะ ของชีวิตคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ที่มาถึงคนเหล่านี้ ในเรื่องราวของหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ ได้สนทนากับพระเยซู และเมื่อพระเยซูทรงตอบโจทย์จิตวิญญาณของหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำได้ ทำให้นางพบคำตอบที่แท้จริงของชีวิต จากชีวิตที่โหยหาการเติมเต็มด้วยการมีสามีมาหลายคน นางดีใจจึงวิ่งเข้าไปในเมือง เพื่อจะเชิญชวนให้ชาวสะมาเรียมาพบกับพระเยซู และขณะที่ชาวสะมาเรียกลุ่มใหญ่กำลังออกจากเมืองมาตามคำของหญิงสะมาเรียคนนี้ สาวกของพระเยซูก็กลับจากไปหาซื้ออาหารมาให้กับพระเยซู และนี่คือบทสนทนาระหว่างพระเยซูกับสาวกของพระองค์
ยอห์น 4:31-35 31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด”32 แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้”33 พวกสาวกจึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ”34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว
หนังสือปัญญาจารย์ได้กล่าวถึงมีวาระต่างๆสำหรับทุกสิ่ง…
ปัญญาจารย์ 3:1-1 11 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ 2 มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง 3 มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น 4 มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ 5 มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด 6 มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป 7 มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด 8 มีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ 9 คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา 10 ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย
ความหมายของปัญญาจารย์คือการบอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีความงดงาม มีบทเรียนในตัวของมันเอง ไม่ว่าสถานการณ์ และผลจะเลวร้ายอย่างไรก็ตาม คนที่มีมุมมองอย่างพระเจ้ามอง จะมองเห็นความงดงามในทุกวาระ และพระเยซูได้ตรัสกับสาวกของพระองค์ ในขณะที่คนยิวอย่างพระเยซูและสาวกจะถูกคนสะมาเรียมองว่า พวกเขาเป็นพวกที่รังเกียจคนสะมาเรีย และไม่มีอะไรจะเป็นข่าวดีสำหรับคนสะมาเรียได้ และไม่มีอะไรที่คนยิวจะได้จากคนสะมาเรีย คนยิวมองคนสะมาเรียอย่างคนต่างชาติ อย่างในบทสนทนาที่หญิงสะมาเรียพูดกับพระเยซูว่า
ยอห์น 4:9 9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย)
พระเยซูทรงอ่านใจสาวกของพระองค์ออก ว่า สาวกก็คงจะไม่คาดหวังอะไรในการทำพันธกิจกับคนสะมาเรีย เพราะคนยิวกับสะมาเรียมีเรื่องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษยาวนาน จนแยกการนมัสการกัน คนละภูเขา
ยอห์น 4:20 20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม”
จะเรียกว่า ไม่ญาติดีกันมายาวนาน นับร้อยๆปี ความจริง ชาวสะมาเรีย ก็คือคนยิวที่แตกออกไป สิบเผ่า มีเมืองหลวงคือเมืองสะมาเรีย มีกษัตริย์ที่ไม่ได้มาจากเชื้อสายของดาวิด และเกิดการแย่งชิงกันขึ้นเป็นกษัตริย์จากหลายเชื้อสาย เป็นอาณาจักรอิสราเอลหนึ่งในสองฝ่าย (เหนือและใต้) ที่เต็มไปด้วยรูปเคารพ และผู้นำก็พยายามจะรักษามวลชนอิสราเอลไม่ให้กลับมานมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ด้วยการสร้างวัวทองคำบ้าง สร้างรูปเคารพไว้หลายแห่ง เพื่อเบี่ยงเบนความคิดของคนอิสราเอลสิบเผ่าไม่ให้หันกลับมานมัสการที่วิหารเดิม เพราะกลัวคนเหล่านั้นจะไปตามผู้นำหรือกษัตริย์ที่มีเชื้อสายจากดาวิด ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เป็นผู้นำ
มาถึงยุคของพระเยซู คนยิวกับสะมาเรียก็เลยไม่เข้ากัน แบ่งแยกกันอย่างสิ้นเชิง แต่ความรอดของพระเจ้า ที่ส่งพระเยซูมาเพื่อนำคนให้หันกลับมาหาพระเจ้า ได้รับการช่วยกู้ ช่วยเหลือจากพระเจ้านั้น ไม่แบ่งแยกว่า ใครพวกพระองค์ ใครไม่ใช่ เรื่องของความรอด เป็นเรื่องสำคัญ เป็นภาพรวม ภาพใหญ่ ที่ไม่ว่าใครจะอยู่ในวาระไหนของชีวิต ต้องหยุดให้ความสนใจ อย่างตัวอย่างของภาพยนต์ The Harvest ที่เราได้ชมไป เมื่อครู่ เราได้เห็น การมองภาพใหญ่ของคนในชุมชนนั้นว่า ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมของตนเอง เพื่อมาระดมช่วยกันเก็บเกี่ยวพืชผลให้กับไร่นานี้ เพราะว่า ขาดผู้นำ มีแต่เด็กๆ และผู้หญิงที่อ่อนแอ ขนาดของไร่นาใหญ่เกินกำลังของพวกเขา คนไทยมีคำว่า ลงแขก คือต้องมาช่วยกัน เก็บเกี่ยวก่อนที่พืชผลนั้นจะเสียหาย ในภาพยนต์ ได้บรรยายว่า แม้แต่คนที่เคยทะเลาะกัน ก็หยุดทะเลาะ แล้วมาร่วมมือกันทำงานนี้
แม้แต่พระเยซูเอง ก็ให้ความสำคัญถึงขนาดว่า พระองค์ปฏิเสธอาหารที่สาวกไปจัดหามาให้ จนสาวกถามว่า พระเยซูรับประทานอาหารไปก่อนแล้วหรือ….แต่พระเยซูตรัสตอบว่า
34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ
พระเยซูไม่ได้กินอะไรเลย เพราะภารกิจที่สำคัญกว่า เป็นอาหารของพระองค์ คนสะมาเรียกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางออกมาจากเมืองเพื่อมาพบกับพระองค์ และพระองค์กำลังเตรียมความพร้อมที่จะต้อนรับคนเหล่านั้น อาหารที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ กลายเป็นเรื่องรอง ภารกิจ(พันธกิจ)ที่พระเจ้ามอบหมายให้พระเยซูทำ สำคัญที่สุด และพระองค์ต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ นั่นคือประโยคต่อไปว่า พันธกิจนั้นคือ โอกาสมาถึงแล้ว อย่าให้โอกาสนั้นผ่านไป….
35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว
เมล็ดที่พระองค์ได้หว่านไปแล้ว ในหญิงสะมาเรียกำลังทำงาน กับชาวสะมาเรียที่แห่กันออกมานอกเมือง เพื่อมาพบกับพระเยซู พระเยซูตรัสถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ที่คนทั่วไปมองฤดูกาลด้วยสายตาที่ยึดติดอยู่กับข้าวสาลี แต่พระเยซูมองเห็นฤดูกาลในใจของคนที่พร้อมให้พระองค์เก็บเกี่ยว ใจของคนสุกงอม ด้วยความหิวกระหายหาของจริง คนจริง คนที่พระเจ้าทรงใช้มาจริงๆ คนที่ถูกเรียกว่า ผู้เผยพระวจนะ คนที่จะมีถ้อยคำของพระเจ้าพูดกับพวกเขา เป็นความหวัง เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต อย่างมีจุดหมายที่ชัดเจน หญิงสะมาเรียยอมรับพระเยซูในเรื่องนี้ จากบทสนทนา ที่พระเยซูทรงตอบโจทย์ในจิตใจของหญิงนี้ได้ และรู้จักชีวิตของนางระดับลึกได้
ยอห์น 4:13-19 13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”15 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่” 16 พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด”17 นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีผัวค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี18 เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง”19 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ
คำว่า ผู้เผยพระวจนะ ที่หญิงสะมาเรียเรียกพระเยซู เพราะนางประจักษ์ชัดว่า นางได้เรื่องจิตวิญญาณลึกๆจากคำตรัสของพระเยซู ภาษายุคของเราก็คือ โดนๆ ไม่มีใครรู้ แต่เราจะรู้ด้วยตัวของเราเองว่า โดนแตะเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ที่ไม่มีใครตอบโจทย์ชีวิตได้ และนี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ (นักเรียนที่เรียนการรับใช้กับพระเยซู) จะต้องทำพันธกิจที่โดนๆ ลึกๆ เข้าไปถึงจิตวิญญาณของคน
ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่า สันติสุขที่เกินความเข้าใจ คุ้มครองความคิดจิตใจได้ พระเยซูทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์ให้มีสายตาในการมองฤดูกาลในจิตใจของคน ว่า แท้จริง คนกำลังต้องการความรอด
อย่าให้เราหลงทาง ไปทำโน่นนี่นั่น และเรียกว่า คือพันธกิจ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์จิตใจลึกๆ ที่คนกำลังโหยหา และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงล่วงรู้และสามารถตอบโจทย์นั้นได้ และพระเยซูได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในผู้เชื่อทุกคนแล้ว คนที่ตั้งใจที่จะเรียนรู้การเป็นสาวกของพระเยซูอย่างแท้จริง จะเคลื่อนไปกับการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเราจะรู้ถึง ฤดูกาลในจิตใจของคนที่อยู่ตรงหน้าเราอย่างพระเยซู
ยอห์น 4: 39-42 39 ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้น ได้มีศรัทธาในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ”40 ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่กับเขา และพระองค์ก็ประทับที่นั่นสองวัน41 และคนอื่นเป็นจำนวนมากได้วางใจ เพราะพระดำรัสของพระองค์42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง”
ความเชื่อของชาวสะมาเรีย ไม่ได้เกิดจากหญิงสะมาเรีย แต่เกิดจากพวกเขามีประสบการณ์กับพระเยซูโดยตรง คำว่า เรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง” คือการได้เห็นพระเยซูเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มองภาพใหญ่ มองภาพรวม ไม่ได้ถือพวกถือกลุ่ม พระองค์คือผู้ช่วยสำหรับโลก คือคนทั้งปวงที่แท้จริง พระเยซูได้รับยอมรับ เพราะมุมมองของพระองค์คือมุมมองเดียวกัน กับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์
เรากำลังใช้สายตา และหูของเรามองและฟัง การมาของฤดูกาลใหม่ การเก็บเกี่ยวใหม่ ในจิตใจของคนอย่างพระเยซู และมองข้าม ไม่ฟังสิ่งที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวหรือไม่
ฤดูเก็บเกี่ยว…มาถึงแล้ว เรามองเห็นหรือไม่ ไครอสมาถึงแล้ว
ข้าพเจ้าจะให้พี่น้องดูภาพหนึ่ง บนสไลด์ (ภาพป้ายชี้ทาง แผนที่ บนทางเดินรถไฟฟ้า) บางคนชอบเรียกเราว่าคริสตจักรใจสมานเพชรเกษม ข้าพเจ้ามักจะค้านคนที่เรียกเราอย่างนั้นว่า ไม่ใช่ เรามีคำว่า สิบเอ็ดด้วย และเรารู้หรือไม่ว่า มันมีเบื้องหลังมาอย่างไร ที่มาของชื่อซอยเพชรเกษม 11 ที่เป็นชื่อของคริสตจักร เริ่มต้น….. ซอยนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ไม่มีชื่อซอย เรามาตั้งคริสตจัก และเราสังเกตว่า ซอยต่างๆมีชื่อซอยมาถึง ซอย9 และข้ามไป ไม่มีซอย 11 เราจึงติดป้ายว่า นี่คือเพชรเกษมซอย 11 ต่อมา ทางเขตบางกอกใหญ่มาติดป้ายชั่วคราวให้ ว่าคือเพชรเกษมซอย 11 และต่อมากลายเป็นชื่อซอยถาวร และทางรถไฟฟ้า ได้ทำป้ายทางลงด้วยชื่อซอยว่า เพชรเกษม 11 มีคริสตจักรชื่อใจสมานบนแผนที่ของรถไฟฟ้า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรู้ตั้งแต่ต้นว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว
ฤดูเก็บเกี่ยว….มาถึงแล้ว สำหรับพระเจ้า พระองค์มองเห็นอนาคต ในมุมมองของมนุษย์อาจมองว่า ไม่มีสถานที่ ต้องเช่า มีที่จำกัด ไม่ใหญ่โต ขยายไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป พระองค์ทรงมองที่โอกาส
มีนักขายรองเท้าสองคนเข้าไปในเมืองหนึ่ง เพื่อจะขายรองเท้า นักขายคนแรก บอกว่า เขาคงขายรองเท้าในเมืองนี้ไม่ได้แน่ เพราะทุกคนไม่ใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่า ส่วนนักขายอีกคนดีใจอย่างยิ่ง และคิดว่า รวยแน่คราวนี้ เพราะว่า ทุกคนไม่มีรองเท้าใส่ เขาจะขายรองเท้าให้กับทุกคนได้
พระเยซูทรงมองเห็นฤดูกาลในจิตใจของคน เป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว…มาถึงแล้ว คริสตจักรใจสมานเพชรเกษม 11 กำลังมาถึงฤดูการเก็บเกี่ยวแล้ว จงมองข้ามปัญหา สถานการณ์ต่างๆ และอธิษฐานทูลขอคนงานของพระเจ้า เข้ามาร่วมงานกับเรา มากๆ เราต้องการคนร่วมงานมากๆ
มัทธิว 9:37-38 37 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่38 เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าเป็นนักลงทุนที่ฉลาดที่สุดในโลก พระองค์รู้ว่า ที่ไหนลงทุนแล้วเกิดผล พระองค์จะไม่เสียเวลาไปกับที่ที่ไม่ใช่ และข้าพเจ้าอยากจะย้ำกับเราชาวใจสมานเพชรเกษม 11ว่า ที่นี่ ใช่ จงมาร่วมกับลงทุนร่วมกันกับพระเจ้า
ยอห์4:36 36 คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน
อาทิตย์หน้า เป็นวันพันธกิจ ที่จะมีรายการพิเศษ การรายงาน การเงิน การทำงานพันธกิจ และแผนงานพันธกิจ และเปิดโอกาสให้พี่น้องได้ร่วมมีส่วนลงทุนกับคริสตจักร กับพระเจ้า คนข้างนอกยังรอคอย เข้าแถวแต่เช้า เวลามีการเปิดขายพันธบัตร หรือขายหุ้นที่มีแนวโน้มแต่จะมีราคาสูงขึ้น อาทิตย์หน้า ก็คือโอกาสที่เรารอคอยที่จะซื้อหุ้นของพระเจ้า ในชีวิตของเรา มีแต่ราคาดีสูงขึ้นอย่างเดียว ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า หุ้นของพระเยซูผ่านมาทุกยุคทุกสมัยและราคาไม่เคยตกเลย
ฤดูเก็บเกี่ยว…มาถึงแล้ว